บทที่ 1 น้ำตาลูกผู้ชาย
วิโมกข์ตัวแข็งเป็นหินเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่รักกันมาถึงห้าปี ไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดแบบนั้นจะออกมาจากปากของเธอได้ และมันก็ถูกพูดออกมาหลังจากที่เขาและเธอเพิ่งจะเสร็จกิจรักกันบนเตียง
“มีนกำลังโกรธโมกใช่ไหม” ชายหนุ่มที่สวมกางเกงเพียงตัวเดียวถามขึ้น คิดว่าตัวเองอาจทำอะไรผิดพลาดตอนที่ร่วมรักกัน จนทำให้เธอไม่พอใจ “โมกทำให้มีนไม่มีความสุขเหรอ เรามาเริ่มกันใหม่อีกรอบก็ได้นะ”
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก มีนมีความสุขกับมันมาก แต่มีนพูดเพราะเราไปด้วยกันไม่ได้ต่างหาก” มีนาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่มีแววเสียใจแม้แต่นิด “คุณไม่ใช่คนที่มีนต้องการฝากชีวิตด้วย เราจบกันแค่นี้ดีกว่าโมก”
“ทำไมล่ะมีน มีนกลัวว่าโมกจะทำให้มีนลำบากเหรอ ถึงโมกจะเสียพ่อไปแล้ว แต่ท่านก็ทิ้งสวนยางไว้ให้โมกตั้งสามพันกว่าไร่ ฟาร์มหอยเป๋าฮื้อที่โมกบุกเบิกก็เริ่มต้นไปได้ดี แล้วโมกก็ยังมีหุ้นกับบริษัทผลิตยางรถยนต์กับเพื่อนด้วย อีกหน่อยโมกก็จะใช้หนี้ธนาคารหมดและรวยมากกว่านี้ มีเงินให้มีนใช้จ่ายไม่ขาดมือ โมกไม่ปล่อยให้มีนลำบากหรอก อย่าทิ้งโมกไปเลยนะมีนนะ” วิโมกข์ในวัยยี่สิบเจ็ดปีคุกเข่าวิงวอนต่อคนรัก
“อย่าทำแบบนี้เลยโมก มีนไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เธอขยับตัวหนีห่างจากเขาอย่างไม่พอใจ “เอาเวลาที่มาฟูมฟายกับมีนไปดูแลบรรดาแม่เลี้ยงของโมกเถอะ ป่านนี้คงมารอคิวขอแบ่งสมบัติกันเต็มบ้านแล้ว”
“อย่าทิ้งโมกไปเลยนะมีน โมกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมีน” เขาไม่โกรธเธอสักนิดที่พูดจาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันต่อว่าครอบครัวของเขา ได้แต่อ้อนวอนขอความเห็นใจจากเธอ
“มีนหมดรักโมกแล้วเข้าใจซะบ้าง”
“มีน.. อย่าทิ้งโมกนะมีน โมกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมีน” น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาเป็นทาง ขณะร้องเรียกคนรักที่เดินจากไปอย่างไม่ไยดี
ร้านบาร์เบียร์ จ.สงขลา
บารมีมองสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนของเพื่อนเกลออย่างอ่อนใจ ไม่เคยคิดเลยว่าอดีตเพลย์บอยที่พ่อต้องคอยตามเอาเงินไปปิดปากครอบครัวฝ่ายหญิงอยู่บ่อยครั้งเมื่อสมัยแตกเนื้อหนุ่ม จะหมดสภาพเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวได้ขนาดนี้
“ตอนที่พี่เขามาถึงก็เมาแอ๋มาแล้วครับ” ผู้จัดการร้านเล่าให้เจ้าของร้านที่เพิ่งมาถึงฟัง
“แค่ชั่วโมงเดียวกินไปหมดนี่เลยเหรอ” บารมีมองขวดเปล่าบนโต๊ะ
“ครับพี่ทศ พี่เขาเล่นกรอกกับขวดเลยครับ ดื่มไปร้องไห้ไป แล้วก็เรียกหาแต่คุณมีน ผมกลัวแขกคนอื่นจะไม่พอใจเอา ก็เลยโทรเรียกพี่นี่แหละครับ”
“นายช่วยดูแลหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเขาฟื้นก็อย่าให้ไปไหน”
“แต่เป็นแบบนี้มาสามวันแล้วนะครับพี่ทศ พี่เขาชอบหายไปตอนที่ผมไม่อยู่ตลอด ผมคงดูแลไม่ไหวหรอกครับ” ผู้จัดการร้านจำใจต้องปัดภาระให้พ้นตัว เพราะดูแลลูกค้าคนอื่นก็ยุ่งมากพอแล้ว ยังต้องมาดูแลคนเมาหนักแบบนี้อีก เขารับไม่ไหวแล้วจริงๆ
“สงสัยต้องส่งกลับไปให้เจ๊หวังจัดการ” บารมีพึมพำกับตัวเองแล้วบอกให้ผู้จัดการช่วยกันพยุงปีกเพื่อนรักไปที่รถ “ขอบใจมาก ดูแลร้านให้ดีล่ะ”
“ครับพี่” ผู้จัดการร้านรับคำแล้วเดินจากไปเมื่อหมดหน้าที่
บารมีปรับดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้เพื่อนรัก ปรับเบาะเอนลงไปอีกหน่อยเพื่อให้เขานอนได้สบายขึ้น แล้วจึงสตาร์ทรถขับออกไป
ฟาร์มสวนยางโชคอนันต์
เจ๊หวังวางผ้าเช็ดตัวลงในกะละมัง มองสภาพของเจ้านายน้อยที่กำลังจะขึ้นมาเป็นใหญ่แทนบิดาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“มีน.. อย่าทิ้งโมกนะ.. โมกรักมีน.. มีน.. มีน.. กลับมาหาโมกนะ.. ผมรักคุณ..”
แม่บ้านใหญ่วัยห้าสิบปีนั่งสะอื้นไห้อยู่ข้างเตียงของชายหนุ่มผู้ผิดหวังจากรัก นางไม่เคยคิดเลยว่าอีปลิงดูดเลือดที่ดีที่แต่งตัวสวยและหลงงมงายกับการพนันจะทำกับคุณหนูของตนได้ขนาดนี้
“โธ่คุณหนูของหวัง หวังกับคุณผู้ชายรู้อยู่เต็มอกว่าอีเป็นคนแบบไหน แต่พวกเราก็จำใจยอมรับอีเพราะอีทำให้คุณหนูมีความสุข เลิกทำตัวเสเพลสร้างแต่ปัญหาให้ตามแก้ หวังไม่เคยคิดเลยว่าอีจะกล้าทำแบบนี้กับคุณหนูของหวัง ฮึก ๆ ๆ”
“โมกอยากตายมีน.. ไม่มีคุณผมตายดีกว่ามีน.. ฮือ ๆ ๆ ฮือๆ ๆ มีน.. อย่าทิ้งผม..”
“โธ่คุณหนู” เจ๊หวังเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาทางหางตาของคนที่กำลังหลับ ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาโทรหามีนา
(ใครคะ..) เสียงปลายสายถามมาอย่างงัวเงีย
“คุณมีนเหรอคะ หวังเองค่ะ”
(หวัง.. เจ๊หวังใช่ไหม)
“ค่ะเจ๊หวังเอง”
(โทรมาทำไม คุณหนูของเจ๊ไม่ได้อยู่กับฉันหรอกนะ เราเลิกกันแล้ว) เธอกระซิบตอบกลับมา
“หวังรู้ค่ะ หวังถึงโทรมาหาคุณนี่ไงคะ หวังขอร้องนะคะ อย่าเลิกกับคุณหนูของหวังเลยค่ะ คุณหนูของหวังทำอะไรผิดบอกหวังได้ไหมคะ หวังจะได้บอกให้เขารู้ตัว”
(คุณหนูของเจ๊ไม่ผิดหรอก แต่เขาแค่หมดความหมายสำหรับฉันแล้วต่างหาก)
(คุยกับใครครับมีน)
(เขาโทรมาผิดค่ะ) มีนากดสายทิ้งทันที
มือที่กำหูโทรศัพท์สั่นเทาด้วยความโกรธเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายดังเข้ามาในสายชัดเจน ที่แท้เธอก็มีผู้ชายคนใหม่นี่เอง เธอถึงได้ทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดีแบบนี้
“พอกันที ชาตินี้อั๊วจะไม่ขอญาติดีกับลื้ออีกต่อไป อีนางงูพิษ!”
สามวันต่อมา ท่าอากาศยานหาดใหญ่
หญิงสาววัยกลางคนหน้าตาคมเข้มแบบสาวใต้แท้ๆ พร้อมด้วยหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาบ่งบอกความเป็นลูกครึ่งหนึ่งคน และหน้าตาฝรั่งจ๋าอีกหนึ่งคน กำลังช่วยกันมองหาป้ายชื่อจากผู้ที่มารอรับด้วยใจจดจ่อ
“เขาไปรับผิดสนามบินหรือเปล่าคะแม่” หญิงสาวหน้าตาแบบลูกครึ่งวัยสิบแปดปี นามว่าวิเวียนถามมารดา เพราะเธอรู้ว่ายังมีสนามบินอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดนี้
“แม่โทรมาบอกเขาแล้วว่าที่นี่” ปราณีบอกกับลูกสาวขี้สงสัย
“คนนั้นชูป้ายชื่อคุณครูด้วยค่ะ ใช่เขาหรือเปล่าคะ” หญิงสาวหน้าตาน่ารัก รูปร่างผอมสูงเกินวัยสิบเจ็ดปี นามว่าชาร์มมิ่ง แอนนาเบล เครน ชี้ไปยังคนที่วิ่งถือป้ายเขียนว่า ‘คุณปราณี จากฟาร์มสวนยางโชคอนันต์’ เข้ามา
“ใช่จ้ะชาร์มมิ่ง พี่อำนวยทางนี้จ้ะ” ปราณีตอบรับเด็กสาวแล้วกวักมือพร้อมส่งเสียงเรียกชายคนนั้น
“ขอโทษทีที่มาช้าครับคุณปราณี พอดีรถคันแรกที่ให้มารับคุณมันถูกชนตูด ผมก็เลยต้องออกมาแทน” อำนวยพูดไปหอบไปด้วยความเหนื่อย
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่อำนวย เด็กๆ ทักทายคุณลุงเขาหน่อยสิจ๊ะ” เธอปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มจริงใจแล้วจึงบอกกับสาวน้อยทั้งสองให้ทักทายผู้ใหญ่
“สวัสดีค่ะ / สวัสดีค่ะ” สองสาวยกมือไหว้หนุ่มใหญ่แบบไทย
“สวัสดีจ้ะ สงสัยจะพูดไทยได้ทั้งคู่นะครับคุณปราณี”
“จ้ะพี่ นี่ลูกสาวฉันเองชื่อวิเวียน แล้วคนนี้ก็ลูกเจ้านายฉันชื่อชาร์มมิ่ง อยู่ที่โน่นฉันถูกจ้างให้เป็นครูสอนภาษาไทยให้ลูกๆ เจ้านายโดยเฉพาะ พอดีโรงเรียนที่โน่นปิดเทอมพวกเขาก็เลยขอมาเที่ยวด้วย แล้วลูกชายฉันเป็นอย่างไรบ้างพี่” เธอแจงรายละเอียดให้ฟังแล้วถามถึงลูกชายด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง
“พี่ว่าคุณปราณีไปดูเองดีกว่าครับ” อำนวยตอบเพียงแค่นั้น...
หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ นางถึงตัดสินใจเองไม่ได้แบบนี้ “ใครมาขอเงินอีกเหรอครับป้า” เขาเดาสุ่ม นึกถึงบรรดาเมียเล็กเมียน้อยของบิดาที่ชอบตีหน้าเศร้ามาขอเงินลงทุน “ไม่ใช่หรอกค่ะคุณหนู อีนางพวกนั้นหวังจัดการเองได้ค่ะ แต่คนนี้หวังจัดการยากจริง ๆ ค่ะ คุณหนูไปดูเองเถอะค่ะ รีบ ๆ ไปสิคะ” “ก็ได้ครับ ขึ้นรถสิครับป้า” เขาเรียกนางให้ขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ เขยิบก้นไปข้างหน้าเพื่อให้มีที่ว่างเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย เจ๊หวังไม่ได้อยากจะขึ้นซ้อนท้ายรถเครื่องคันเล็กนี้สักนิด แต่เพราะความเร่งรีบทำให้นางตัดใจก้าวขาขึ้นไปนั่งคร่อมแล้วกอดเอวคุณหนูเอาไว้แน่น “ผมจะไปแล้วนะ กอดแน่น ๆ นะครับ ระวังมอเตอร์ไซค์ทำหล่นนะครับ” เขาแซวแล้วค่อย ๆ บิดคันเร่งขี่ออกไป เพียงแค่เห็นแผ่นหลังของแขกผู้มาเยือน วิโมกข์ก็ถึงกับยืนนิ่งเป็นหินไปชั่วขณะ เพราะจำได้ติดตา ก่อนจะเดินไปนั่งประจันหน้ากับเธอ “ต้องการพบผมเรื่องอะไร” เขาถามเธอ แต่สายตานั้นไปมองอยู่ที่เด็กชายตัวน้อยหน้าตาน่ารักน่าชังแทน และเดาได้ทันทีว่
สุดท้ายเขาก็หนีเธอไม่พ้น แต่เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอ “ไงมีน เจอกันอีกแล้วนะ” บารมีกล่าวทักทาย ไม่ยอมปล่อยแขนเพื่อนรักเพราะกลัวเขาจะชิ่งหนีไป “สวัสดีโมก” มีนาทักทายอดีตคนรักที่เมินหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ยอมกล่าวแม้คำทักทายกับตน “เราต้องรีบไปประชุม ขอตัวนะมีน” บารมีเอ่ยขึ้นแล้วดันวิโมกข์ให้เดินนำหน้า “แล้วเรื่องหุ้นจะว่ายังไง” มีนาตั้งคำถามตามหลังคนที่พยายามจะเดินหนี บารมีจับแขนเพื่อนรักแล้วหยุดเดิน หันไปทางหญิงสาวด้วยท่าทางใสซื่อ “ทำไมเหรอมีน คุณอยากจะขอซื้อคืนจากเราใช่ไหม” “ทำไมมีนต้องซื้อด้วยล่ะ ในเมื่อหลุยส์เขาไม่ได้ขายให้พวกคุณนี่” มีนาสังเกตท่าทีของชายหนุ่มทั้งสองเมื่อพูดจบ แน่นอนว่าบารมีทำหน้าแปลก ๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่กับอดีตคนรักไม่มีแววหวั่นไหวแม้แต่น้อย “โอนหุ้นคืนมาให้มีน มีนรู้นะว่าหลุยส์แค่โอนหุ้นให้พวกคุณสองคนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เขาดันมาตายเสียก่อน พวกคุณก็เลยจะฮุบมันเอาไว้เอง” สามีที่ทุ่มเทกับบริษัทมีหรือที่จะยอมลาออกอย่างง่ายดาย เขาต้องดีดลูกคิดลูกรางเอาไว้เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะทำแบบนั้น “ทำไมถึงมาก
และก็เป็นจริงอย่างที่วิโมกข์กังวล เขาและบารมีต้องบินไปและกลับระหว่างประเทศไทยกับประเทศสิงคโปร์เป็นว่าเล่นในช่วงสองเดือนแรกหลังจากงานศพหลุยส์ เพื่อชี้แจงเรื่องหุ้นที่ได้รับโอนจากคนตายและวันนี้พวกเขากลับมาเพื่อเข้าประชุมในฐานะผู้ถือหุ้น ร่วมกับผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ท่ามกลางสายตากังขาของทุกคน “ทำไมเขามองเราแบบนั้นวะ” บารมีกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินกันสองคน “ก็อยู่ดี ๆ มึงกับกูกลายเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญขึ้นมาน่ะสิ” วิโมกข์คุยภาษาไทยโทนเสียงปกติห้านาทีต่อมาการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่หน้าประตู และมันก็ถูกเปิดออกด้วยมือของผู้ที่บุกรุกเข้ามา “อะไรกันนี่ เธอเข้ามาได้อย่างไร ที่นี่ห้องประชุมนะ ไม่ใช่บ่อนที่เธอจะเดินเข้าออกได้ตามใจ” บิดาของหลุยส์ เซียะ ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นลูกสะใภ้นอกคอกบุกเข้ามา “นึกว่าหนูอยากจะมานักเหรอคะคุณพ่อ ถ้าคุณพ่อยอมตกลงกับหนูดี ๆ ตั้งแต่แรก หนูคงไม่ทำถึงขนาดนี้หรอกค่ะ” “ฉันไม่มีอะไรต้องตกลงกับเธอ กลับไปซะ” “แต่หนูมี ถ้าวันนี้หนูไ
บทที่ 7 ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้โกรธนายหรอก“ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ” หลุยส์ตอบทันที มองเพื่อนทั้งสองคนด้วยสายตาจริงจัง “ครอบครัวของฉันเป็นตระกูลใหญ่ที่คอยแต่ชิงดีชิงเด่นกันเอง ถึงฉันจะไว้ใจพ่อแม่แต่ฉันก็เชื่อใจพวกท่านไม่ได้ เพราะท่านยังมีลูกและหลานอีกหลายคน ถ้าท่านไม่ยอมแบ่งผลประโยชน์ให้ลูกชายฉันอย่างที่ท่านพูดจริงๆ ล่ะ ลูกฉันก็คงไม่ต่างไปจากขอทาน ฉันคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดแล้วโมก ทศ อย่างน้อยลูกฉันก็ยังได้เงินปันผลทุกปี พวกนายช่วยฉันด้วยนะ ฉันเชื่อว่านายสองคนจะไม่โกงลูกฉันหรอก”“ถ้านายไว้ใจฉัน ฉันก็จะยอมช่วยนาย” วิโมกข์รับปากเป็นคนแรกเพราะเห็นแก่เด็กและอยากแก้แค้นอดีตคนรักอยู่ในที“ถ้าโมกมันรับปากฉันก็เอาด้วยคน” บารมีรับปากอย่างกลัดกลุ้ม นึกสงสัยว่าคนรวยมากๆ นี่เขาสุขหรือทุกข์กันแน่ “แล้วพ่อกับแม่นายจะไม่เคืองฉันสองคนเหรอ”“เขาคงจะโกรธฉันจนไม่อยากมองหน้าเลย ลูกชายคนโตของครอบครัวขายหุ้นให้เพื่อนเพื่อแก้แค้นที่ถูกตัดออกจากกองมรดก” หลุยส์ เซียะ กล่าวอย่างขมขื่นในโชคชะตาของตัวเอง “ฉันขอบใจนายสองคนมากนะ ฉันจะรีบไปจัดการเรื่องเอกสารแล้วเราจะนัดเจอกันที่นี่อีกที”หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ทุกคนก็กลับมา
บทที่ 6 ทำเพื่อลูกหลายปีผ่านไปหลังจากผิดหวังจากความรัก วิโมกข์ก็ทุ่มเทกับการบริหารสวนยางและฟาร์มหอยเป๋าฮื้อของเขาเต็มที่ ภายในระยะเวลาไม่ถึงห้าปี เขาก็สามารถใช้หนี้เงินกู้ธนาคารหลายร้อยล้านได้หมด กลายเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่ได้รับการยกย่องจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดความร่ำรวยของตัวเองไว้แค่นั้น ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่องออกสู่ตลาดโลก“ฉันคิดว่าชาตินี้แกจะอยู่แต่ในสวนในไร่ซะอีก” บารมีประชดใส่เพื่อนรักที่มาเยี่ยมถึงหาดใหญ่ สี่ปีที่ผ่านมาเพื่อนของเขาคนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากชายหนุ่มที่ร่าเริง ขี้เล่น พูดจาดี กลายเป็นคนเคร่งขรึม ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร พูดจาขวานฝ่าซาก กลายเป็นคนหยิ่งๆ ดิบๆ เถื่อนๆ ไปเลย กอปรกับรูปร่างเหมือนนายแบบ และหน้าตาคมเข้มแบบคนใต้แต่ได้ความขาวแบบคนจีน จึงทำให้รูปลักษณ์เขาดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เพียงแต่.. “ถ้านายยิ้มง่ายกว่านี้อีกสักนิด สาวๆ ทั้งสงขลาคงเสร็จนาย”“หน้าตาไม่มีประโยชน์เท่ากับเงินหรอกไอ้ทศ” วิโมกข์ยิ้มเยาะ หยิบขวดเบียร์กรอกใส่ปาก “ต่อให้มึงขี้เหร่จนหมาเมิน แต่ถ้ามึงมีเงินนางงามยังยอมเป็นเมียน้อยมึงเลย”“มึงอคติกับชีวิตไ
บทที่ 5 คนเดิมฮึ่ม! ชายหนุ่มถึงกับทำหน้าไม่ถูก เมื่อได้ยินเด็กสาววัยละอ่อนพูดออกมาตรงๆ แบบนั้น แต่เมื่อเห็นอาการของเธอก็เข้าใจ จึงก้มตัวลงให้ต่ำกว่าเธอแล้วมองไปยังจุดที่เธอบอกพร้อมกับส่องไฟฉาย“แค่แมงพลัดน่ะคุณ ไม่มีพิษหรอก ไม่ต้องกลัว”“เอามันออกไปที ชาร์มกลัว ฮือๆๆ ฮือๆๆ” เธอขอร้องทั้งน้ำตาเมื่อเขาไม่ยอมทำอะไรกับมันสักทีคำขอของเธอทำเอาเขาหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว เขาจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันเลือกที่เกาะได้เหมาะเจาะแบบนั้น แล้วเสื้อของเธอก็เป็นแบบพอดีตัว ถ้าเขาจับไป.. สุดท้ายเขาจึงใช้ไฟฉายเขี่ยมันให้หนี แต่เพราะขามันเหนียวหรือเพราะมันชีกอก็ไม่รู้ มันจึงไม่ยอมบินหนีไปจากตรงนั้นเลย“จับมันสิคะ อย่าเขี่ยแบบนั้นเดี๋ยวมันบินใส่ชาร์ม ชาร์มกลัว ฮือๆๆ ฮือๆๆ” เธองอตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาสะกิดมันแบบนั้นความกลัวของเธอทำให้วิโมกข์ตัดสินใจจับแมลงตัวนั้นด้วยมือของเขา พยายามไม่ให้สัมผัสโดนเธอแต่มันก็ยังมีบ้างแผ่ว ๆ เพราะเธออยู่ไม่นิ่งเลย“ผมจับมาแล้ว” เขาบอกกับคนที่ยังหลับหูหลับตาร้องไห้ชาร์มมิ่งค่อย ๆ หยุดร้องแล้วมองไปที่มือของเขา เมื่อเห็นแมลงตัวนั้นถูกจับออกไปแล้วจริง ๆ จึงยืดตั