เสียงหัวเราะของพอลดังขึ้นในบ้านพี่เข้ม คลอไปกับเสียงพูดคุยของลินดาและข้าวหอมที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมอาหารเย็น พี่เข้มเองก็ดูผ่อนคลายกว่าที่เคย ขุนมองดูทุกคนด้วยความรู้สึกที่ยังปรับตัวไม่ทัน เขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานาน การได้เห็นบรรยากาศอบอุ่นแบบนี้ทำให้ใจเขาเบาลง แต่ก็ยังมีความรู้สึกแปลกแยกอยู่บ้าง
ในขณะที่ข้าวหอมกำลังจะเดินไปหยิบจานเพิ่ม สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ตรงหน้าต่างบานหนึ่ง เธออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครมาแอบมอง “เดือน!” ข้าวหอมเอ่ยเรียกชื่อขึ้นเบา ๆ พร้อมส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นและเป็นกันเองให้ เดือน สะดุ้งเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าข้าวหอมจะเห็น เธอทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ก็เปลี่ยนใจ เมื่อถูกจับได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลจะต้องหลบอีก เธอค่อย ๆ เดินออกมาจากเงาต้นไม้แล้วมายืนอยู่หน้าต่าง ส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้ข้าวหอม ลินดา ที่กำลังช่วยจัดจานอยู่เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกของข้าวหอม เธอเห็นเดือนยืนอยู่ตรงนั้น ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอไม่เคยเห็นเด็กสาวคนนี้มาก่อนเลย “ใครเหรอข้าวหอม” ลินดาถามด้วยความสงสัย ข้าวหอมยิ้มกว้าง “อ๋อ นี่น้องเดือนค่ะ บ้านอยู่ติดกับไร่เรานี่เอง” เธอหันไปทางเดือน “นี่ลินดาเพื่อนพี่เข้มกับพอลค่ะ” เดือนยกมือไหว้อย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะพี่ลินดา” ลินดายิ้มรับ “สวัสดีจ้ะ ไม่เคยเห็นเลยนะ” ในขณะที่ข้าวหอมกำลังจะแนะนำเดือนให้รู้จักกับคนอื่น ๆ ในห้อง พอล ก็หันมาพอดี เขามองเดือนด้วยความสงสัยไม่ต่างจากลินดา เพราะเขาเองก็เพิ่งรู้จักกับพี่เข้มและลินดาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตอนที่เข้มเริ่มขยายกิจการลำไยและร่วมมือกับไร่ดอกไม้ เขาไม่ได้รู้จักคนในระแวกนี้มาก่อน และเพิ่งเคยเห็นเดือนเป็นครั้งแรก “สวัสดีครับ” พอลเอ่ยทักอย่างสุภาพ จู่ ๆ เสียงทุ้มต่ำของ พี่เข้ม ที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้น เขาหันไปมองเดือนที่ยืนอยู่หน้าต่าง แล้วเอ่ยกับข้าวหอมด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่พอให้ทุกคนได้ยิน “เดือนโตเป็นสาวแล้วนะข้าวหอม” คำพูดของพี่เข้มไม่ได้เป็นการแซวเสียงดัง แต่เป็นข้อสังเกตที่ทำให้ทุกคนหันมามองเดือนอีกครั้ง เดือนถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอเหลือบมองไปที่ ขุน อย่างรวดเร็ว ขุนที่นั่งนิ่งมาตลอดจู่ ๆ ก็ชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าเมื่อครู่จางหายไปเล็กน้อย แววตาของเขาดูซับซ้อนขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของพี่เข้ม เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ก้มหน้าลงมองจานข้าวในมือ แต่หูของเขากลับตั้งใจฟังทุกบทสนทนา ลินดาที่ได้ยินคำพูดของพี่เข้มก็หันมามองเดือนด้วยรอยยิ้มที่แฝงความสนใจ เธอดูแปลกใจเล็กน้อยกับข้อมูลที่ได้ยินว่าเดือนโตขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ “หนูขอตัวก่อนนะคะ” เดือนรีบพูดตัดบท เธอรู้สึกเขินจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่บ้านของเธอเองอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เสียงพูดคุยยังคงดังแว่วมาตามลม ขุนรู้สึกถึงสายตาของ เดือน ที่แอบมองมาจากหน้าต่างบ้านของเธอตอนที่ข้าวหอมทัก และเขาก็เห็นแววตาเขินอายของเธอเมื่อพี่เข้มพูดถึงเรื่องที่เธอโตเป็นสาว แต่ขุนเลือกที่จะนิ่งเฉย เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับเดือนอย่างไรดี หลังจากที่เขาหายไปนานถึงเจ็ดปี คืนนั้น หลังจากพอลและลินดากลับไป บ้านของพี่เข้มก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ขุนช่วยพี่เข้มเก็บของเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อนในห้องนอนของตัวเอง เขานอนไม่หลับ ความคิดถึงเดือนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว รุ่งเช้า ขุนตื่นขึ้นมาด้วยความตั้งใจบางอย่าง หลังจากทานอาหารเช้ากับพี่เข้มและข้าวหอมอย่างเงียบ ๆ ขุนก็ขอตัวออกไปเดินเล่นในไร่ลำไย เขาเดินเลียบไปตามแนวต้นลำไยที่คุ้นเคย จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่เป็นแนวรั้วติดกับบ้านของเดือน เขาเห็นเดือนกำลังรดน้ำต้นไม้เล็ก ๆ หน้าบ้านอย่างเพลิน ๆ แสงแดดยามเช้าสาดส่องต้องร่างเธอ ทำให้เดือนดูงดงามราวกับภาพวาด ขุนสูดหายใจเข้าลึก เขาตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องเข้าไปคุยกับเธอ “เดือน…” ขุนเอ่ยเรียกชื่อเธอเบา ๆ เดือนสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับมามองขุนด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำที่รดต้นไม้อยู่หกเลอะพื้นเล็กน้อย “พี่…พี่ขุน” เดือนเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ขุนก้าวเท้าเข้ามาใกล้รั้วอีกนิด “พี่…มาคุยด้วยได้ไหม” น้ำเสียงของเขาดูประหม่าเล็กน้อย ไม่ต่างจากเธอ เดือนพยักหน้ารับช้า ๆ เธอดับก๊อกน้ำ แล้ววางบัวรดน้ำลงข้างตัว ก่อนจะเดินเข้ามาหารั้วอย่างช้า ๆ หัวใจของเธอเต้นระรัว ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้เบา ๆ และเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว “สบายดีไหม” ขุนเริ่มต้นประโยคด้วยคำถามง่าย ๆ คำถามที่เขาอยากถามมานานแสนนาน เดือนพยักหน้า “สบายดีค่ะ พี่ขุนล่ะคะ…สบายดีไหม” ขุนพยักหน้าเช่นกัน “ก็…สบายดี” เขาหลบสายตาไปเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาเดือนตรง ๆ “พี่…ขอโทษนะที่หายไปนาน” คำขอโทษที่หลุดออกมาจากปากของขุนอย่างกะทันหัน ทำให้เดือนรู้สึกจุกในอก น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง เธอส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ…เดือนเข้าใจ” “เข้าใจเหรอ” ขุนถามเสียงแผ่ว แววตาของเขาดูเจ็บปวด “เข้าใจอะไร” เดือนเงยหน้าขึ้นสบตาขุน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งคิดถึง เสียใจ และเข้าใจ “เดือนเข้าใจว่าพี่ขุนคงมีเหตุผลของพี่ขุน…ที่ต้องไป” ขุนมองเดือนนิ่งนาน เขาเห็นความเข้าใจและความบริสุทธิ์ใจในแววตาของเธอ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก “แล้ว…ทำไมพี่ขุนถึงกลับมาคะ” เดือนถามต่อ คำถามนี้เป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่เธอรอคอยคำตอบมาตลอดเจ็ดปี ขุนหลับตาลงชั่วครู่ ภาพอดีตมากมายผุดขึ้นมาในหัว ทั้งชีวิตที่โดดเดี่ยวในกรุงเทพฯ เรื่องราวที่โดนหลอกให้กู้เงิน และคืนที่เขายืนอยู่ริมต้นลำไย มองดูแม่จากไป “พี่…” ขุนเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สบตาเดือนตรง ๆ “พี่แค่…อยากกลับมาที่นี่” คำตอบนั้นไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านั้น แต่แววตาที่เจ็บปวดของขุนกลับทำให้เดือนรู้สึกถึงบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายได้ “เดือนดีใจนะคะ…ที่พี่ขุนกลับมา” เดือนพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ไร่ลำไยดูเหงามากเลยค่ะ…ถ้าไม่มีพี่ขุน” รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของขุนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เขากลับมาถึงไร่ลำไย รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนและอบอุ่น เหมือนรอยยิ้มที่เดือนเคยจำได้เมื่อครั้งยังเด็กบรรยากาศในบ้านของ พี่เข้ม เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ บัณฑิตใหม่ อย่าง ขุนพอล และ ลินดา เดินทางมาร่วมงานด้วย พวกเขานำไวน์ชั้นดีและขนมเค้กมาเป็นของขวัญ ข้าวหอมช่วยจัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ มีทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารที่ขุนชอบเป็นพิเศษโต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้นอกชานบ้าน ใต้แสงไฟสลัว ๆ ที่ห้อยระย้าจากต้นไม้ใหญ่ เสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคล้าไปกับเสียงพูดคุยและเสียงแก้วกระทบกันเดือน มาถึงพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เธอสวมชุดที่เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม ดวงตาเป็นประกายเมื่อมองมาที่ขุน“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่ขุน” เดือนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจขุนยิ้มตอบ “ขอบคุณนะเดือน” เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นเธออยู่ตรงนี้ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหาร พี่เข้มรินไวน์ให้ทุกคน พอลยกแก้วขึ้น“ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ของเราด้วยนะขุน” พอลกล่าว “นายเก่งมากจริง ๆ”ทุกคนยกแก้วขึ้นชนกัน เสียง “ไชโย!” ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงลินดายิ้มให้ขุน “ดีใจด้วยนะคะขุน ที่ดิน 50 ไร่ที่พี่เข้มให้…อยู่ติดกับไร่ดอกไม้ของลินดาเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้น “ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะ”ขุนพยั
หลังจากวันนั้นที่คาเฟ่ ขุน ตัดสินใจที่จะกลับไปเรียนต่อในเมืองตามคำแนะนำของ พี่เข้ม แม้ในใจลึก ๆ จะมีความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะอยู่ใกล้ เดือน และไร่ลำไย แต่เขาก็รู้ว่าการเรียนคือโอกาสสำคัญที่พี่ชายมอบให้ และเป็นสิ่งที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดขุนเดินทางกลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ และตั้งใจว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนา "บ้านไร่ในฝัน" ของเขาให้เป็นจริงตลอดช่วงเวลาที่ขุนเรียนอยู่ในเมือง เขาจะโทรศัพท์กลับมาคุยกับพี่เข้มและข้าวหอมเป็นประจำ เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและข่าวคราวของไร่ลำไย และแน่นอนว่าเขามักจะแอบถามถึง เดือน เสมอเดือนเองก็ใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีความสุขกับการทำงานที่คาเฟ่ดอกไม้ของ ลินดา เธอเติบโตเป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของขุนเสมอเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…ในที่สุด วันที่ ขุน รอคอยก็มาถึง วันรับปริญญา ของเขาพี่เข้มและข้าวหอมพร้อมด้วย ต้นฝัน ลูกสา
เสียงเรียกชื่อของ เดือน แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของ ขุน หยุดนิ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ขุนเห็นความตกใจและแปลกใจในแววตาของเดือน ส่วนเดือนก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกในดวงตาของเขาลูกค้าหนุ่ม ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็หันมามองขุนด้วยความสงสัยเล็กน้อย เดือนที่ตั้งสติได้ก่อน รีบส่งยิ้มให้ลูกค้าพร้อมรับออเดอร์อย่างเป็นธรรมชาติ“พี่ขุนมาเมื่อไหร่คะ” เดือนถามขณะที่เธอกำลังชงกาแฟให้ลูกค้า มือของเธอดูคล่องแคล่ว แต่ขุนก็สังเกตเห็นว่ามันสั่นไหวเล็กน้อย“เมื่อวาน” ขุนตอบสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เดือน ไม่ได้สนใจลูกค้าคนอื่น ๆ เลยเมื่อเดือนชงกาแฟเสร็จและส่งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับขุนอย่างเต็มที่“มาเที่ยวคาเฟ่เหรอคะ” เดือนพยายามยิ้มให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นยังคงสวยงาม แต่ดูต่างไปจากรอยยิ้มสดใสในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย“มาเยี่ยมหลาน” ขุนตอบ และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ “พี่เข้มมีลูกสาวแล้ว ชื่อต้นฝัน”ดวงตาของเดือนเป็นประกายด้วยความยินดี “จริงเหรอคะ! ดีใจด้วยจังเล
หลังจากวันที่ ขุน จากไปอีกครั้งพร้อมกับคำสัญญาที่ยังค้างคา เดือน ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เธอปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดือนรู้ดีว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเธอจะต้องเข้มแข็งให้ได้เวลาผ่านไป เดือนเริ่มเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นความคิดและจิตใจ เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับความเศร้า แต่จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพื่อรอคอยวันที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ด้วยความช่วยเหลือของ พี่เข้ม และ ข้าวหอม เดือนได้มีโอกาสเข้าไปทำงานใน ไร่ดอกไม้เรือนกระจกของลินดา ซึ่งอยู่ทางเหนือของไร่ลำไย เธอเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียนรู้การดูแลดอกไม้ การจัดดอกไม้ และการบริหารจัดการคาเฟ่ดอกไม้ที่สวยงามลินดา มองเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นในตัวเดือน เธอเอ็นดูเดือนเหมือนน้องสาวคนเล็ก คอยสอนงาน ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ลินดาไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิต การจัดการกับอารมณ์ และการมองโลกในแง่บวก“ดอกไม้ก็เหมือนใจคนนะเดือน” ลินดาเคยพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่กำลังจัดดอกไม้อยู่ในเรือนกระจก “ถ้าเราดูแลมันดี
วันเดินทางมาถึง ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับคืนก่อน ๆ ที่มืดครึ้ม ขุน ตื่นแต่เช้า จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดลงในกระเป๋าเดินทางใบเก่า ความรู้สึกตื่นเต้นระคนสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในใจหลังจากทานอาหารเช้าที่ ข้าวหอม เตรียมไว้ให้ ขุนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน พี่เข้ม ยืนรออยู่แล้ว ข้าง ๆ เขาคือรถกระบะคันเก่าของไร่ สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดูดีและใช้งานได้“รถคันนี้…พี่ให้แกเอาไปใช้ในเมือง” พี่เข้มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “มันอาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ยังวิ่งได้ดี ดูแลมันดี ๆ นะ”ขุนมองรถคันนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่คิดว่าพี่เข้มจะให้รถเขาไปใช้ในเมือง “ขอบคุณครับพี่”พี่เข้มวางมือบนไหล่น้องชาย “ไปถึงแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”ขุนพยักหน้า เขารับกุญแจรถมาจากพี่เข้ม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไปก่อนที่จะสตาร์ทรถ ขุนเหลือบมองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ แต่ในใจก็อดคิดถึงเธอไม่ได้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสียบกุญแจและบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมาใน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึงถึงคำสัญญาในวัยเด็ก ขุน ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังหนักอึ้ง แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาช่วยงานในไร่ลำไยเหมือนเช่นเคยขณะที่ขุนกำลังช่วย พี่เข้ม ตัดแต่งกิ่งลำไยอยู่กลางไร่ พี่เข้มก็วางกรรไกรลง เขามองไปยังขุนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ“ขุน…แกอยากกลับไปเรียนไหม” พี่เข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันขุนชะงักมือที่กำลังตัดกิ่งไม้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่เข้มจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา“เรียนเหรอครับพี่” ขุนทวนคำถามพี่เข้มพยักหน้า “ใช่…พี่รู้ว่าแกอยากเรียนมาตลอด พี่…พี่ขอโทษนะที่วันนั้นพี่พูดไม่ดี” น้ำเสียงของพี่เข้มแผ่วลงเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บงำมานาน “พี่อยากจะชดเชยให้แก”ขุนยืนนิ่ง เขามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งแปลกใจ ตื้นตัน และสับสน เขาไม่เคยคิดว่าพี่เข้มจะพูดคำว่าขอโทษ และไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะยังจำความฝันเรื่องการเรียนของเขาได้“พี่ได้คุยกับ อาจารย์สมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ท่านเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเรา ท่านบอกว่าถ้าแกสนใจ ท่านจะช่วยดูเรื่องทุนการศึกษาให้