บทที่ 03 มาเฟียป่าเถื่อน
"ออกมา…จะซ่อนตรงนั้นอีกนานไหม?" ฉันค่อย ๆ โผล่หัวออกมาอย่างช้า ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ กับสามคนที่ยืนเป็นหุ่นปั้น ใช้สายตาคู่คมช้อนมองจนขนกายฉันลุกซู่ไปหมดทั้งตัว
"ใครสั่งให้เข้ามาในนี้" เสียงอันน่าเกรงขามเอ่ยถามจนสะดุ้ง ฉันเริ่มปรายตามองรอบ ๆ ถึงได้เห็นว่าตรงที่ฉันยืนอยู่เป็นหน้าโกดังเก่า ๆ ที่ดูเหมือนกำลังจะร้างเข้าทุกที
ตอนวิ่งมาก็ไม่ได้สังเกตอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตรงนี้ยังมีโกดังตั้งอยู่และมีเจ้าของที่น่ากลัวขนาดนี้
"อะ เอ่อ…พอดีฉัน…" พูดอะไรไม่ออกเลยแฮะ ปกติก็ไม่ใช่คนที่จะกลัวอะไรง่าย ๆ เจอนักเลงมาก็หลายรูปแบบ แต่ทำไมกับคนนี้ฉันถึงไปต่อไม่ถูกแบบนี้
"น่ารำคาญ…" ขณะที่ฉันกำลังอึกอักอีกคนก็พูดสวนพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่รอคำตอบ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องสนใจ แต่สิ่งที่เขาพ้นออกมาเมื่อครู่กำลังทำให้ความกลัวที่มีเริ่มหายลดลงจนหายไป แทนที่มาด้วยความโกรธแทน เพราะไม่เคยมีใครใช้คำว่า 'รำคาญ' กับฉันมาก่อน
"ว่าไงนะ ว่าใครน่ารำคาญวะ!?" ฉันช้อนสายตาอย่างเอาเรื่อง รีบถลาจะเข้าไปกระชากคอเสื้อแม่งจนลืมไปว่าลูกน้องของเขา…มีปืน
เท้าเรียวชะงักกึกลางอากาศเมื่อเห็นสองคนข้างหลังเลิกเสื้อขึ้นแล้วก้าวมาบังตัวเจ้านายของเขา ขณะที่ฉันก็ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังกลับมาช้า ๆ เพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงตายตรงนี้
"หึ ปากแบบนี้ไม่แปลกใจทำไมถึงโดนพวกนั้นรุมกระทืบ" เรียวปากหนาว่าจบก็เหยียดยิ้มมุมปาก ไล่มองฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยสายตาที่กำลังดูหมิ่นดูแคลนจนฉันได้แต่กำมือแน่นเพราะทำอะไรมันไม่ได้
ความคิดที่จะเข้าไปขอบคุณในตอนแรกหายวับไปกับตา เหลือแต่เพียงความเคียดแค้นที่กำลังสั่งสมจนต้องกำหมัดแน่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
"ปากคุณก็ไม่ต่างไปจากฉันนักหรอก หมาไม่ต่างกัน" ฉันด่าไว้ทิ้งท้ายก่อนที่จะรีบสับเท้าหนีอย่างไว อยู่ทำไมให้ตายเร็วล่ะ ทำเขาโกรธจัดขนาดนั้นคงไม่ส่งลูกน้องวิ่งตามมาเก็บฉันหรอกนะ
"ฟู่วววว~" ฉันถอนหายใจยาวเมื่อรอดจากสถานการณ์ไปได้อย่างหวุดหวิด ทั้งตีนจากคู่อริของไอต้นกล้า รวมไปถึงกระบอกปืนดำเมี่ยมที่เหน็บข้างเอวของพวกมาเฟียป่าเถื่อนพวกนั้น
"แก้วตาเป็นไงบ้าง" ทันทีที่เดินมาถึงแผงขายของตัวเองป้าณีก็รีบเดินเข้ามาหา ก่อนที่จะพลิกแขนซ้ายขวาเพื่อหาแผลตามร่างกายของฉัน
"นี่แก้วตานะป้า ไม่มีใครทำอะไรง่าย ๆ หรอก" ฉันยักคิ้วใส่ราวกับไม่ได้ผ่านสถานการณ์อะไรมา เอาจริง ๆ ก็ชินกับอะไรพวกนี้แล้ว ไอต้นกล้ามันสร้างเรื่องให้ไม่เว้นแต่ละวันไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายที่ไหนร่างกายฉันก็แข็งแรงได้เทียบเท่ากับนักกีฬาโอลิมปิกเลย
"ป้าเห็นไอปั๊กไหม มันได้มาที่นี่หรือเปล่า?"
"นู้น…แอบอยู่ตรงนู้นน่ะ" ฉันมองไปตามนิ้วเรียวของป้าณีที่ชี้ไปที่ตัวการของเรื่อง จนเด็กวัยสิบขวบลูกของแม่ค้าในตลาดโผล่หัวขึ้นมายิ้มแห้งให้ ขณะที่ฉันก็ยิ้มมุมปากหนึ่งข้างกระดิกนิ้วให้มันเดินมาหาใกล้ ๆ ตัว
"แหะ…เจ๊…"
"ไง…มีอะไรจะแก้ตัว"
"ผะ ผมรีบนี่หนาเจ๊ ไม่ทันได้สังเกตหรอกว่าใครพวกใครบ้าง เห็นพี่ต้นกล้ากำลังจะถูกทำร้ายก็รีบมาบอกเจ๊เลย"
"แกกำลังจะทำให้ฉันถูกกระทืบตายหลังตลาด"
"แต่เจ๊ก็รอดมาได้ ผมรู้ว่าลูกพี่ผมเก่งอยู่แล้ว"
"เหรอ…ไอปั๊ก!" ฉันขึ้นเสียงใส่เด็ก ใจหนึ่งก็โมโหที่มันเกือบทำให้ชีวิตฉันไม่รอด แต่อีกใจมันก็เป็นเด็กที่หวังดีกับฉันคนหนึ่ง เป็นเหมือนน้องชายอีกคนก็โกรธมันไม่ลงเหมือนกัน
"ผมชื่อปลั๊ก ไม่ใช่ปั๊ก…เรียกเป็นพันธุ์หมาเลยเจ๊"
"ก็กูจะเรียกแบบนี้"
"ผมก็ยอมแค่เจ๊คนเดียวนั้นแหละ" มันก็พึมพำไปตามประสาเด็ก
"แล้วไอต้นกล้าอะ"
"พี่ต้นกล้ากลับบ้านไปตั้งนานแล้ว"
"เออก็ดีแล้ว แกจะไปไหนก็ไปไป เกะกะหน้าร้าน" ฉันปัดป่ายมือไล่ไอปั๊ก จนมันเล่นหูเล่นตาใส่ฉันคว้าส้มไปหนึ่งลูกก็รีบวิ่งหนีไป กวนตีนจริง ๆ
"ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกที่แท้จริง" ฉันถอนหายใจอย่างน่าเบื่อเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นคนที่กำลังใกล้เดินเข้ามา
ชายหนุ่มสองคนลูกเจ้าของตลาดที่กำลังเดินไล่เก็บค่าเช่าที่ทีละคน ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีจ่ายให้ แต่เพราะหัวหน้ามันชอบมาวอแวจนน่ารำคาญต่างหากฉันถึงไม่ชอบใจ
"ป้าฉันฝากเงินให้มันนะ ไปเข้าห้องน้ำก่อน" ฉันรีบเดินเข้าไปหาป้าณีพร้อมกับฝากเงินค่าเช่าที่ไว้ ส่วนฉันก็เตรียมจะหนีมันไปอีกทางเพราะไม่อยากอยู่สนทนาให้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้
"น้องแก้วตา~" แต่เท้ายาวที่กำลังจะก้าวหนีก็ต้องชะงักเมื่อไม่ทันความไวของไอกัลป์ที่เรียกไว้แล้วมายืนดักขวางหน้าฉันไว้ก่อน
"กูกับมึงอายุเท่ากัน" ฉันกรอกตาใส่แล้วเดินกลับไปนั่งที่แผงขาย ยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้วก็ไม่รู้จะหนีต่อไปทำไม ฉันเอาเงินที่ฝากป้าณีไว้กลับมาใหม่แล้วรีบยัดใส่มือของมันแล้วออกปากไล่ทันที
"ได้เงินแล้วก็รีบไป กูจะขายของ"
"ทำไมมึงไม่พูดกับกูเพราะ ๆ มั้งวะ กูอุตส่าห์พูดดีด้วย"
"มึงยังไม่ชิน?" ฉันกับไอกัลป์เราอายุเท่ากัน เรียนมัธยมที่เดียวกันมันก็ขยันตามติดฉันตลอด ทั้งที่ฉันออกตัวว่าไม่ชอบมันขนาดไหนแต่ก็ยังตื้อน่ารำคาญไม่เลิกเหมือนเดิม
"กัลป์เจ็บมากนะที่แก้วตาพูดแบบนี้"
"มึงเลิกน้ำเน่า แล้วออกไปได้แล้วไป กูจะขายของโว้ย"
"งั้นกูเหมา"
"ไม่ต้อง กูทำมาหากินของกูเอง ไม่ต้องมาทำตัวใจป๋า"
"เมื่อไหร่มึงจะรับความช่วยเหลือจากกูบ้างวะ อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกันนะเว้ย"
"ไว้กูจนตรอกวันไหนกูจะขอมึงช่วย"
"แม่งก็พูดแบบนี้ตลอด" ว่าจบมันก็รีบเดินออกไปด้วยใบหน้าไม่พอใจ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ทำตัวใจป๋าแบบนี้กับฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดนฉันปฏิเสธทุกครั้งจนฉันนับถือในความพยายามของมันแต่ก็นั้นแหละยังไงฉันก็มองมันเป็นมากกว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ดี
"ผมคิดว่าเมื่อกี้เราทำเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม""อันนี้มันเค้กช็อกโกแลตหน้าไหม้หนิครับ" ฉันถึงทำกับหลุดขำพรืดในตอนที่ลูกชายสองคนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จกำลังจดจ้องเค้กก้อนแรกของพวกเขาสีหน้าขมวด ก่อนที่จะปรายตาไปมองคนเป็นพ่อพร้อมกัน พี่สงครามจึงกระแอมคอนิดหน่อยราวกับกำลังคิดคำตอบ"พ่อว่า…เตาอบที่บ้านน่าจะมีปัญหานิดหน่อย" พี่สงครามพูดเสียงเรียบพยายามเก็บอาการ ในขณะที่ฉันก็พยายามกลั้นขำไม่ให้เกิดพิรุธ"หมดกันเค้กที่คามิลพยายามทำ" คามิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ทิ้งตัวไปพิงเก้าอี้ทานข้าว ทว่ายังมีอีกคนที่กำลังจ้องพี่สงครามกับฉันสลับกัน"มีอะไรคริส?" พี่สงครามเอ่ยถาม"เตาอบมีปัญหาหรือลืมสงครามลืมเอาออกจากเตาอบ" คริสถามเสียงเรียบ เด็กคนนี้รู้ทันคนเป็นพ่อเสียทุกอย่าง พอถามจบพี่สงครามก็เริ่มเกิดอาการพิรุธทันที"ใครจะไปลืม เตาอบมีปัญหาจริง ๆ""ไม่ใช่ว่ามัวแต่สวีทกับคาริสาเหรอครับ?" คิ้วเรียงสวยเลิกขึ้นมองคนเป็นพ่อนิ่ง จนสุดท้ายพี่สงครามก็ต้องยอมรับ"แม่ทำพ่อเสียสมาธิ พ่อเลยลืม""พี่คราม!" ฉันถลึงตาใส่เขาที่อยู่ ๆ ก็โยนความผิดมาให้ฉัน เขาต่างหากที่เป็นคนเดินมาหาฉันเอง ฉันไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิเลยสักนิด"เฮ้อ
ห้าปีผ่านไป"นี่มันอะไรกันเนี่ย!" ฉันได้แต่อ้าปากค้างแล้วเหลือบมองคนสามคนที่กำลังทำอะไรบางอย่าง ไล่มองสามร่างต่างขนาดทีละคนก่อนที่จะหยุดที่คนสุดท้ายที่ฉันคิดว่าเป็นตัวต้นเรื่อง"…" ไม่มีเสียงตอบรับจากใครสักคนที่อยู่ในครัว ตอนนี้ฉันกำลังเล็งผู้ชายสามคนที่กำลังพังห้องครัวของฉัน ไล่เรียงตั้งแต่หกขวบคามิล สิบสามขวบคริสและคนสุดท้าย เกือบสี่สิบขวบพี่สงครามเป็นหัวโจกมีอุปกรณ์ทำขนมอยู่ในมือทุกคน แป้งขนมตลบอบอวลไปทั่วห้องครัวฟุ้งกระจายเกินกว่าที่คนข้างนอกจะคิดว่าพวกเขากำลังทำอาหาร"อธิบายมาค่ะพี่คราม" ฉันเล็งไปที่คนเป็นพ่อที่มือถือตะกร้อตีไข่ พอเห็นสายตาที่ฉันมองเขาก็รีบวางลงในทันที"พี่แค่กำลังทำตามที่เมียบอกไง ไม่จับอุปกรณ์ตีรันฟันแทง" ใช่…เพราะพี่สงครามชอบให้ลูก ๆ ของฉันทำอะไรที่อันตราย ฝึกการเป็นมาเฟียอะไรของเขาซึ่งฉันเข้าใจดี แต่ฉันคิดว่ายังไม่ถึงวัยจึงห้ามพี่สงครามอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่คิดว่ากิจกรรมที่สามีเลือกทำจะเป็นการเข้าครัวทำอาหารแบบนี้"แต่พี่กำลังจะพังครัว" ทุกอย่างเละเทะไปหมดโดยเฉพาะใบหน้าของสามหนุ่มที่เต็มไปด้วยแป้ง ยิ่งตามพื้นก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่"ฉันแค่จะทำเค้กช็อกโกแลตให้เธอบ้า
ท่อนเอ็นปูดนูนกำลังถูกฉันค่อย ๆ นั่งทับลงรูสวาท ความใหญ่โตเต็มที่กำลังทำให้กลีบดอกไม้ที่ฉ่ำเยิ้มแหวกออกจากกัน สุดท้ายมันก็เข้ามาในร่างกายของฉันสำเร็จ เอ็นร้อนแท่งใหญ่ทำให้ฉันต้องงอตัวไปข้างหน้า สอดประสานมือหนาของพี่สงครามแน่นเพื่อเป็นที่ยึดไม่ให้ฉันตกลงไปคอหักจากโต๊ะทำงานตัวสูง"ซี๊ดดด~" ร่างสูงครางร้องพึงพอใจในเอวบางบดขยี้กลางกายที่กำลังเชื่อมติดกัน แม้ว่าท่านี้มันจะทำให้เสียวซ่านจนตัวงอแต่ฉันก็ไม่ย่อท้อที่จะบำเรอความสุขให้กับสามี ยิ่งได้ยินเสียงครางที่น่าพอใจแรงที่จะขยี้เป็นเนื้อเดียวกันก็มีมากขึ้น"ทะ ทำไมถึงใหญ่แบบนี้ อื้อ…""เมียจ๋าก็ตอดผัวเหมือนกัน~" เราต่างคนต่างครางเสียวกับความเข้าขากันข้างใน เม็ดเหงื่อฉันท่วมไปทั่วกรอบหน้าเป็นสัญญาณของวันสวาทที่กำลังเริ่มขึ้นฉันใช้เวลากับการบดขยี้ไม่นานเรือนร่างก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกระดกสะโพกขึ้น ก่อนที่จะกระแทกขึ้นลงเพราะทนความเสียวไม่ไหว ทว่าการทำแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเสียวน้อยลงเลยปึก ปึก ปึก !"อะ อื้อ~" ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวไปหมด ยิ่งตอนที่เข้าสุดออกสุดความใหญ่โตกำลังไล่ทำให้ฉันจุกไปทั้งท้องน้อย หน้าอกอวบอั๋นกระเพื่อมไปตามแรงตอกอัด แล้วก็ไม่
"เป็นยังไงบ้างเหนื่อยไหม?" ร่างสูงเอ่ยถามในขณะที่ฉันเพิ่งกลับเข้ามา วันนี้ฉันเบบี้และแม่บ้านอีกสองคนพากันออกไปตามหาเนื้อผ้าหายากเพื่อมาตัดชุดคนสำคัญ ทั้งบ้านจึงเหลือแค่พี่สงครามคนเดียวที่เลี้ยงลูกเพราะป้าปิ่นลางาน แต่สิ่งที่เขาถามฉันว่าฉันควรเป็นคนถามเขามากกว่า เพราะใบหน้าคมดูเหนื่อยล้าต่างจากก่อนหน้าที่ฉันจะออกจากบ้าน ปล่อยให้เลี้ยงลูกไม่กี่ชั่วโมงสภาพแย่ขนาดนี้เลยเหรอ สงสารจริง ๆ เลยสามีฉัน…"ไม่เหนื่อย แล้วพี่ล่ะเหนื่อยไหม คามิลดื้อหรือเปล่า" ฉันตอบจบก็เดินไปดูลูกในเปล คามิลนอนหลับในท่าสบาย คุณพ่อของเขาทำหน้าที่ได้ดีเลยทีเดียว"ไม่เหนื่อย" คำพูดช่างสวนทางกับใบหน้าตอนนี้เสียจริง ๆ"จริงเหรอ งั้นออกไปใหม่นะ วันนี้ยังไม่ได้เนื้อผ้าที่ต้องการเลย""ไม่เอา!" เขาปฏิเสธเสียงแข็งทันทีที่ฉันพูดจบ ฉันไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงไม่ทันเสร็จก็รีบกลับ เพราะเป็นห่วงลูกที่ปล่อยให้พี่สงครามเลี้ยงคนเดียว แต่ดูจากการปฏิเสธเสียงแข็ง สงสัยคามิลจะแผลงฤทธิ์ออกมาไม่น้อย"หึ ทำไมคุณพ่อเลี้ยงไม่ไหวแล้วเหรอ?" ฉันเลิกคิ้วถามยิ้ม ๆ"ไหว แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่ดีกว่า""ขยันทำแต่ไม่ขยันเลี้ยง" ฉันส่ายหัวไม่จริงจังให้ร่างสูง ค
อุแว้ อุแว้ ~เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยวัยหกเดือนระงมไปทั่วบ้าน ในขณะที่ผมกำลังวุ่นวายอยู่กับการชงนมผงก็รีบวางลงแล้วสับเท้าเดินเข้าไปหาอย่างเร็วไว จัดการอุ้มคามิลลูกชายคนเล็กของผมมาไว้ในอ้อมกอกจนเสียงร้องค่อย ๆ เบาลง"เป็นผู้ชายทำไมถึงชอบร้องไห้ สงครามบอกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้" พี่ชายอย่างคริสที่กำลังจะก้าวเข้าแปดขวบเอ่ยถามตาใส มองน้องชายกับผมสลับกันด้วยความสงสัย"ใช่ผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แต่ตอนนี้น้องยังเด็ก ยังควบคุมไม่ได้เหมือนลูก" ผมสอนให้คริสเข้มแข็งเสมอ เขามีหน้าที่ต้องดูแลเพศแม่หรือแม่ของเขาให้ดีที่สุด พักหลัง ๆ คริสจึงเริ่มเป็นคนสุขุมขึ้น พูดจาฉะฉานต้องการเหตุผลตามวัยของเขา จนแม่เขาชอบบ่นผมอยู่บ่อย ๆ เพราะกำลังทำให้คริสไม่ขี้เล่นเหมือนเดิม พูดตามตรงคือแก้วตาไม่อยากให้คริสนิสัยเหมือนผม เธอบอกว่าสงสารคนที่ต้องมาเจอชะตาเดียวกันกับเธอในอนาคต ซึ่งผมไม่เข้าใจ…ผมไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง…"เมื่อไหร่คามิลจะโตครับ" ผมยกยิ้มบาง ๆ มองคามิลสลับกับคริส ก่อนที่จะลูบหัวพี่ชายเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ให้เหตุผล"ต้องใช้เวลา อีกไม่นานคามิลก็จะโตมาเหมือนลูก ลูกต้องดูแลน้องและรักน้องมาก ๆ เช่นเดียวกันคือน้อง
@ทะเล~พรุ่งนี้ก็เป็นอีกวันที่จะถึงงานแต่งอีกวันของเบบี้ ฉันกับเบบี้เดินทางกันมาถึงเย็น ๆ ของวันก่อนเริ่มงาน ขณะที่ว่าที่เจ้าบ่าวพี่สงครามและเพื่อน ๆ เจ้าบ่าวมาตรวจความเรียบร้อยของงานกันตั้งแต่เช้าแล้ว"สงคราม~" เสียงใสรีบวิ่งฝ่าทรายของทะเลเพื่อไปหาเจ้าของชื่อ ไม่ต้องแปลกใจ…พี่สงครามใช้เวลาแค่ไม่กี่วันที่ทำให้คริสเรียกชื่อเขาแทนการเรียกว่าพ่อ เพราะเขาทั้งตามใจ เอาใจใส่ จนคริสหันไปรักเขามากกว่าฉันที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด"กูเริ่มรู้สึกเหมือนคิดผิดแล้ว ให้ลูกเรียกพ่อเหมือนเดิมยังดีกว่าอีก เหมือนมีเพื่อนเพิ่มมากกว่ามีลูก" พี่สงครามหันไปเอ่ยกับบรรดาเพื่อนเขาที่ยืน ๆ ข้าง ทุกคนต่างพากันหัวเราะใหญ่โดยเฉพาะฉัน ฉันบอกแล้วไงว่าการถูกเรียกชื่อมันแปลก ๆ แต่พอนึกถึงที่มาของมันก็ยังพอหักลบกันได้"กูว่าเวรกรรมของมึงน่าจะมาในรูปแบบลูกแน่ ๆ หึ" พี่มังกรกระซิบกลับ จนพี่สงครามต้องถลึงตาใส่ที่เพื่อนกำลังด่าทางอ้อม"ลงมาทำไม ที่นี่มันร้อน" พี่สงครามย่อตัวไปคุยกับลูกชายของเขา"อยากลงเล่นน้ำน่ะสิ" ฉันตอบแทน แล้วคริสก็หันมาหน้ามุ่ยใส่ฉัน"สงครามแก้วตาไม่ให้ผมลงเล่นน้ำ แต่ผมอยากเล่น" ตั้งแต่มาถึงก็ขอฉันเป็นอัน