ท่ามกลางบรรยากาศรักใคร่ที่ถูกเจ้าของตำหนักตกแต่งไว้อย่างบรรจงในห้องรับรอง เงาร่างสองชายหญิงทอดตัวยาวภายใต้แสงโคมไฟสีมงคลตระการตาอีกฝั่งหนึ่งรัชทายาทหนุ่มพาซิงเยว่มายืนชมจันทร์ริมระเบียง หมายมองตากันอย่างลึกซึ้ง ดวงตาคมดำขลับเปล่งประกาย ยามมองสตรีข้างกายอย่างพึงใจยามจับจ้องนางแน่วนิ่งคล้ายมีบางสิ่งดูดดึงยากยั้งใจ ซิงเยว่คล้ายขุมพลังเร้นรับ น่าค้นหา ชวนร้อนรุ่มปานนั้น“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารู้สึกเช่นใดตั้งแต่เจอเจ้าครั้งแรก”เยี่ยนหงหมิงเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง น้ำเสียงของเขาเหมือนมีแรงดึงดูดทำใจคนฟังหวั่นไหว ยามใช้วาจาอ่อนโยนยังคลี่ยิ้มพราวเสน่ห์ชวนเคลิบเคลิ้มเติมฝันสตรีให้คิดไปไกล ใบหน้าหล่อเหลาและรัศมีเปล่งประกายที่แผ่กำจายออกมาจากร่างแกร่งสง่างามนั้นยิ่งทำให้คนมองรู้สึกเขินอายยิ่งสตรีใดไม่ตกบ่วงมหาเสน่ห์แห่งบุรุษเพศให้รู้ไปหญิงสะคราญวัยสะพรั่งผู้ซึ่งเป็นนางกำนัลที่ยืนรอรับใช้อยู่ไม่ไกลต่างพากันกลั้นเสียงกรีดร้องสะเทิ้นทรวงประหนึ่งถูกบอกรักเสียเองสตรีทุกคนล้วนเป็นเช่นนั้นทว่ามิใช่ซิงเยว่...ยามนี้นางเพียงรับฟังคำหวานนิ่งๆ สีหน้าเรียบเฉยยิ่งนางยิ้มบางเอ่ยเสียงเรียบเย็นลุ่มลึก “หม่
งานเลี้ยงต้อนรับยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นในเขตพระราชวังชั้นกลาง ฮ่องเต้เยี่ยนทรงเสด็จตรัสเปิดงานด้วยองค์เอง รอบด้านครึกครื้นเริงรื่น ทุกคนร่ำสำราญเต็มที่แขกเหรื่อล้วนเป็นขุนนางขั้นหนึ่งขั้นสอง รัชทายาทจึงช่วยรับรองด้วยตัวเองหลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับ รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงจึงมอบหน้าที่รับรองเหล่าผู้นำการค้าให้เป็นของขุนนางใหญ่ส่วนผู้นำสูงสุดเขาเชิญเข้าตำหนักรับรองด้านใน เพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวอย่างต้องการเชื่อมสัมพันธ์ลึกซึ้ง โดยมีสามีภรรยาคู่หนึ่งลอบติดตามเข้ามาอย่างไร้ยางอาย สองคนนี้ให้เหตุผลว่าด้านนอกเสียงดังเกินไป หนวกหูยิ่งนัก ปรารถนากินอาหารเพียงสองต่อสองอย่างเงียบงันหวานชื่นสามีภรรยาคู่นี้มิใช่ใครพวกเขาคือหยางเจี้ยนและหมิงเยว่เยี่ยนหงหมิงย่อมไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างหมิงเยว่กับซิงเยว่ และไม่รู้จะทำอย่างไรกับแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นสหายดี จึงพาเข้ามาด้วยกันเพื่อเป็นพยานความรักเสียเลยสาเหตุที่หยางเจี้ยนกับหมิงเยว่ลงทุนทำเช่นนี้เพราะหลังจากหมิงเยว่คลอดบุตรชายคนแรกและพักผ่อนจนร่างกายแข็งแรงดี เขาจึงพาภรรยาสุดรักมาเปิดหูเปิดตามิคาดว่าซิงเยว่จะพาสมุนร่างใหญ่ที่ชุบตัวกลายเป็นพ่อค้ามือฉมังคหบด
ทว่าจังหวะนั้นจิ้นสิงพลันเดินเข้ามา ค้อมเอวกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เรียนนายท่านทั้งสอง คุณชายรองให้บ่าวนำคำมาแจ้งขอรับ”นับแต่เกิดเรื่องร้ายที่ทางขึ้นเขาวัดต้าจี๋ในวันนั้น หลิวไท่หยางยามนี้จึงเก็บตัวไม่ออกจากเรือนแม้ครึ่งก้าว ใครขอพบยังยากยิ่งกว่าเข้าเฝ้าจักรพรรดิการที่อีกฝ่ายสั่งบ่าวให้นำความมาบอกกล่าว หลิวอี้จึงไม่ถือสา เขารู้ดีว่าบุตรชายผู้มากความสามารถของเขา หากดื้อรั้นขึ้นมา ปัญหาเกิดแน่!บุตรชายคนอื่นก็ใช้การไม่ได้ ขืนให้รับช่วงกิจการต่อ คงไม่แคล้วพาตระกูลล่มจม เฮ้อ...ใครให้เขาแก่ชราเร็วเพราะมั่วคาวโลกีย์ช่วงวัยหนุ่มมากเกินไปกันเล่า?หลิวอี้กระแอมไอพลางโบกมืออนุญาต “ว่ามา”จิ้นสิงยังคงประสานหมัดยามเอ่ยวาจาเคร่งขรึม “คุณหนูโจวซู่ฉินเพิ่งตาย พิธีศพเพิ่งเสร็จสิ้น คุณชายรองต้องการไว้ทุกข์ให้นางอย่างไม่มีกำหนดขอรับ”นายท่านโจวเลิกคิ้ว หลิวอี้เบิกตาจ้าวซินเจี๋ยรีบกล่าวว่า “นับเป็นวาสนาของโจวซู่ฉิน นางยังไม่ทันแต่งให้หลิวไท่หยางด้วยซ้ำ แต่เขากลับ...”ยังไม่จบประโยค นางก็หลุบตายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาอย่างซาบซึ้ง “ในฐานะสตรีด้วยกัน ข้าตื้นตันนัก”ท่าทีเช่นนี้มีหรือจะไม่ทำให้คนคล้อยตาม
หลังจากเกิดเหตุสะเทือนขวัญกับบุตรสาวสกุลโจวผู้เป็นว่าที่ภรรยาเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหลิวปัญหาระหว่างสองตระกูลจึงตามมาอย่างมิอาจเลี่ยง ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนข้อพิพาทเรื่องเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหลิวโจวก็ยังไม่หมดสิ้น“คุณชายรองหลงใหลสาวใช้ทำให้โจวซู่ฉินต้องตาย สกุลหลิวต้องชดใช้” นายท่านโจวกล่าวอย่างเดือดดาล“เห็นได้ชัดว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เกินคาดคิด ใครอยากถูกโจรปล้นชิงกันรึ?” หลิวอี้กล่าวอย่างไม่ยินยอม“ย่อมเป็นแผนของสาวใช้ผู้นั้น นางต้องการกำจัดบุตรสาวข้า เบื้องหลังอาจเป็นคุณชายรองหลิวก็เป็นได้”สิ้นวาจานายท่านโจว หลิวอี้ก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียด ในขณะที่จ้าวซินเจี๋ยค่อยๆ เอ่ย “ท่านโจวตรองให้ดีก่อนเถิด สาวใช้คนสนิทของคุณหนูโจวบอกเองว่าทุกคนตกหน้าผาเพราะถูกโจรทำร้าย ช่วงเป็นตายสาวใช้ของหลิวไท่หยางยังเป็นคนปกป้องบุตรสาวท่านจนตัวตายตามกันไปด้วยซ้ำ หรือต่อให้เป็นแผนการของสาวใช้ผู้นั้นจริงดังท่านกล่าวหา หากแต่นางก็ตายไปแล้ว”นายท่านโจวแค่นเสียงฮึ เถียงไม่ได้หลิวอี้จึงเอ่ยหยั่งเชิง “เรื่องเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโจวหลิวสองตระกูล ข้าเห็นสมควรว่าต้องดำเนินต่อไป เมื่อพวกเราประกาศเป็นหนึ่งดุจเดิม
โม่เฟิงถามซิงเยว่ “ข้าจำได้ว่าเคยเจอนายหญิงรองตรงเชิงเนินระหว่างหุบเขาก่อนเข้าหมู่บ้านแห่งนี้ มิคาดว่าครั้งนั้นท่านความจำเสื่อมกลายเป็นสาวใช้ไปเสียได้ ข้านึกว่าท่านกำลังมีแผนการชั่วร้ายอะไรบางอย่างเสียอีก จึงไม่คิดเข้าไปขัดผลประโยชน์”“ชีวิตคนย่อมผกผันเช่นนั้น ไม่พบเจ้าแค่ชั่วพริบตา ยังกลายเป็นราชบุตรเขยเสียแล้ว” ซิงเยว่เอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ “เหตุใดกัน? เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”ชายหนุ่มรูปงามยิ้มบาง ดวงตาดอกท้อพราวระยับ “ข้าย่อมมีดีเหนือใคร องค์หญิงเจ็ดรักถนอมข้ามาก”หยางเจี้ยนกับหมิงเยว่มองโม่เฟิงอย่างหมั่นไส้ผู้ถูกมองรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า เขาไอแห้งๆ กล่าว “เอาไว้ข้าเล่าให้ฟังดีกว่านะขอรับ ยามนี้ข้าต้องทำสิ่งใดต่อ ขอนายหญิงรองโปรดสั่งการ”“เจ้าแค่เรียกรวมพลเหล่าสมุนทุกคน จากนั้น...”ซิงเยว่จึงบอกแผนการขั้นต่อไปอย่างใจเย็น ในแผนการคือกลับไปปกครองแดนใต้ เร่งบำรุงขวัญกำลังใจเหล่าสมุนที่ระส่ำระส่ายมาช้านานเพราะขาดหัวหน้าใหญ่ให้มั่นคงหนักแน่นดุจเดิมก่อนหน้านี้ หนึ่งในหัวหน้าสมุนคนสำคัญที่ต้องพาลูกน้องบางส่วนระหกระเหินคือโม่เฟิงเมื่อโม่เฟิงขึ้นเป็นราชบุตรเขยย่อมไม่สะดวกดูแลลูกน้องเก่าอ
โจวซู่ฉินยืนเบิกตามองกลุ่มโจรอย่างมิอาจละสายตา นางเหลือบตามองคนสุดท้ายที่เหลือ ด้วยหัวใจหวาดผวา หวังว่าอีกคนคงมิใช่รัชทายาทหรือฝ่าบาทเสด็จมาเองนะ!ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว...ไม่ปล่อยให้โจวซู่ฉินสงสัยนาน ชายหนุ่มคนสุดท้ายปลดผ้าคลุมหน้า เผยความหล่อเหลาสุดแสนธรรมดาสามัญ ทว่ากลับทำหญิงสาวผู้หนึ่งหัวใจแทบหยุดเต้นโจวซู่ฉินเบิกตาโตอย่างมิอาจโตได้มากกว่านี้“เนี่ย...เนี่ยจื่อหาน!”เจ้าของนามยิ้มบาง “ข้าเอง...”เสียงร้องไห้โฮดังลั่นอย่างมิอาจสะกดกลั้นทันที เมื่อวงแขนของคนสำคัญดึงร่างบางไปกอดแน่นเนี่ยจื่อหานกระชับอ้อมแขนรัดร่างสั่นเทาของคนรัก นางจึงสะอื้นไห้ตัวโยนฝังกายไปกับแผงอกหนาทันที“ซู่ฉิน...”โจวซู่ฉินยกมือขึ้นทุบแผ่นหลังกว้างอย่างคับแค้นใจ “เนี่ยจื่อหาน เจ้าคนชั่ว ท่านหายไปที่ใดมา เหตุใดทิ้งข้า”ชายหนุ่มปล่อยกำปั้นน้อยๆ ทุบตี ให้นางได้ระบายความอัดอั้นเต็มที่เขาเพียงโต้มตัวก้มหน้านิ่งซบเรือนผมนุ่มสลวย กดปลายคางกับบ่ามน ลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลม“ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ แต่ครั้งนั้นเจ้าไม่ฟังข้าเลย”โจวซู่ฉินยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม นางไม่ทุบตีแล้ว เอาแต่ร้องไห้แทบขาดใจ เนี่ยจื่อหานทั้งจูบทั้งหอ