ใบหน้าคร้ามแกร่งสีแทนแดงคล้ำขึ้นในทันตา ประกายในดวงตาคมกริบดุแข็งกร้าวสาดซัดส่งไปให้กับคนที่ไม่รู้กาลเทศะ เป็นเพียงคู่หมั้นที่ไม่รู้จักสถานะของตัวเอง ชอบทำตัวเป็นแม่ บ่นได้บ่นดี หึงหวงและอาละวาดใส่ผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้เขา ทั้งที่บางคนนั้นเป็นเพื่อนของเขาแท้ ๆ ตอนแรกก็ทำใจได้อยู่หรอกนะ แต่บ่อยครั้งเข้า มันก็อึดอัดและรำคาญใจ จนบางครั้งอยากจะบีบคอระหงนั้นให้หักเป็นสองท่อน
มือใหญ่คว้าเอาผ้ามาคลุมร่างกายอย่างหมิ่นเหม่ “เธอทำอย่างนี้ทำไมไทนี่” ภามถามเสียงลอดไรฟัน พยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่อยากจะลุกขึ้นไปทำร้ายคนตรงหน้าให้มันอยู่ลึกที่สุด นี่ถ้าไม่เกรงใจอาฌอนและอานีน่าละก็ ป่านนี้เขาจับเอาตัวนันทิยาไปปล่อยไว้ที่เกาะไหนสักเกาะแล้วละ ให้อยู่เฝ้าลิงเฝ้าค่างที่เกาะ จะได้ไม่ต้องมาทำให้เขาระอิดระอารำคาญใจอยู่เหมือนทุกวันนี้แน่นอน
“ไทนี่ทำอะไรคะ” แม้จะเจ็บจนใจแทบจะขาด แต่นันทิยาก็ยังเชิดหน้าสูงอย่างไม่กลัวความโกรธของอีกฝ่าย กัดฟันถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างกลับไป
มาถามอย่างนี้ได้ยังไงกัน เป็นคู่หมั้นของเธอแท้ ๆ แต่กลับพาผู้หญิงคนอื่นเข้ามานอนด้วย แล้วให้เธอจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ อยากถามสักนิดพี่ภามยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า หรือชอบเห็นน้ำตาและความเจ็บปวดของเธอ
“ก็ที่เธอเข้ามาในห้องฉัน แล้วก็ทำร้ายคนของฉันด้วยนี่ไง”
‘คนของฉัน!’
พี่ภามพูดออกมาได้ยังไงกัน นันทิยาตวัดสายตาพิฆาตพร้อมรัศมีแห่งความโกรธแค้นไปมอบให้คนของภาม ถ้าหากว่าสายตาเปลี่ยนแปลงเป็นคมมีดได้ ร่างขาวนวลผ่องอวบอัดไปด้วยสัดส่วนเรือนกายหญิงที่กลมกลึงและน่ามอง อกเป็นอก เอวเป็นเอว พร้อมด้วยสะโพกดินระเบิด คงจะเป็นแผลเหวอะหวะแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ เธอเลยได้แต่คั่งแค้นจนกลายเป็นเปลวเพลิงไฟที่มันลุกไหม้หัวใจตัวเองให้ต้องช้ำชอกจนน้ำตาตกใน
“พี่ภามพูดอย่างนี้ได้ยังไงกันคะ ในเมื่อพี่ภามเองก็รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน” นันทิยาข่มความน้อยอกน้อยใจและเสียใจที่มันกดอยู่ในอกกัดฟันถามภาพออกไปเสียงสั่นพร่า
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรือคะภาม แล้วเป็นอะไรกับคุณ” ชลดาซึ่งไม่ใส่ใจที่จะหยิบเอาเสื้อผ้าซึ่งกองเกะกะระเนระนาดบนพื้นมาสวมใส่ พาร่างอวบอั๋นขาวนวลผ่องของตัวเองเดินกลับไปที่เตียงด้วยท่าทีสบาย ๆ
“แล้วทำไมถึงได้ทำท่าหวงคุณเหมือนกับหมาบ้าเลยล่ะค่ะ”
นันทิยาที่มีอารมณ์โกรธเหมือนไฟกองใหญ่ที่รอเวลาปะทุอยู่แล้วยิ่งทวีขึ้น ลมหายใจหอบแรงรัวเร็ว ถ้าหากมีแสงไฟมากพอจะได้เห็นว่าวงหน้าของเธอนั้นแดงก่ำไล่ลงไปถึงลำคอ ประกายในดวงตากลมโตวาววับเปล่งประกายเจิดจ้าเหมือนกับดวงตาแม่เสือหวงลูก อยากตบหน้านังผู้หญิงหน้าไม่อายที่ยังไม่ยอมสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย จนหน้าเป็นรอยขีดข่วนหมดสิ้นความสวยไปเสียเลย แต่คงทำได้แค่ขบกัดฟันบนริมฝีปากเท่านั้น เมื่อข้างกายเธอคนนั้นมีคนที่เธอรักคอยปกป้อง
“หมาบ้าตัวที่คุณถามชื่อไทนี่ เป็นคู่หมั้นผมเองแหละดา คู่หมั้นที่ชอบทำตัวเป็นยายแก่จอมจุ้นจ้าน น่าเบื่อ น่ารำคาญ ไม่รู้เมื่อไหร่จะไปให้ไกลๆ เสียที วุ่นวายจะตายห่าอยู่แล้ว” ภามพูดอย่างไม่คิดที่จะถนอมน้ำใจคนฟังเลยสักนิด
เจ็บปวดแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดสดๆ กับคำพูดไร้เยื่อใยที่ออกมาจากปากหนา แพขนตายาวงอนสะบัดถี่ยิบไล่ม่านน้ำตาที่เอ่อไหลล้นคลอเบ้า รีบเมินหน้าหนีก่อนที่น้ำตาซึ่งพยายามกักเก็บไว้จะไหลซึมออกมาเป็นสายตามร่องแก้มให้อีกฝ่ายได้สมน้ำหน้า
“แหม...มีด้วยหรือคะคนอย่างนี้ รู้ว่าเขาไม่ชอบแล้วยังจะมาทำท่าหึงหวงใส่อีก” ชลดาเอ่ยถามเสียงมีจริตจะก้าน ปลายนิ้วยาวเรียวลูบไล้อกกว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แข็งกระด้างอย่างที่เขาเรียกกันว่าซิกแพ็ก เอียงศีรษะมองนันทิยาด้วยสีหน้าและแววตาดูถูกหยามหยันและระอิดระอาใจ
“อย่างนี้เขาเรียกว่าคนหน้าไม่อาย เอ๊ะ...หรือว่าไม่ใช่ค่ะ ต้องเรียกว่าหน้าด้านหรือเปล่า”
น้ำเสียงนั้นใสเหมือนน้ำที่อยู่ในแก้ว บาดลึกเข้าไปถึงหัวใจนันทิยา จนเธอทั้งเจ็บหัวใจและอับอายจนไม่รู้ว่าจะยืนอยู่ได้ยังไงแล้ว ดวงตากลมโตส่งประกายสายตาตัดพ้อต่อว่าไปยังคู่หมั้นหนุ่มที่ไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย
ปลายมือใหญ่จับรั้งปลายคางมนของแม่สาวปากเสียขึ้น พร้อมกับใบหน้าคร้ามแกร่งโน้มลงไปจนเกือบจะประทับริมฝีปากสีแดงสดบนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ แต่อีกฝ่ายมีจริตจะก้านพอที่จะเอียงหน้าหลบ เลยทำให้จุมพิตนั้นถูกแก้มนวลปลั่งแทน
“คิคิ แหม...ภามขา จะทำอะไรหัดเกรงใจคู่หมั้นหน่อยดีไหมคะ ดูซิมองมาตาละห้อยเชียว สงสัยว่าอยากจะอยู่ตรงนี้กับคุณแทนดานะคะนี่”
ชลดาเอ่ยพูดเสียงหวานกับภาม แต่กลับมองนันทิยาอย่างสมเพชและสะใจ มือเล็กเรียวเริ่มไม่อยู่นิ่ง ขยับเคลื่อนไหวไปตามเรือนกายใหญ่และแข็งแกร่งอย่างแสนจะคิดถึงรสเสน่หาอันเร่าร้อนแสบสันถึงพริกถึงขิงที่ภามมอบให้อย่างที่เธอลืมไม่ลงเลยทีเดียว
แค่เห็นหน้าภามในครั้งแรกแม้เพียงแค่อยู่ไกลๆ แต่รูปร่างร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทย ลักษณะท่วงท่าอันงามสง่าเรียกความสนใจจากเธอได้ชะงัก เมื่อได้เห็นใกล้ๆ หัวใจก็มีอันสะดุด เผลอมอบให้ชายหนุ่มไปโดยไม่ทันจะรู้ตัว ได้แต่เสียดายอยู่เสมอ เพราะแม้เธอจะทำงานในเอเจนซี่ที่ชายหนุ่มไปติดต่องานด้วยเป็นประจำ ทว่าสายงานของเธอกลับไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับภามเลย ได้แต่แอบคอยมองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความหวัง เมื่อฟ้าประทานคู่ที่แสนจะหล่อล่ำและเลิศเลอเพอร์เฟคมาให้แล้ว ทำไมถึงให้เธอนั้นต้องแอบดูอยู่ห่างๆ ด้วย จะต้องมีโอกาสให้เธอได้ใกล้ชิดและหนึ่งในใจของเขาสิ
เหมือนคำภาวนาเป็นผล ฟ้าเป็นใจให้ เมื่อเธอจำต้องเดินทางไปติดต่องานที่ต่างประเทศ ได้นั่งเครื่องลำเดียวกันกับภาม อุบัติเหตุแห่งรักที่เธอสร้างขึ้นจึงเกิดขึ้น จากเพียงแค่พูดคุยกับแบบเพื่อนธรรมดาบนเครื่อง เลยมีการนัดแนะเพื่อสานสัมพันธ์ต่อระหว่างการเดินทาง เป็นเพราะเธอที่พลาดถูกเฒ่าหัวงูที่ติดต่องานด้วยวางยาปลุกเซ็กส์ประจวบกับภามที่เพิ่งจะคุยธุรกิจเสร็จออกมาเจอพอดีเลยช่วยเหลือเธอเอาไว้ได้ และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาพาเธอมาต่อยังเกาะส่วนตัวด้วย
ด้วยคุณสมบัติทางด้านร่างกาย ต่อด้วยคุณสมบัติทางสังคมเรียกได้ว่าภามเป็นชายหนุ่มที่ผู้หญิงทุกคนไม่มีใครกล้าที่จะเมินหน้าหนี เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่มีภาษีมากกว่าผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยคบหามา แม้กระทั่งผู้หญิงที่เป็นเลขาส่วนตัวที่พ่วงเอาตำแหน่งคู่หมั้นด้วย เพราะเธอเป็นลูกสาวของเจ้าของเอเจนซี่ที่เขาต้องติดต่องานและยังเป็นหลานของนักธุรกิจมีชื่อของเมืองกรุง ลุงเธอก็รู้จักกับบิดาของภาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภามจะต้องเกรงใจ ที่สำคัญอีกอย่าง คือพรหมจารีของเธอภามเป็นคนได้ไป
“ไม่เลยไทนี่ พี่ไม่ได้ปากหวาน แต่พี่รู้ตัวว่าทำผิด ทำร้ายไทนี่ให้ต้องอับอายและเจ็บปวด” สองมือใหญ่จับมือเล็กมาทาบบนอกกว้าง“พี่ขอโทษนะไทนี่ น้องจะยกโทษให้พี่ได้ไหม ให้โอกาสกับคนที่รู้ตัวช้าและกลับตัวกลับใจคนนี้ได้พูดได้แสดงออกถึงความรักที่มีแก่ไทนี่...ไทนี่จะยอมให้โอกาสพี่...ให้โอกาสผู้ชายนิสัยไม่ดีคนนี้ได้ดูแลและรักไทนี่ตลอดไปได้ไหม”ถึงจะได้ยินชัด ๆ จนเต็มสองหูแต่นันทิยาก็ยังไม่เชื่อ ถึงแม้ว่าคำว่ารักที่หนักแน่นที่หลุดออกมาจากปากหนา ให้หัวใจไม่รักดีของเธอก็ละลายกลายเป็นน้ำแล้วก็ตาม เพราะภามคือคนเบื่อง่ายหน่ายเร็ว แรกรักแรกต้องการคำหวานมีให้เสมอ แต่ยามเมื่อรักคลายน้ำต้มผักที่ว่าหวานก็ยังกลายเป็นขม“ไทนี่จะเชื่อได้หรือคะว่าพี่ภามจะไม่ทำให้ไทนี่ต้องร้องไห้ อับอายและเจ็บช้ำอีก”“ถึงพี่จะให้คำมั่น แต่อดีตที่ผ่านมามันคือความทรงจำอันเลวร้ายที่พี่มอบให้ไทนี่...มันคงจะมีอย่างเดียวที่ทำให้ไทนี่มั่นใจ นั่นคือจากนี้ไปพี่ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักและความจริงใจที่พี่มอบให้สุดที่รักของพี่คนนี้” สองมือใหญ่ทาบบนใบหน้านวลเนียนนุ่ม“ขอแค่ไทนี่ให้โอกาสพี่เท่านั้นพอ...พี่สัญญาจะไม่ทำให้ไทนี่ต้องน
ริมฝีปากหนาทาบทับบนกลีบปากอวบอิ่มที่เผยอแย้มจะต่อว่าและผลักไสเขาให้ออกห่าง ขบกัดกลีบปากบนสลับล่าง สอดแทรกปลายลิ้นเลาะเล็มซอกซอนหาความหวานจากโพรงปากนุ่มโดยที่นันทิยาเองก็ไม่ขัดขืน และยังจะให้ความร่วมมือส่งปลายลิ้นเล็กๆ มาเลาะเลี้ยวเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นสากระคายเสียอีก เป็นนานกว่าที่เขาจะหักห้ามใจถอนจุมพิตออกอย่างเสียดาย‘โอ๊ย! ไทนี่จ๋า อย่าตอบสนองพี่แบบนี้สิยาหยี เดี๋ยวพี่ทนไม่ไหวปล้ำไทนี่ก่อนจะได้คุยกันนะคนดี’ภามถึงกับร้อนฉ่าไปทั่วทั้งกายเมื่อนันทิยาตอบสนองกลับอย่างไม่มีแง่งอน สัดส่วนความเป็นชายเริ่มขยายตัวนูนเด่นดันตัวผ้าขนหนูออกมาแนบชิดลำขากลมกลึง“คุยกันดี ๆ ไม่คิดหนีและไม่ทำร้ายร่างกายพี่ด้วย พี่จะปล่อย ตกลงไหม” ภามกัดฟันข่มกลั้นความต้องการไว้อย่างสุดความสามารถ ลมหายใจหอบแรงจนกล้ามเนื้อไหวกระเพื่อมนันทิยาขบกัดริมฝีปาก จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วเห็นถึงความรักและจริงใจรักหรือ...เธอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า อย่างภามนี่นะรักเธอ เป็นไปไม่ได้ เธอคงจะตาฝาดไปเท่านั้น สิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่สายตาที่เอื้อเอ็นดูระหว่างคนที่เคยเติบโตมาด้วยกันเท่านั้นเอง วงหน้าสวยหมองเศร้าลงทันตา รีบตอบคำ
“มองอะไรไม่เคยเห็นคนหรือไง” เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบก็อดที่จะตวาดแว้ดไปด้วยความหงุดหงิดระคนวาบหวิวในทรวง แต่เมื่อนึกได้ว่ามาด้วยเรื่องใดก็สูดลมหายใจเขาเต็มปอด ข่มความโมโหเอาไว้ภายในทั้งที่อารมณ์นั้นเดือดปุด ๆ และวาบหวิวจากสายตาคมกริบเอ่ยถามออกไปเสียงแข็ง ห้วนและกระด้าง“พี่ภามทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง จะแกล้งกันไปถึงไหน” หญิงสาวข่มกลั้นน้ำตาแห่งความน้อยใจที่สุดท้ายแล้วภามก็ยังไม่ได้ปรับปรุงตัวเองยังทำร้ายหัวใจเธอซ้ำอีก“หือ...ทำอย่างนี้ได้ยังไง?” ภามแสร้งทวงคนถามอย่างไม่เข้าใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง เดินไปนั่งบนเตียงนอนใหญ่ที่เขาเพิ่งจะเปลี่ยนสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา พร้อมข้าวของอีกหลายชิ้นในห้องเพื่อให้เกียรตินันทิยาที่จะไม่ต้องมานอนทับบนเตียงที่เขาเคยพาผู้หญิงคนอื่นมานอน“พี่ภามอย่ามาเล่นลิ้นนะ ไทนี่ซีเรียดนะ” นันทิยาตวาดแว้ดชักสีหน้าบึ้งตึงใส่คนที่ยังอารมณ์ดีที่กวนโมโหจนเธอแทบจะปรี๊ดแตกแล้ว ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้ากรุ่นระอุด้วยไอโกรธที่มันพลุ่งพล่านอยู่ในเรือนกาย ร่ำ ๆ อยากจะเข้าไปทำร้ายคนหน้าเป็น‘ไม่รู้จะยิ้มอะไรหนักหนา ปากน่ะหุบเสียบ้างก็ได้คนบ้านี่’“ไม่ได้เล่นลิ้น
“รักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก้อยก็เป็นเจ้าของหัวใจฉันจนหมดทั้งดวง เลยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อทุกอย่างทุกทางจนก้อยหลงติดกับไปไหนไม่รอดไง”ปากหนาทาบจากพวงแก้มนุ่มสีพีชสุกไล่ไปถึงริมฝีปากอวบอิ่ม กดลงไปแผ่วเบา นุ่มนวลและอ่อนโยน ตอนที่แผนการนี้ผุดขึ้นมาในสมองเขากลัวแทบตายว่ารวิกานต์จะดื้อดึงดื้อรั้นไม่ยอมง่าย ๆ แต่กาลกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง แม้จะงอนและโกรธอยู่บ้าง แต่รวิกานต์กลับเข้าใจอะไรได้ง่ายอย่างที่คิด คงจะเป็นเพราะเธอรักเขา...แต่คำนี้นอกจากการกระทำแล้วมันก็ต้องได้ยินจากปากด้วย ถึงจะมั่นใจได้ว่าไม่ได้คิดไปเอง“ว่าไง ยังไม่ตอบให้ชื่นใจเลยนะ รักผมไหม...แล้วเราจะแต่งงานกันใช่ไหมก้อย” ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้บนผิวกายเนียนนุ่ม ครอบครองฟอนเฟ้นหน้าอกหน้าใจสาวที่มันอวบอิ่มใหญ่เต็มไม้เต็มมือ ริมฝีปากจุมพิตเลาะเล็มขบกัดกลีบปากเนียนนุ่มจนรวิกานต์ถึงกับตัวสั่น ยกสองมือดันกายใหญ่ให้ออกห่างอย่างยากเย็น“คุยกันก่อนสิคะเจ้านาย เล่นรุกถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ก้อยทำอะไรไม่ถูกนะคะ” หัวใจรวิกานต์เต้นตึกตัก ๆ รัวเร็วยิ่งกว่ามีใครยิงปืนกลเสียอีก ใบหน้าแดงปลั่งก้มงุดไม่กล้ามองสบสายตามคมกริบที่จ้องทะลุไปถ
ปากและใจบอกว่าไม่...อย่าไปยอมให้รัฐภาสเห็นเธอเป็นเพียงแค่ของเล่นใกล้มือที่จะหยิบมาเชยชมเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กายกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงแค่ถูกเขากอดจูบเพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้นมันก็พร้อมที่จะหลอมละลายกลายเป็นไอ สองมือที่วางทาบอยู่บนลำตัวเริ่มที่จะเคลื่อนไหวไปตามกล้ามเนื้อล่ำสันไปจนโอบรอบบ่ากว้าง เผลอตัวตอบรับจุมพิตหวานแผดร้อนที่แทบจะสูบเอาลมหายใจออกจากปอดจนหมดสิ้นรัฐภาสถอนจุมพิตเคลื่อนไปตามพวงแก้มอิ่มนุ่ม สันจมูกโด่งและสุดท้ายประทับบนดวงตากลมโตที่มันบวมช้ำเพราะการร้องไห้อย่างหนัก“ขอโทษนะก้อยที่ฉันมาช้า อย่าโกรธฉันนะคนดี” ปลายนิ้วยาวร้อนไล้ไปบนกลีบปากอวบอิ่มแดงระเรื่อที่ขบกัดหนี“ปล่อยก้อยได้แล้วเจ้านาย...คุณรัฐภาส” รีบเปลี่ยนเพราะตอนนี้เธอไม่ใช่พนักงานในบริษัทเขาแล้ว และไม่คิดที่จะไปลาออกให้มันถูกต้องด้วย จะทำอะไรก็ทำไม่แคร์“แล้วก็รีบออกไปจากบ้านก้อยด้วย ก้อยไม่ได้เป็นอะไรกับคุณอีกแล้ว” สองมือเล็กผลักดันกายใหญ่ให้ออกห่างและรัฐภาสก็ยอมให้ แต่...กายใหญ่ขยับลุกขึ้นพร้อมกับเกี่ยวเอากายโปร่งกลมกลึงขึ้นไปนั่งบนตักกว้าง จับรั้งไม่ให้เบือนหน้าหนี พร้อมสอดแขนใหญ่กระชับเอวเล็กคอด“หู...หายไปแค่
เปลือกตาบางปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า แพขนตายาวงอนกะพริบถี่ ๆ ก่อนจะลืมตาที่แดงก่ำ รอบ ๆ ขอบตาบวมช้ำขึ้นมาสู้กับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน พร้อมกับอาการปวดหัวริ้ว ๆ ของผู้เป็นเจ้าของห้อง มือเล็กยกขึ้นจับลำคอแห้งผากเหมือนกับมีกระดาษมาถูไถอยู่เลยไปถึงพวงแก้มนิ่มที่เย็นจัด ไล่ไปจนถึงดวงตากลมโตที่ถึงตอนนี้ก็ยังมีคราบน้ำตาหลงเหลือติดอยู่กายกลมกลึงพลิกตัวหนีแสงแดดที่ส่องมาจนตาถึงกับพร่าเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกจากจมูกที่ตอนนี้มีสิ่งไม่พึงประสงค์อุดอยู่ เสียงท้องร้องประท้วงให้เธอรีบไปหาอะไรใส่ลงไปเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่แบบนี้ ฟันขาวสะอาดขบกัดกลีบปากแตกแห้งเพราะขาดการบำรุง พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงก็ยังลำบากยากเย็น เพราะร่างกายหมดไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจากการไม่เอาใจใส่ตัวเอง แม้อาหารก็ไม่คิดจะหามาใส่ท้องเธอร้องไห้มากี่วันแล้ว...ร้องและรอว่าเขาคนนั้นจะมาหา บอกเล่าว่าสิ่งที่เธอเห็นในวันนั้นไม่เป็นความจริง เขายังเป็นคนโสดไม่มีพันธะใดๆ กับใคร แต่รอแล้วรอเล่า จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งคืนและล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ก็ครบหนึ่งอาทิตย์พอดี แต่ก็ไม่มีวี่แววรัฐภาสจะมา...