ตอนที่ 5 ลูกหนี้ตัวจริง
“อ๊ะ...!! หรือว่าจะเป็นตอนนั้น”
ฉันพูดพร่ำกับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยบอกกับเขาออกไปด้วยความตื่นเต้น
“นะ...นี่นาย...ฉะ...ฉันจำได้แล้ว ต้องเป็นวันนั้นแน่ ๆ นายตั้งใจฟังฉันก่อนนะ...เรื่องมันเป็นแบบนี้ วันนั้นหัวหน้าของฉันใช้ให้ฉันมาเซ็นเอกสารที่บริษัทนี้...ใช่...บริษัท DLKK นี่แหละ ชื่อบริษัทก็เป็นชื่อเดียวกับหัวกระดาษในใบสัญญานี่เลย” ฉันรีบกุลีกุจอยื่นเอกสารพร้อมกับชี้มือชี้ไม้ให้เขาดู ก่อนที่ตัวเองจะรีบอธิบายเพิ่มเติมด้วยความร้อนรนเพราะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“แล้ววันนั้นฉันจำได้ว่าฉันรีบมาก และด้วยเพราะความรีบร้อนนี่แหละที่ทำให้ฉันไม่ทันได้ระวัง...และตอนนั้นมันก็คงเป็นจังหวะที่เกิดความผิดพลาดขึ้นฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ดูให้ดี แต่นาย...ฉันไม่ได้ไปเซ็นค้ำประกันให้ใครที่ไหนจริงๆ นะ แล้วอีกอย่างนายเห็นไหมว่าฉันเองก็ไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับคนในสัญญานี่เลย ฉันอธิบายให้นายฟังหมดแล้ว นายลองไปตรวจสอบดูซิ ฉันรับรองได้เลยว่านายจะได้รู้ความจริงตรงตามที่ฉันบอกอย่างแน่นอน ถึงเรื่องที่ว่าฉันไม่ได้เป็นคนค้ำประกันให้กับใครทั้งนั้น ฉันยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่า ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ นายเชื่อฉันเถอะนะ...นะ” ฉันอธิบายด้วยความหวังที่ผุดขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมกับเอ่ยปากอ้อนวอนต่อเขาอีกครั้ง หลังจากที่ตัวเองเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าได้ถูกไหว้วานจากหัวหน้าให้ไปเซ็นเอกสารครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ และครั้งนั้นแหละน่าจะต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันต้องมาซวยแบบนี้
และในขณะที่ฉันจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความหวังอยู่นั้น...ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังหลังจากที่พยายามอธิบายไปมากมายอีกทั้งยังมั่นใจมากว่าตัวเองจะต้องรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้...
แต่ทว่า...ทุกอย่างกลับต้องมาพังทลายลง...เมื่อประโยคที่เขาตอบกลับมาถึงกับทำให้ฉันเข่าทรุดแทบไปไม่เป็นในทันที...
“หึ...มึงจะเลิกปั้นน้ำเป็นตัวกี่โมง”
คำพูดที่พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ทว่า...การทำลายล้างช่างสูงเหลือเกิน ได้ถูกส่งฟาดลงมายังกลางศีรษะของฉันจนฉันมึนไปหมด และคำพูดนั้นก็ดูท่าว่าจะทำให้ฟางของความอดกลั้นเส้นสุดท้ายที่มีของฉันได้ขาดสะบั้นลง...
“โอ๊ย...!! นี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ก็บอกอยู่นี่ไงว่าได้ว่าไม่ได้เป็นคนค้ำ ฉันไม่ได้ค้ำประกันให้ใครทั้งนั้น แล้วชื่อของไอ้บ้าที่อยู่ในเอกสารนั้นฉันก็บอกไปแล้วว่าไม่รู้จัก รูปร่างหน้าตาเป็นยังไงก็บอกไปแล้วว่าไม่เคยเห็น จะต้องให้พูดอีกสักกี่รอบกัน...ห๊ะ...และอีกอย่างใครนะ ตามหลักแล้วไอ้คนที่มันเป็นหนี้นาย ทำไมนายไม่ไปทวงมันก่อนล่ะ มาทวงฉันทำไม!!” ฉันออกปากโวยวายด้วยอารมณ์ที่สุดจะกลั้นเอาไว้อีกต่อไปแล้ว
“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ทวง” เขาแค่นเสียงเยือกเย็นมาให้ฉัน คล้ายกับว่าตัวเองก็พยายามข่มอารมณ์หลังจากถูกฉันตอกคำพูดใส่หน้าอยู่เหมือนกัน
สิ้นประโยคที่เขาตอบกลับมานั้น ร่างของชายคนหนึ่งก็ถูกลากเข้ามาในห้องทันที
ตุ๊บ...!!
ร่างของผู้ชายคนหนึ่งถูกโยนให้มากองนั่งอยู่ที่ด้านข้างของฉัน ด้วยสภาพสะบักสะบอม
“โอ๊ะ โอ๊ยยยย...นะ...นายท่านครับ...นายท่านขอเวลาให้ผมอีกหน่อยได้ไหมครับ ผะ...ผมจะรีบหามาคืนให้นายท่านโดยเร็วที่สุดเลยครับ” คนที่เพิ่งถูกลากเข้ามายกมือไหว้ร้องวิงวอนขอความเมตตาปลก ๆ โดยที่ใบหน้าปูดบวมจนแทบจะมองใบหน้าที่แท้จริงไม่ออก
“หึ...มึงนะหรือจะมีปัญญาเอาเงินมาคืนกูแค่นี้มึงยังคิดหนีกูเลย...แล้วมึงรู้เอาไว้เลยนะว่าที่กูให้มึงกู้เนี้ย ก็เพราะกูเห็นว่ามึงเปิดบริษัทหรอกนะ เห็นว่าจะเอาไปลงทุนต่อยอด...แต่ที่ไหนได้มึงเสือกเอาไปถลุงในบ่อนซะหมด ทุกอย่างเป็นเพราะว่ามึงทำตัวของมึงเองทั้งนั้น แล้ววันนี้มึงจะมาอ้อนวอนกูทำไม...ห๊ะ!!” คนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เหลือความเมตตาให้กับคนที่ร้องขอตรงหน้าถึงกับตวาดใส่ลั่น
ส่วนฉันที่พอได้ยินถึงเหตุผลที่เขาให้กู้ยืมเงิน ก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเขานิด ๆ จากนั้นก็ได้เหลือบมองไปยังคนข้าง ๆ ที่สภาพถูกซ้อมมาอย่างสะบักสะบอมจนเลือดเกรอะกรังเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด อีกทั้งยังนึกเวทนาตัวเองอยู่ในใจว่าที่ฉันต้องมาถูกจับตัวมาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแบบนี้มันเป็นเพราะผู้ชายที่เป็นผีพนันคนนี้นะเหรอ
(เห้อออออ...ก็ยังดีเขาเจอตัวแล้ว ในเมื่อทวงหนี้กันได้แล้ว เขาก็คงยอมปล่อยฉันให้กลับบ้านได้แล้วซินะ...หืออออ...อยากกลับบ้านจัง แถมเริ่มหิวแล้วด้วย) ในขณะที่ฉันกำลังนึกเพ้อฝันดีใจที่จะได้ไปให้พ้น ๆ จากสถานการณ์อันตรายตรงนี้แล้ว เสียงทุ้มกังวานจากผู้มีอำนาจตรงหน้าก็ได้เอ่ยพูดขึ้นมากับคนด้านล่างอีกครั้ง
“อีกอย่าง...คนอย่างกูคำพูดต้องเป็นคำพูด กูให้เวลามึง 1 เดือนแล้ว แต่มึงกลับไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถจะหาเงินมาคืนกูได้ แล้ววันนี้มึงจะมาพูดเอาอะไรอีก” เสียงเย็นเหยียบเอ่ยเหี้ยมโหดไร้ความปรานี จนฉันเองที่ได้ยินยังอดหวาดหวั่นแทนคนที่ถูกน้ำเสียงนั้นพูดใส่ไม่ได้เหมือนกัน
“นะ...นายท่านครับนาย ขอร้องเถอะนะครับ เมตตาผมสักครั้งเถอะครับนายท่าน” ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างของฉันยังคงเอ่ยขอร้อง ยกมือขึ้นไหว้ปลก ๆ ดูน่าสงสาร
สิ้นประโยคคำขอร้องของชายที่อยู่ด้านข้างของฉัน คำตอบของคนร่างโตที่ตอนนี้เป็นเหมือนกับเจ้าชีวิตของผู้คนไปแล้ว ก็ได้เอ่ยคำพูดที่ดูจะไร้หัวใจออกมาอีกครั้ง
“ได้...งั้นมึงก็เซ็นยกบริษัทของมึงให้กู แล้วกูจะไว้ชีวิตมึงกับครอบครัว” เขาเอ่ย พร้อมกับส่งสัญญาณไปให้กับลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกายของเขา ก่อนที่ลูกน้องของเขาที่ตั้งท่ารออยู่ก่อนแล้วจะนำเอกสารการโอนหุ้นมาให้ผู้ชายตรงหน้าเซ็น
ส่วนผู้ชายที่เป็นลูกหนี้เริ่มลังเลเล็กน้อย นั่นก็คงจะเป็นเพราะว่าถึงยังไงบริษัทนี้เขาเองก็เป็นคนปลุกปั้นขึ้นมาเองกับมือมันย่อมมีความหวงแหนและอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ใช่แค่ตัวเองจะไม่รอดเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวที่อาจจะโดนร่างแหไปด้วย ทำให้เขาจำต้องเลือกสิ่งที่สำคัญกว่า
และในขณะที่ผู้ชายด้านข้างของฉันเขากำลังสองจิตสองใจอยู่นั้น...
“เซ็นซะ...!!” เสียงลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านข้างของผู้มีอำนาจตะคอกจนฉันเองยังอดสะดุ้งไม่ได้
ด้วยสถานการณ์คับขันทำให้จากตอนแรกที่ผู้ชายคนนั้นที่มียังท่าทีลังเลไม่อยากเซ็นด้วยความเสียดาย กลับรีบกุลีกุจอจรดปากกาลงลายมือแทบไม่ทัน สาเหตุก็เพราะว่าไม่ใช่แค่เสียงตะคอกอันดังกังวานที่ถูกตวาดใส่หน้าเท่านั้น
แต่ทว่า...ข้างขมับของเขานั้นยังมีมัจจุราชสีดำมันวาวจ่อกดลงที่หัวของตัวเองอีกด้วย
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ