บทที่ ๘
ไม่กล้ารับปากเจ้าค่ะไม่กล้า
ไช่เซียงฮวารู้จักพรรคหยิ๋นมี่เท่าอายุของตน ไม่มีครั้งใดที่นางไม่รู้สึกตะลึงในศักยภาพของคนในพรรค
ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ถึงขนาดครอบครองพื้นที่ลับแห่งนี้ได้โดยที่ไม่มีใครเห็น แข็งแกร่งจนคนนึกตั้งคำถาม
“เจ้าทั้งสองทำความเข้าใจตำราที่ข้ามอบให้แล้วหรือไม่” อาจารย์หวางถามลูกศิษย์ทั้งสองโดยใช้ถ้อยคำธรรมดา
ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน หากอยู่ที่นี่เป็นได้สองสถานะเท่านั้นคือศิษย์และอาจารย์
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
“สำหรับสายวรยุทธ์แล้ว การมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งคือการวัดความสูงต่ำของความสามารถที่มี กำลังภายใน วิชายุทธ์ พลังธาตุ หากนำมาผนวกกันได้จะส่งผลดีต่อตัวเราจนยากจะมีใครต่อกรได้
ไช่เฟิงหยูกล่าวกับลูกศิษย์และหลานสาวเพียงเท่านี้ก็เงียบไป ปล่อยให้อาจารย์หวางเป็นผู้ดำเนินการสอนต่อ
“ส่วนพลังธาตุนั้นคือการดึงเอาพลังของธรรมชาติมาเก็บไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด ระดับหนึ่งถึงสิบเป็นตัวบอกระดับอย่างชัดเจนแล้วว่าร่างกายมีจุดกักเก็บพลังที่สามารถบรรจุพลังไว้ได้มากน้อยเพียงใด”
ไช่เซียงฮวาพยักหน้ารับแล้วยกมือขึ้น ไช่เฟิงหยูที่รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของการขออนุญาตถามจึงใช้พลังบอกสหายในใจ
นางมีคำถาม
อาจารย์หวางได้ยินเช่นนั้นก็ผายมืออนุญาต
“เชิญถาม”
“มี How to ทำอย่างไรให้ฝึกได้ก้าวหน้ากว่าคนทั่วไปหรือไม่เจ้าคะ”
นางหมายถึงวิธีการที่จะฝึกพลังให้ก้าวหน้า
อ้อ
อาจารย์หวางไม่ได้มองไช่เซียงฮวาผิดแผก เพราะก่อนที่เขาจะรับหน้าที่มาเป็นอาจารย์ของนางนั้น สหายได้เตือนล่วงหน้าซึ่งเขาก็ทำใจมาบ้างแล้ว
“การก้าวให้เร็วกว่าคนอื่นคือการฝึกให้มากกว่าคนอื่นเสมอ ทุกคนมีต้นทุนที่ไม่เท่ากัน ในเมื่อเจ้ามีพร้อมเช่นนี้แล้ว ก็จงฝึกให้หนัก เพื่อเป็นการตอบแทนเบื้องบนที่ได้ให้เจ้ามาอย่างไม่คิดว่ามันจะลำเอียง”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ”
เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสองพยักหน้ารับ ไช่เฟิงหยูก็หยิบหยกดูดซับพลังธาตุขึ้นมาให้ฝูเฮยหลง
“เอาหยกสีนิลขึ้นมาสิเซียงฮวา”
ไช่เฟิงหยูถามหาหยกสีนิลที่มีคุณสมบัติช่วยดูดซับพลังธาตุได้เร็ว
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าหยกชิ้นที่เซียงฮวาถือครองอยู่สามารถปกปิดพลังเร้นลับในร่างกายต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ได้
“ในระหว่างที่กำลังดูดซับพลังปราณ ควรนำมาวางไว้ในตำแหน่งชีพจรด้านที่เจ้าได้กรีดเลือดนาบไปกับศิลาปลุกพลัง”
ไช่เซียงฮวาเอาหยกสีนิลแนบไว้กับข้อมือตามคำบอกของอาจารย์ ฝูเฮยหลงเองก็เช่นกัน
“บทเรียนของวันนี้คือดูดซับพลังธาตุ นั่นคือที่นั่งของพวกเจ้า”
ศิษย์ทั้งสองเดินไปยังประจำที่ของตน นั่งลงขัดสมาธิตามคำชี้แนะของอาจารย์
“เดี๋ยววันนี้ข้าจะเป็นอาจารย์ให้เซียงฮวาเอง เจ้าไปเป็นอาจารย์ให้เฮยหลงเถอะ”
อาจารย์หวางพยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ฝูเฮยหลง เพราะหากมีข้อผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นระหว่างการดูดซับพลังธาตุครั้งแรกจะได้ช่วยเหลือได้ทัน
“หลับตาลง ทำใจให้สงบแล้วกำหนดจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”
ไช่เซียงฮวาพยักหน้าแล้วหลับตาลง พยายามทำใจให้สงบ นึกถึงความทรงจำตอนที่ได้ไปร่วมปฏิบัติธรรมกับสมาคมคุณนายของคุณหญิงแม่
ในใจนางคิด…
นอกจากยุบหนอพองหนอ ตอนนั้นพระอาจารย์บอกว่าอย่างไรนะ
อ้อ! ว่างเปล่า ไม่ยึดติด
คิดได้เช่นนั้นนางก็ไม่คิดสิ่งใดอีกเลยนอกจากปล่อยสมองให้มีแต่ความว่างเปล่าจนค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงสมาธิ
อาจารย์ทั้งสองเฝ้ามองลูกศิษย์เงียบ ๆ จิบชาไปเฝ้าระวังไป น้ำชาหมดไปเพียงสองจอกเท่านั้นก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกเขา
ไช่เซียงฮวาถอดจิตไปในสถานที่ที่ตนมิเคยเห็น มองไปทางข้างหน้าก็เห็นเพียงความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุด
‘ข้าอยู่ที่ใดกัน’
ไช่เซียงฮวาร่างจิตลุกขึ้นยืมเต็มความสูง
ในตอนนั้นเองนางถึงเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มือใหญ่ขึ้น ไม่ต้องพูดถึงหน้าอกที่เป็นตัวบ่งบอกวัยได้ดีที่สุุด
ดวงตาคู่งามสำรวจไปโดยรอบก่อนที่จะเบิกโพลงเมื่อเห็นว่ามีร่่างเด็กนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงจุดเดิมก่อนที่นางจะเดินมายืนตรงนี้
‘ร่างเด็กของข้า’
ไช่เซียงฮวาเดินเข้าไปใกล้ร่างเด็ก ยื่นมือไปหมายจะเขย่าตัวให้หลุดจากสมาธิ ทว่ามือนางกลับทะลุผ่าน ไม่สามารถสัมผัสร่างตรงหน้าได้
‘หรือข้าต้องกลับไปนั่งที่เดิม’
ไม่รอช้าไช่เซียงฮวาร่างสาวงามก็เดินกลับมาที่ร่างเด็ก หลับตาทำสมาธิอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นานก็รู้สึกราวกับถูกดึงสู่ห้วงลึกที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ในขณะที่นางกำลังคิดจะออกจากสมาธิก็ได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งที่ราวกับอยู่ในที่ไกลแสนไกล ฟังดูเลื่อนลอย ไม่ใช่จังหวะการพูดทั่วไปของมนุษย์
‘เห็นหรือไม่ แม้แต่จิตและร่างกายของเจ้ายังไม่อาจรวมเป็นหนึ่งได้’