ตอนที่ 4 ค้ำประกันให้ผัว!!
สิ้นเสียงตวาดของเขาหลักฐานตรงหน้าก็ไม่อาจจะทำให้ฉันปฏิเสธอะไรออกไปได้เลย ฉันที่ทำได้เพียงแค่เม้มปากแน่นพร้อมกับสายตาที่เริ่มสั่นระริกเนื่องด้วยจำนนต่อหลักฐาน นั่นก็เพราะว่าภาพตรงหน้าลายเซ็นนั้นมันเป็นของฉันจริง ๆ เพียงแต่ว่าฉันยังจำไม่ได้ว่าไปเซ็นเอาตอนไหนกันนะ อีกทั้งนึกยังไงก็นึกไม่ออก
ฉันสะบัดหัวไปมาเล็กน้อยเพื่อเรียกสติที่อาจจะดับวูบไปได้ทุกขณะให้กลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนจะพยายามตั้งสติแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด
(...ฮึบ...มีสติเข้าไว้ยัยลิน เรื่องนี้มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน มันต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ ๆ เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งสติแล้วอธิบายให้เขาฟัง...ใช่!! ฉันต้องรีบอธิบาย...)
เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็รีบเอ่ยปากบอกเขาไปตามความจริงที่เกิดขึ้น...
“กะ...ก็ใช่ ตะ...แต่ว่า” ฉันยอมรับตามภาพตรงหน้าก่อน พร้อมกับพยายามที่จะอธิบายเพิ่มเติม
แต่ทุกอย่างมันกลับไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เมื่อเขายังคงแสดงทีท่าออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ยินยอมที่จะรับฟังข้อเท็จจริงจากฉันเลย
“ถ้าใช่ลายเซ็นของมึงงั้นก็แปลว่า...มึงต้องรับผิดชอบ!!” เสียงแข็งกร้าวดุดันยังคงตวาดใส่ฉันไม่หยุด จนฉันเริ่มไม่พอใจกับการกระทำที่เขาปฏิบัติต่อฉัน
“เอ๊ะ!!...นายนี่ พูดไม่รู้เรื่องหรือไงกัน ก็แล้วจะให้ฉันไปรับผิดชอบได้ยังไงก็ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นคนทำ...ฉันไม่ได้ทำ!!” ฉันยืนกรานเสียงแข็ง พร้อมกับพรั่งพรูความจริงออกไปอย่างไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ก่อนจะพูดอธิบายต่อโดยที่แอบหวังว่าเขาจะฟังฉันบ้างสักนิด
“มันก็จริงอยู่ที่ว่าลายเซ็นนั้นมันเป็นลายเซ็นของฉัน...ใช่...ลายมือของฉัน ฉันจำได้และก็จะไม่ขอปฏิเสธด้วย แต่ว่าฉันไม่รู้จักคนที่มีชื่ออยู่ในสัญญานั้นเลยนะ เขาเป็นใครฉันเองก็ไม่รู้ หน้าตาแบบไหน รูปร่างยังไง ให้ตายเหอะ...ฉันไม่เคยเห็นไม่เคยเจอเขามาก่อนด้วยซ้ำ แล้วจะมาให้ฉันรับผิดชอบได้ยังไงกัน...นายเข้าใจที่ฉันพูดไหม” ฉันตอบปฏิเสธไปตามความจริง พร้อมกับอธิบายเพิ่มและหวังว่าเขาจะมีเมตตาฟังคำของฉันบ้าง เพราะมันคือเรื่องจริงที่ว่า...ฉันไม่เคยรู้จักบุคคลคนนั้นจริง ๆ คนที่เป็นคนกู้ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ ฉันพูดโดยพยายามส่งสายตาที่จริงใจไปให้เขาอย่างต้องการให้เขาเชื่อฉัน
“อย่ามาตอแหล!!...หึ...เป็นอย่างนี้ทุกตัว ตอนอยากได้เงินกูไม่เห็นเป็นอย่างนี้กันเลย แต่ทำไมพอถึงเวลาจ่ายก็คิดจะเบี้ยวหนี้รีบหายหัวต้องมาให้กูเสียเวลาตามหาอีก...พวกมึงนี่แม่ง...น่าจับโยนให้ไปเป็นอาหารไอ้เข้ซะให้เข็ด...เห้อ...เอางี้แล้วกันพูดกันง่าย ๆ เข้าใจกันง่าย ๆ อย่าให้กูต้องเหนื่อยเยอะ ในเมื่อมึงเป็นคนเซ็นค้ำประกัน แถมมึงเองก็ยอมรับว่าลายเซ็นนั้นเป็นของมึงจริง ๆ ถ้างั้น...มึงก็ต้องรับผิดชอบ...จบ...” น้ำเสียงเอือมระอาที่ส่งมาฉอดใส่หน้าฉันซะยืดยาว ถึงกับทำให้ฉันทำได้เพียงแค่อ้าปากพะงาบ ๆ เถียงแทบไม่ทัน ก่อนที่ประโยคสุดท้ายของเขานั้นจะพูดตัดบทอย่างไร้ความเมตตาปรานี
แต่มีหรือที่คนอย่างลลินจะยินยอม ในเมื่อการปรักปรำของเขามันก็ทำให้ฉันเหลืออดแล้วเหมือนกัน อีกทั้งคนอย่างฉันไม่มีทางยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...ฉัน...จะ...ไม่...ยอม!!
“ก็แล้วทำไมนายไม่ฟังกันบ้างล่ะห๊ะ...ก็ฉันบอกอยู่นี่ไงว่าฉันไม่ได้รู้จักกับคนคนนี้ เขาเป็นใคร หน้าตาแบบไหน ฉันเองไม่รู้ ไม่รู้เลยจริง ๆ จะเอาฉันไปสาบานที่ไหนก็ได้ แล้วอีกอย่างฉันก็ยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองไปเซ็นค้ำประกันเอาตอนไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ นายฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง หรือไม่ฉันว่า...มันต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ ๆ นายควรจะตรวจสอบให้ดีก่อนนะ หรือยังไงจะให้ฉันไปหาหลักฐานมาชี้แจงให้นายเห็นเองว่าฉันไม่เกี่ยวด้วยดีไหม...” ฉันร้อนใจอธิบาย พร้อมกับพยายามหาเหตุผลที่พอนึกได้ขึ้นมาประกอบเข้าช่วย แต่ทว่า...สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นกลับทำให้ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าฉันเข้าตาจนเสียแล้ว...
“หึ...คนอย่างพวกมึงนี่มันหน้าด้านจริง ๆ เลยนะถึงเวลาจนตรอกก็ยังไม่ยอมรับ” เขาค่อนแคะใส่ฉันด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม พร้อมกับแววตาที่ฉายออกมาว่ารังเกียจอย่างปิดไม่มิด
และถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบสีหน้าและน้ำเสียงดูถูกของเขาจนอยากจะตะบันหน้าหล่อ ๆ ของเขามากแค่ไหน แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องมีสติเข้าไว้ เพราะฉันจะไม่ยอม...ฉันจะไม่มีวันยอมรับในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำเด็ดขาด...
(ฮึบ...ต้องสู้...ต้องไฝว้...เท่านั้นยัยลิน)
และในขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากอธิบายอะไรเพิ่มเติมออกไปอีกครั้ง เขาก็ได้สวนคำพูดกลับมาโดยไม่ให้ฉันได้ทันตั้งตัว และประโยคที่เขาใช้ตอกหน้าฉันนั้นก็ยิ่งกลับทำให้ฉันต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความฉงนมากขึ้นไปอีก
“อยากเซ็นค้ำประกันให้ผัว ถึงเวลาผัวไม่มารับผิดชอบ คนเป็นเมียก็ต้องรับผิดชอบสิ...กูพูดถูกไหม” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มเย้ยหยันมุมปากพูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง พร้อมกับหรี่สายตาที่กำลังมองฉันด้วยความดูหมิ่นอย่างไม่ปิดบัง
แต่ทว่า...คำพูดที่ถูกพ่นออกมาจากปากของคนตรงหน้านั้น กลับทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้าง งงเป็นไก่ตาแตก...ด้วยสุดแสนที่จะสงสัย
“ห๊ะ!! ผัว...ผัวใคร ใครผัวใคร แล้วใครเป็นเมียใคร ผัวอะไรที่ไหนอี๊กกกกกก... โอ๊ยยยย...นี่นายเอาทีละเรื่องได้ไหม เรื่องเก่ายังเคลียร์ไม่จบเลย มีเรื่องใหม่ขึ้นอีกแล้วเหรอ แล้วนี่เป็นอะไรจู่ ๆ หาเรื่องมายัดเยียดให้ฉันไปเป็นเมียเป็นผัวกับใครกันอีกเนี้ย นี่ฉันงงไปหมดแล้วนะ” ฉันบอกออกไปอย่างเหลืออดบวกกับความไม่เข้าใจที่ประเดประดังเข้ามา
(โอ๊ยยยยยเวรกรรมจริง ๆ เลยไอ้ลินเอ๊ย...นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี้ย...อย่างจะบ้าตายไม่รู้วันนี้เดินเอาเท้าข้างไหนออกจากบ้านทำไมถึงได้ซวยแบบนี้ เอ๊ะ!!...หรือเมื่อเช้าจิ้งจกมันร้องทักแล้วลืมสังเกตหรือเปล่านะ ทำไมฉันถึงต้องมาซวยเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี้ย) ฉันสบถกับตัวเองในใจอย่างคนหัวเสีย
และทันทีที่ฉันพรั่งพรูความอัดอั้นตันใจและความสับสนที่อยู่ข้างในออกไปจนหมด คำพูดเหล่านั้นของฉันก็ได้ทำให้คนตรงหน้าดูมีทีท่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเฉพาะสีหน้าที่มักจะแสดงถึงการดูถูกเหยียดหยามและดูหมิ่นฉันมาตลอด กลับเหมือนจะฉายรอยยิ้มดีใจขึ้นมาเพียงชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นยักษ์เป็นมารตามเดิม
แต่ทว่า...เขากลับไม่รู้เลยว่า ทั้งสีหน้าแววตา และรอยยิ้มที่เปลี่ยนไปของเขาเพียงครู่เดียวนั้น จะกลับถูกสายตากลมโตของฉันจับจ้องเก็บข้อมูลเอาไว้หมดแล้ว...
“เหอะ...เลิกตอแหลได้แล้ว...ถึงเวลาที่ต้องใช้หนี้แล้ว” หลังจากเขากลับมาทำตัวเป็นคนร้ายกาจเช่นเดิม เขาก็ได้ยืนยันถึงเจตนารมณ์ของตัวเองที่มีต่อฉัน พร้อมกับยกยิ้มร้ายที่มุมปากอย่างมีเลศนัยบางอย่าง
ส่วนฉันที่ยังคงไม่อาจยอมรับกับหนี้ที่ฉันไม่ได้ก่อขึ้นมาได้ ก็ยังคงทู่ซี้ประวิงเวลาร้องขอความเมตตาจากเขาอย่างไม่ยอมลดละ
“แต่นาย...นายเชื่อฉันเถอะนะว่าฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ ฉันสาบานได้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน” ฉันพูดเสียงอ่อย โดยที่ยังคงหวังว่าเขาจะเห็นใจฉันบ้าง
และก่อนที่ฉันจะโดนสรุปให้ต้องตกกระไดพลอยโจนไปกับเรื่องนี้ ฉันที่ยังไม่ละความพยายามสุดท้ายที่มีก็ได้ขุดเซลล์สมองตัวเองขึ้นมาขบคิดถึงเรื่องราวที่อาจจะตกหล่นไประหว่างทาง เผื่อว่ามันอาจจะมีประโยชน์ให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉัน ณ เวลานี้ก็ได้
จนกระทั่ง...
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ