ตอนที่ 14
ความบังเอิญในความตั้งใจ “เปิ่นไท่จื่อคิดไม่ถึงว่าเฉินเช่อเฟยผู้นี้จะกล้าลงมือกับตัวเองรุนแรงเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะก้าวเข้าตำหนักได้เพียงวันเดียว สตรีผู้นี้ความคิดลึกซึ้งอีกทั้งยังใจเด็ดไม่เบา” “พระองค์ตรัสเช่นนี้ทรงคิดว่าเฉินเช่อเฟยจงใจให้คนใส่ผงรากบัวที่ตนเองแพ้ลงในโจ๊ก” ฝูกงกงเอ่ย “ผู้ช่วยชุนที่เข้ามาใหม่คงจะเป็นคนของจวนไท่เว่ย ข้ารับใช้ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใหม่คงมีไม่น้อยที่เป็นคนที่เฉินไท่เว่ยส่งเข้ามา” “ไท่จื่อพระองค์ต้องการให้หาตัวคนเหล่านั้นออกมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่จำเป็นต้องหาตัวออกมาให้ได้ เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติหรอกหรือที่เหล่าขุนนางพวกนั้นจะส่งคนเข้ามาคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของข้า มีคนจากขุนนางอื่นมากมายหลายสกุลแล้วเพิ่มคนจากสกุลเฉินอีกนิดหน่อยก็คงไม่ถึงกับสิ้นเปลืองข้าวปลาอาหารในตำหนักบูรพานักหรอก” โม่หลงอวี้ตรัสออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ พระพักตร์ไม่บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร มีเพียงพระพักตร์นิ่งเฉยที่ไม่อาจคาดเดาพระดำริในพระทัยได้เลย สกุลเฉินนั้นตลอดมาไม่เคยสนใจตำหนักบูรพา ไม่เคยมีการส่งคนเข้ามาแฝงตัวมาก่อน พระองค์พอจะคาดเดาได้ว่าที่จวนเฉินไท่เว่ยเริ่มส่งคนเข้ามาก็คงเป็นเพราะเฉินจินฮวาก้าวเข้าสู่ตำหนักบูรพาจึงทำให้จวนไท่เว่ยนั้นไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ในราชสำนักมีใครไม่รู้บ้างว่าเฉินไท่เว่ยผู้กุมอำนาจทหารมากมายถึงหนึ่งในสามของทั้งแคว้นนั้นเป็นผู้มีคุณูปการมากมายเพียงใดซ้ำยังเป็นขุนนางตรงฉินผู้ภักดีเป็นผู้ที่เสด็จพ่อของเขาไว้วางใจเป็นอย่างมาก โม่หลงอวี้รู้ดีว่าในสกุลขุนนางต่าง ๆ สกุลเฉินต่อหน้าและลับหลังซื่อตรงไม่แตกต่าง คาดว่าที่แฝงตัวคนเริ่มปะปนเข้ามาในตำหนักล้วนแล้วแต่เป็นเพราะห่วงความปลอดภัยของหลานสาวเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีประการอื่นแอบแฝงเช่นผู้อื่น ที่มาของคนที่ถูกส่งเข้ามามากมายล้วนแล้วแต่ต้องการปกปิด แต่ก็ล้วนแล้วแต่ปกปิดไม่มิด ต่างจากคนที่จวนไท่เว่ยส่งมา ทุกคนล้วนแล้วสืบความได้อย่างแน่ชัดว่าถูกส่งมาจากจวนไท่เว่ย มองดูก็รู้ว่าเป็นความตั้งใจอย่างเปิดเผยของเฉินไท่เว่ย ณ ตำหนักทิศประจิม อาหลัวค่อย ๆ ประคองคุณหนูของนางให้เอนตัวพิงที่หัวเตียง “คุณหนูน้ำเจ้าค่ะ” นางเอ่ยก่อนที่จะยื่นน้ำอุ่นให้ผู้เป็นนาย “เรื่องโจ๊กเป็นอย่างไร” “หัวหน้าพ่อครัวใหญ่ถูกไล่ออกไปแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้คนคุมโรงครัวหลักก็คือหัวหน้าพ่อครัวชุน” “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” “คุณหนูเจ็บตัวเช่นนี้ดีอย่างไรกันเจ้าคะ” อาหลัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “อย่างน้อยในอนาคตข้าก็ไม่ต้องกลัววว่าจะถูกวางยาพิษได้ง่ายๆ ลดความหวาดระแวงลงได้นิดหน่อย อีกทั้งข้าเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าข้านั้นต้องพักรักษาตัวไม่อาจปรนนิบัติไท่จื่อได้เป็นอาทิตย์ไม่สิต้องเป็นเดือนเลยล่ะที่ไม่อาจปรนนิบัติได้” ไม่ว่าบนโต๊ะหรือบนเตียงองค์ไท่จื่อผู้นี้คงก็บังคับให้ข้าปรนนิบัติไม่ได้ เพราะผื่นแพ้ของนางนั้นย่อมต้องใช้เวลารักษา หากนางเอ่ยว่าผื่นยังไม่หายหรือว่ากลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างเสียโฉมไปเลยจะดีหรือไม่นะ “คุณหนูองค์ไท่จื่อประทานยาชั้นดีมาให้เจ้าค่ะ เห็นว่ารักษาผื่นคันได้ดีซ้ำยังแก้แผลเป็นได้ด้วย เป็นตำรับยาวิเศษจากในวังเลยนะเจ้าคะ” “ยาวิเศษเหรอก็ดียิ่ง” นางยิ้มรับ ผื่นจริงหายก็ยังแต่งผื่นปลอมขึ้นมาแทนได้มิใช่หรือ เรื่องนี้นางไม่เป็นกังวลที่จะกระทบต่อแผนที่ตนวางเอาไว้หรอก เอาไว้ผื่นจริงหายเมื่อไหร่นางค่อยให้อาหลัวแต่งผื่นปลอมให้ก็ได้ “จริงสิเจ้าคะ องค์ไท่จื่อทรงมีรับสั่งว่าหากคุณหนูฟื้นแล้วให้ส่งคนไปแจ้งพระองค์ด้วย” “เช่นนั้นเจ้าก็ให้คนไปแจ้งเถอะ สั่งคนเสร็จแล้วก็เร่งไปหยิบผ้าปิดหน้ามาให้ข้า” “เจ้าค่ะคุณหนู” หลังจากที่อาหลัวส่งคนไปแจ้งข่าวก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว ก็ไม่มีท่าว่าองค์ไท่จื่อจะเสด็จมาเสียที เฉินจินฮวาเห็นเช่นนี้จึงได้รู้สึกเบาใจ ยามนี้ทั่วทั้งตัวรวมไปถึงใบหน้าของนางต่างก็มีผื่นคันขึ้นอยู่ นางในยามนี้คงไม่ต่างอะไรก็สตรีอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง การที่องค์ไท่จื่อไม่เสด็จมานั้นนางก็สามารถเข้าใจได้ บุรุษผู้ทรงอำนาจที่มีเหล่าสตรีโฉมงามมากมายอยู่รอบตัวใยจะต้องหันมามองสตรีอัปลักษณ์เช่นนางในระคายเคืองพระเนตรด้วย เฉินจินฮวารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เมื่อคิดได้ว่าตนอาจจะถูกมองข้ามไปอีกนานนับเดือน แอบคิดไปอีกว่าหากตัวนางนั้นถูกลืมไปเลยก็คงจะดีจริง ๆ ใกล้ปลายยามห้าย(เวลาประมาณ 21.00น.-22.59น.) เฉินจินฮวาจึงสั่งให้อาหลัวดับเทียนเพื่อเข้านอนอย่างสบายใจ ใครจะไปคิดเล่าว่าภายนอนห้องนอนใหญ่แห่งตำหนักทิศประจิมที่เพิ่งดับเทียนไปนั่นจะปรากฏเจ้าของพระพักตร์ราวกับศิลาปั้นขึ้น อาหลัวที่เพิ่งก้าวออกมาจากประตูเรือนพักรีบย่อกายหมายจะทำความเคารพ แต่นางกับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน “นางเข้านอนแล้วเช่นนั้นหรือ” “เพิ่งเข้านอนเมื่อครู่เพคะ พระองค์จะให้จุดเทียนให้สว่างก่อนหรือไม่เพคะ” “ไม่ต้องหรอก” “เช่นนั้นพระองค์จะ...” อาหลัวเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่านางควรส่งเสด็จองค์ไท่จื่อกลับตำหนักเลยหรือว่าอย่างไรดี “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีเปิ่นไท่จื่อผู้เดียวก็ พอแล้ว” “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” ฝูกงกงและอาหลัวเข้าใจได้ในทันที พวกนางทำตามรับสั่งของ เจ้าเหนือหัวอย่างไม่มีข้อแม้ พากันถอยห่างออกจากเรือนหลักใน ตำหนักทันที ไท่จื่อหนุ่มเลิกม่านราตรีขึ้นก่อนที่จะสอดพระองค์เข้าไปในผ้าห่มผืนหนาอย่างระมัดระวัง ตั้งพระทัยจะไม่ทำให้สตรีร่างเล็กที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วต้องตื่นขึ้น ในความมืดเช่นนี้แม้จะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเล็กของสตรีข้างกายได้อย่างชัดเจนแต่ ไท่จื่อหนุ่มนั้นก็สามารถเดาได้ว่านางในขณะนี้คงกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขผ่อนคลายเช่นเดียวกันกับเมื่อคืน เพราะคงคิดไปว่าในคืนนี้อย่างไรพระองค์ก็คงไม่เสด็จมาเป็นแน่ พระองค์ทรงมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเฉินจินฮวาผู้นี้ตั้งใจใช้ตัวของนางเองเป็นเครื่องมือ เป้าหมายหลักอาจจะเพื่อให้คนของจวนไท่เว่ยได้ตำแหน่งสำคัญในโรงครัวหลักไป เป้าหมายรองก็คงไม่พ้นการหาข้ออ้างในการที่จะหลบหน้าพระองค์ มิใช่ว่าพระองค์ไม่ล่วงรู้ว่านางไม่อยากอยู่คอยปรนนิบัติ ถึงขั้นไม่อยากจะเห็นพระพักตร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาอกเอาใจ เมื่อช่วงสายที่พระองค์ทรงแกล้งเย้านางไปนั้นใบหน้างามหงิกงอสีหน้าแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน หากไม่ติดที่ว่านางนั้นส่วนหนึ่งก็ต้องแบกชื่อเสียงของสกุลไม่อาจทำตามใจตัวเองได้เกรงว่ามื้อแรกที่พระองค์และนางได้ร่วมโต๊ะกันนั้น เฉินจินฮวาผู้นี้คงไม่ข่มอารมณ์ทนปรนนิบัติพระองค์บนโต๊ะเสวยทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าพระองค์นั้นก็ตั้งใจกลั่นแกล้งนาง พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าพระองค์เข้ามา บรรทมด้วยทั้งคืนจะทำสีหน้าเช่นไร ใบหน้างามนั้นคงไม่พ่นหงิกงอ อีกเป็นแน่ เดิมทีเฉินจินฮวาคิดเอาไว้ว่ายามเช้าของวันนี้จะเป็นอะไรที่ทำ ให้นางรู้สึกสดชื่นรื่นรมย์ที่สุด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อครั้งที่นางลืม ตาตื่นขึ้นมานั้นนัยน์ตาตาของนางก็ประสานเข้ากับนัยน์ตาทรงอำนาจ ซึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เหมือนกับเมื่อวานตอนเช้าเป็นที่สุด ‘ไท่จื่อผู้นี้มาอยู่บนเตียงนางอีกแล้วได้อย่างไรกัน’ นี่คือความสงสัยใคร่รู้อย่างไม่พอใจของนางที่โผล่ขึ้นมาในหัว เป็นอันดับแรก คิ้วเรียวราวใบหลิวงามขมวดจนแทบจะรวมเป็นอันเดียวกันได้อยู่แล้ว ทำให้โม่หลงอวี้ทอดมองอย่างสนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง คนทั้งคู่นอนมองกันบนเตียงใหญ่นิ่ง ๆ โดยมีเช่อเฟยคนใหม่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อยู่หลายครา ส่วนด้านเจ้าของพระวรกายทรงอำนาจนั้นทรงแย้มพระสรวลเล็ก ๆ ออกมาครู่หนึ่งเท่านั้นก็ หายวับไปจากพระพักตร์อย่างรวดเร็ว “เมื่อคืนข้าเห็นว่าชายารักนอนหลับสบายดีจึงค่อยวางใจได้ หน่อย” โม่หลงอวี้ตรัสออกมาทำลายความเงียบออกมาเป็นคนแรก “คงเป็นเพราะยาดีจากหมอหลวงหวังที่หมอฉันดื่มก่อนนอนเพคะ” “เปิ่นไท่จื่อนึกว่าเป็นเพราะเจ้าคิดว่าจะไม่ได้พบเปิ่นไท่จื่ออีกหลายวันจึงหลับฝันดีเสียอีก” โม่หลงอวี้ตรัสออกมาอย่างรู้ทัน “พระองค์ตรัสเหมือนรู้ความคิดของหม่อมฉันดีเลยนะเพคะ” นางเอ่ยพลางนอนมองพระพักตร์คมเข้มของผู้ที่ประทับนอนอยู่เบื้องหน้าตน “หรือชายารักจะแย้งว่าที่เปิ่นไท่จื่อตรัสออกไปเมื่อครู่นั้นไม่จริง” “หม่อมฉันหรือจะกล้าแย้งพระองค์ได้ พระองค์ทรงตรัสเช่นไรก็เช่นนั้นเถอะเพคะ” นางเอ่ยออกมาเพียงเบา ๆ พลางหลับตาทั้งสองข้างของตนลง เตรียมจะนอนหลับหนีบุรุษทรงอำนาจข้างกาย “เช้านี้เจ้าไม่รับประทานอาหารกับข้าหรือ เหตุใดอยู่ ๆ ก็ทำท่า จะหลับต่อเสียแล้ว” “หม่อมฉันป่วยเพคะ ไม่สะดวกปรนนิบัติพระองค์เสวย เชิญ พระองค์เสด็จกลับไปเสวยที่ตำหนักหลักหรือไม่ก็เสด็จตำหนักเช่อเฟยผู้อื่นเถอะเพคะ” นางเอ่ยออกมาโดยไม่ลืมตามองคนที่ตนกำลังเอ่ยไล่ทางอ้อมแม้สักครั้ง “หากเปิ่นไท่จื่อยืนยันดึงดันที่จะอยู่ร่วมโต๊ะกับเจ้าก็ไม่ได้เช่นนั้นหรือ” “เฮ้อ…หม่อมฉันเป็นผื่นทั้งตัว ที่ใบหน้าเองก็ไม่เว้น ยามนี้หม่อมฉันไม่ต่างอะไรกับสตรีอัปลักษณ์ไฉนเลยจะเหมาะสมอยู่คอยปรนนิบัติพระองค์ได้ จะทำเอาพระองค์รู้สึกไม่อยากเสวยไปเสียเปล่า ๆ ไม่สู้พระองค์เยือนตำหนักหญิงงามอื่นดีกว่าเพคะ” เฉินจินฮวาอ้างขึ้น ก่อนจะใช้มือเล็กของตนกระชับผ้าปิดหน้าครึ่งหน้าของตนเอาไว้อย่างแน่นหนา โชคดีที่เมื่อคืนนางไม่ได้นอนดิ้นจนทำผ้าผูกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งนี้หลุดออกไป นางทำทีรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับรูปโฉมของตนขึ้นมา ทั้งยังพลิกตัวหันหลังให้เขาอีกด้วย “ชายารักไม่ต้องกังวล ผื่นบนร่างกายเจ้าทายาไม่กี่วันก็หาย ภายหน้าไม่หลงเหลือร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อยแน่” เขาเอ่ยปลอบใจนาง ไม่ใช่ว่าพระองค์นั้นไม่รู้ว่านางแสร้งทำเป็นห่วงรูปโฉมแท้จริงแล้วตั้งใจจะไล่เขาไปต่างหาก เพราะหากนางห่วงเรื่องรูปโฉมจริงตั้งแต่ตื่นมาเห็นพระองค์สิ่งแรกที่นางจะทำต้องไม่ใช่การจ้องมองตอบกลับพระองค์อย่างไม่ย่อมแพ้เช่นนี้แน่ แต่ต้องเป็นการหันหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว “หากเจ้าอยากนอนต่ออีกหน่อยก็นอนเถอะ เอาไว้เจ้าหายดีแล้วเปิ่นไท่จื่อค่อยแวะมาเล่นกับเจ้าใหม่”ตอนพิเศษ วังหลวงอันสุขสงบในปีที่สามหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทรงมีราชโองการให้ยกเลิกการคัดเลือกพระสนม โดยทรงให้เหตุผลต่อเหล่าขุนนางในราชสำนักว่าการคัดเลือกพระสนมและการมีพระสนมมากเกินไปจะเป็นการสิ้นเปลืองอีกทั้งพระองค์อยากตั้งใจบริหารบ้านเมืองมากกว่าสนใจเรื่องของสตรีมากมายในวังหลังแม้เหล่าขุนนางส่วนมากจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ทรงต้องการยกเลิกการคัดเลือกพระสนมแต่ไม่สามารถขัดต่อฮ่องเต้ได้ เพราะเรื่องผู้สืบทอดสายเลือดมังกรยามนี้ก็ทรงมีองค์ชายถึงสองพระองค์ และองค์หญิงหนึ่งพระองค์ที่ประสูติจากพระครรภ์ของฮองเฮา ถือเป็นสายพระโลหิตสายตรงที่ล้ำค่าวังหลังยามนี้นอกจากพระสนมในฮ่องเต้องค์ก่อนที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉุนหวงกุ้ยไท่เฟย แล้วนั้นสนมในฮ่องเต้โม่หลงอวี้ก็นับแล้วไม่เกินหกคนชิงอีจินฮองเฮา จากสกุลเฉินหมิงกุ้ยเฟย จากสกุลหมิง (หมิงเช่อเฟย)สวีผิน จากสกุลสวี (สวีเช่อเฟย)มู่กุ้ยเหริน ฉวีกุ้ยเหริน (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)หม่าฉางจ้าย อี้ฉางจ้าย (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)สตรีอื่นในวังแม้จะอยู่ในสถานะพระสนมของฝ่าบาทแต่ผู้ที่ได้รับใช้พระองค์จริง ๆ กลับมีเพียงเฉินฮองเฮาเท่านั
ตอนที่ 54 ทุกอย่างคลี่คลาย หนึ่งเดือนผ่านไปเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายแล้ว องค์ไท่จื่อเล่า เรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังรวมไปถึงจุดจบของเฮ่อหลินจือและเฮ่อหลูเค่อ รวมไปถึงหัวหน้าเผ่าต้าเหอที่ท่านพ่อของนางเป็นคนไปจัดการ เผ่าต้าเหอตอนนี้กลายมาเป็นพื้นที่ครอบครองของแคว้นเป่ยซี เต็มตัวแล้ว ยามนี้รอแต่งตั้งอ๋องเพื่อไปปกครองเมื่อ ระหว่างรอฝ่าบาทพิจารณาผู้ที่เหมาะสมท่านพ่อของนางจะเป็นผู้ดูแลความสงบที่นั่นไปก่อนหมิงเช่อเฟยตั้งแต่องค์ไท่จื่อให้เสด็จออกไปยังที่ปลอดภัยก็ยัง แวะท่องเที่ยวไม่ยอมกลับมาเสียที อาจูที่ติดตามไปด้วยก็พลอยยังไม่ได้กลับมาด้วยกันส่วนสวีเช่อเฟยนั้นเคยเก็บตัวเงียบอยู่ในตำหนักอย่างไรก็เป็น เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงส่วนตัวนางเองก็ได้เปิดใจกับองค์ไท่จื่อไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝันบอกเหตุหรือคำทำนายที่ได้รับ และเหตุผลว่าทำไม นางถึงไม่อยากจะมีครรภ์กับพระองค์ในเวลานั้นพระองค์รับฟังนางทุกเรื่องอย่างไม่เร่งรัดสรุปตัดความ ทรง เปิดใจให้นางได้เปิดเผยทุกอย่างในใจมีเรื่องหนึ่งที่นางถึงขั้นอึ้งหนักไปเลยนั่นคือเรื่องของนักพรต ลู่อวี้แห่งอารามโต้เทียน“ดูเหมือนนักพรตลู่อวี้ที่ชายารักกล
ตอนที่ 53 เป็นไปตามแผนวันนี้คือวันที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ทำการใหญ่ องค์ไท่จื่อและเฮ่อหลูเค่อรวมไปถึงหน่วยกล้าตายมากฝีมือลอบเข้าวังหลวงได้อย่างง่ายดาย เป็นเพราะองค์ไท่จื่อได้ผลัดเปลี่ยนเวรยามภายในวังหลวงก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วในที่สุดก็สามารถเข้ามาถึงห้องทรงอักษรของฮ่องเต้โม่หลงเซียวได้อย่างง่ายดาย ตามทางที่มีเหล่าขันทีและนางกำนัลเฝ้าอยู่ตอนนี้มีเพียงแค่ร่างที่ไม่รู้สึกตัวนอนหมดสติอยู่ตามพื้นเช่นเดียวกันกับเหล่าองครักษ์ประจำวังหลวง“องค์ไท่จื่อลงมือได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ต้องเสียทั้งแรงและเวลาไปเปล่า ๆ” เฮ่อหลูเค่อเอ่ยขึ้นหลังจากถอดผ้าคลุมหน้าของตนออกเมื่อเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษรด้านในแล้วหน่วยกล้าตายถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านนอกห้าคน และตามเขากับองค์ไท่จื่อเข้ามาอีกห้าคน“สิ่งที่ข้าลงมือทำด้วยตัวเองแน่นอนว่าย่อมต้องไร้ที่ติ” ไท่จื่อหนุ่มกล่าวก่อนจะเป็นผู้เปิดประตูบานสุดท้ายที่จะนำพาพระองค์ไปหาผู้เป็นเสด็จพ่อของพระองค์ที่ทรงประทับอยู่ห้องด้านในเมื่อประตูบานสุดท้ายเปิดออกก็พบกับผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยซีทรงประทับอยู่บนแท่นพระที่นั่งด้วยท่าทีทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองเหล่าผู้มาใหม่ด้ว
ตอนที่ 52กำจัดเสี้ยนหนามตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใดที่เกิดขึ้นภายในตำหนักบูรพาก็ไม่มีสิ่งใดที่เฮ่อหลินจือไม่รู้ เรื่องที่อี้กงกงขันทีคนสนิทของฝ่าบาทมาทำไมที่ตำหนักบูรพาก็เช่นเดียวกันนางรู้สึกพอใจอยู่ลึก ๆ ที่สตรีแซ่เฉินผู้นั้นกำลังตกอยู่ในความมืดมิด เช่นนั้นหากนางจะเป็นผู้ช่วยปลดปล่อยสตรีแซ่เฉินผู้นั้นให้ได้พบเจอกับความสงบตลอดไปจะดีแค่ไหนกันนะ“น่าน่านักฆ่าที่เราเรียกใช้ได้ตอนนี้มีอยู่เท่าไร่หรือ”“ราว ๆ เกือบสามสิบคนเจ้าค่ะ”“จำนวนไม่น้อยเลยนี้ มากเพียงพอที่จะกำลังสตรีนางหนึ่ง ไม่สิมากเกินไปด้วยกระมัง” นางเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี“น่าน่ารับคำสั่งข้าเรียกให้นักฆ่าทั้งหมดที่เรามีตามไปกำลังสตรีแซ่เฉินผู้อวดดีให้ข้า” หญิงสาวเอ่ยสั่งออกมาเสียงเย็นรถม้าคันใหญ่เร่งมุ่งหน้าลงใต้ด้วยความเร็ว ยามนี้แม้รถม้าจะเร็วเพียงใดแต่จิตใจของคนในรถม้ากลับเร็วกว่าใจของพวกเขาลอยไปถึงหุบเขาทางใต้ที่ท่านพ่ออยู่นานแล้ว“ท่านแม่ ท่านพี่เป็นแม่ทัพกล้าเสมอมา กี่ร้อยสนามรบไม่ว่าเล็กใหญ่ล้วนผ่านมาได้ ครั้งนี้ท่านพ่อก็จะต้องรอดชีวิตได้อีกแน่” เฉินฟูหมิงเอ่ยบอกท่านแม่ที่อยู่ในอ้อมกอดของตนในยามนี้“แต่อี้กงกงกล่าวว่าพ่อเจ้
ตอนที่ 51เรื่องราวในอดีต ทั่วทั้งวังหลวงไม่มีผู้ใดไม่ได้ยินเรื่องที่ฝ่าบาททรงกริ้วองค์ไท่จื่อหนักถึงขั้นต่อว่าอย่างรุนแรงในระหว่างการประชุมราชการในช่วงเช้าที่ผ่านมาต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนักภายในวังหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแท้จริงแล้วองค์ไท่จื่อกับฝ่าบาทต่างก็มีความเนินห่างกันอยู่ องค์ไท่จื่อโม่หลงอวี้ผู้นี้หัวรั้นจนเกินไปจนมักจะเกิดการโต้แย้งกันอยู่เสมอฟังจากที่เหล่าข้ารับใช้ในวังหลวงเล่าต่อกันมาว่าหากองค์ไท่จื่อไม่ได้เป็นพระโอรสองค์โตที่ประสูติแก่ฮองเฮาพระองค์ก่อนที่ด่วนสิ้นพระชนม์ไปฝ่าบาทก็คงไม่ทรงไว้หน้าไท่จื่อผู้นี้แล้วก็คงมีรับสั่งให้ปลดออกจากตำแหน่งหวงไท่จื่อนานแล้วภายในวังหลวงและเหล่าขุนนางต่างแอบพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่บางอย่างลับ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดจะกล้าผู้ออกมาอย่างเปิดเผย แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าขุนนางก็เริ่มคิดแผนการเอาไว้หลายทางมากขึ้นเผื่อว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ พวกเขาอาจต้องเลือกระหว่างองค์ชายรองและองค์ชายสาม แน่นอนว่าองค์ชายรองซึ่งเกิดจากพระสนมชิงเฟยดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกแรกที่ถูกนึกถึงแต่ถึงแม้หากจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งหวงไท่จื่ออ
ตอนที่ 50ใจจริงของเจ้าสามวันสามคืนแล้วที่องค์ไท่จื่อไม่ได้เสด็จมาหานางที่ตำหนักทิศประจิม อีกทั้งไม่มีฝูกงกงหรือผู้ใดมาแจ้งเลยว่าเหตุใดถึงไม่ทรงเสด็จมาซึ่งผิดไปจากปกติเป็นอย่างมากเพราะพระองค์ไม่เคยไม่เสด็จมาหานางนานถึงเพียงนี้นางไม่ได้ให้อาจูไปสอบถามที่ตำหนักหลักตรงๆ เพราะกลัวที่จะเสียหน้าจึงได้สั่งให้อาจูไปแอบสืบจากองครักษ์เฝ้าประตูเงียบ ๆ ถึงได้ความมาว่าองค์ไท่จื่อเสด็จกลับมาที่ตำหนักบูรพาทุกวัน เพียงแต่เสด็จวังหลวงแต่เช้ากว่าเดิม และเสด็จกลับมาดึกด้วยทุกคืนช่วงนี้อาจจะทรง ทรงงานหนักมากจนไม่มีเวลา แต่อย่างไรเฉินจินฮวาก็มั่นใจว่าต่อให้จะดึกแค่ไหนหรือว่านางจะหลับไปแล้วอย่างไรพระองค์ก็จะเสด็จมาหานางอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้เจอนางยามตื่นก็คงจะต้องแวะมาแกล้งนางยามหลับนางทำให้พระองค์โกรธเคืองหรือก็ไม่น่าเป็นไปได้ คืนก่อนที่แวะมาเสวยมื้อค่ำที่ตำหนักของนางก็ทรงไม่มีท่าทีแปลก ๆ หรือไม่สบ อารมณ์ใด ๆ เลย เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงโกรธเคืองนางฉะนั้นอาจจะเป็นเพราะทรงยุ่งเท่านั้นล่ะ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่า พระองค์ไม่เสด็จมาหานางควรจะดีใจหรือเปล่า นางหวังให้เป็นเช่นนี้ มาตลอดมิใช่หรือแล้วเวลานี้ม