"จะ...เจ้า! "
ไป๋เจินจูพูดไม่ออก มองบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังจับแก้มนุ่มของนางอย่างไร้มารยาท นางยกมือขึ้นปัดพลางถอยหลังไปอีกก้าว
"เป็นอะไรสาวน้อย เมื่อกี้ยังทำท่าไม่เกรงกลัว เชิดหน้าอยู่เลย หือ? " เขาเดินไปหาอีกหนึ่งก้าว โน้มใบหน้าเข้าหา "เจ้ากลัวที่จะแต่งให้ข้าสินะ"
"ไม่ใช่! ใครกลัวท่านกัน! "
นางปฏิเสธทันควัน แล้วผลักอกอีกฝ่ายให้ถอยห่าง ก่อนวิ่งหนีไปอีกทาง ท่าทางตื่นตกใจเหมือนลูกแมวน้อยทำให้หลี่รุ่ยหัวเราะ เขามองแผ่นหลังบอบบางที่วิ่งห่างไปเรื่อย ๆ แล้วยิ้ม
"ไป๋เจินจู...เจินจู เจ้าช่างน่าสนุก"
ไป๋เจินจูวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงมาจนถึงที่แห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นศาลากลางน้ำ นางเดินข้ามสะพานเข้าไปในศาลา เหลียวมองรอบด้าน เห็นไม่มีผู้ใดก็นั่งลงแล้วถอนหายใจพร้อมกับรำพึงรำพันเสียงดัง
"เฮ้อ ดั่งนรกชัง สวรรค์แกล้ง"
นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เอ่อ...เพดานของศาลา ก่อนทำท่าคอตก
ในใจสับสนวุ่นวาย นางรู้สึกดีใจที่ยังไม่ตาย เพราะการตายตอนอายุยี่สิบห้าช่างใช้ชีวิตไม่คุ้มค่ายิ่งนัก แต่พอไม่ตายก็ดันหลุดมาในนิยายผีบ้า หากตามเนื้อเรื่อง นางต้องแต่งให้กับองค์รัชทายาท พอองค์รัชทายาทขึ้นครองราช นางก็กลายเป็นฮองเฮา มีลูกเป็นครอก เอ๊ย เป็นฝูง เอ๊ย เป็นตัว...
ยัง ยังจะมีอารมณ์มาเล่น
นางจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ หนทางการเป็นฮองเฮาราบรื่น รัชทายาทรักใคร่ มีลูกหกคน...
ปัญหามันก็ติดตรงนี้นี่แหละ
ลูกตั้งหกคน ยายไป๋เจินจูในนิยายคลอดออกมาได้ยังไง ทำอย่างกะลูกหมา ไม่ใช่ลูกคน!
อีตารัชทายาทนั่นก็ขยันทำลูกเกิ๊น! ตอนนี้นางถึงอยู่ในสภาพหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก การมีชีวิต ตายแล้วฟื้นมันก็ดี แต่ดันมาอยู่ในนิยายจีนเก๊ที่เน้นขายแต่ฉากอย่างว่า ปั้มลูกกันไปวัน ๆ บุษกร รับไม่ด้าย!
เพราะมัวแต่นั่งเหม่อ นึกถึงชีวิตอันแสนรันทดของตน (?) ไป๋เจินจูจึงไม่ได้สังเกตผู้มาใหม่ในศาลา อีกฝ่ายที่เดินข้ามสะพานมา พอเห็นมีหญิงสาวอ่อนเยาว์นั่งอยู่ ก็คิดจะถอยหลังกลับ แต่เพราะได้ยินเสียงพูดที่ฟังประหลาดและแปร่งหูจึงเผลอเดินเข้ามาใกล้
ไป๋เจินจูรู้สึกเหมือนถูกมองจึงเงยหน้าขึ้น นางอ้าปากทำตาปริบ ๆ เมื่อสบตากับชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขามีดวงตาสีเขียวมรกต คิ้วเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก
โอ้โห งานดี
"คุณหนู ท่านมีนามว่ากระไร"
ไป๋เจินจูมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนหล่อตาสีเขียว เพราะมันมีแต่ในนิยายและในละคร แล้ววันนี้นางก็ได้เจอตัวเป็น ๆ ถึงจะในนิยาย แต่นางลูบได้ สัมผัสได้!
"คุณหนู ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่"
"หะ หา" ไป๋เจินจูได้สติ "ทะ ท่านว่าอะไรนะ"
หลี่จิ้นมองแม่นางน้อยตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ เขาไม่เคยเจอนางในวังมาก่อน ปกติเขาจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ทุกวัน ก็จะผ่านศาลากลางน้ำนี้ วันนี้ได้ยินเสียงแปลก ๆ ทั้งประหลาดและไม่เคยได้ยินจึงหยุดฟัง ก็มองเห็นสตรีเยาว์วัยนางหนึ่ง นั่งทำหน้าแปลก ๆ ในศาลา จึงเผลอขยับเท้าเข้าใกล้ พอเรียก ก็ดูเหมือนนางจะไม่ได้ยิน
จะว่าสติไม่ดีก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นสตรีปกติธรรมดา ก็ไม่ใช่
เพราะความแปลกประหลาดของนางเขาจึงหลุดปากถาม
"ข้าถามเจ้า เจ้ามีนามว่ากระไร"
"ถามข้า..." นางยกนิ้วชี้ตนเอง
หลี่จิ้นพยักหน้า เผยรอยยิ้มที่ทำให้ไป๋เจินจูตาพร่า
"ข้าชื่อ..."
"นางชื่อไป๋เจินจู อีกหน่อยก็จะเป็นพี่สะใภ้เจ้า! "
ไป๋เจินจูพูดค้าง เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขัดขึ้นเสียก่อน ทั้งนางและชายตาเขียวหันไปมองตามเสียง ก็เห็นรัชทายาทหลี่รุ่ยเดินตรงมา
พี่สะใภ้ พี่สะใภ้...เสียงนี้ดังก้องในหัว
ไป๋เจินจูมองหลี่จิ้น สลับกับหลี่รุ่ย มีความคล้ายคลึง...แล้วก็หล่อเหมือนกัน ที่ต่างกันคือสีของดวงตา นางชอบดวงตาสีเขียวมากกว่า
ว่าแต่ อะไรคือพี่สะใภ้?
นางได้ตอบตกลงจะแต่งให้เขาเมื่อไร พูดเองเออเอง
รัชทายาทสมควรตาย! นางบริภาษในใจอย่างเกรี้ยวกราด หากฉากหน้าจำเป็นต้องก้มใบหน้าลง หลบเลี่ยงสายตา
ท่องไว้ กุลสตรี กุลสตรี
นางจะกางนิ้วทั้งห้าแล้วตะปบหน้ารัชทายาทหัวสุนัขผู้นี้ไม่ได้ ทนไว้เจินจู!
"องค์รัชทายาท ข้าง่วง เมื่อไรจะปล่อยให้ข้าได้นอนเสียที! "ไป๋เจินจูพยายามเบี่ยงตัวหนี ร่างกายเปลือยเปล่าชื้นไปด้วยเหงื่อ นางถูกเขารังแกตั้งแต่ยามซวี ตอนนี้จะค่อนคืนแล้ว อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกแทง เอ๊ย ทำ!"ปากเจ้าบอกให้พอ...แต่ร่างกายกลับตอบสนองข้า..."หลี่รุ่ยมองร่างกายขาวเนียนของพระชายา แสงจากตะเกียงทำให้เห็นเงา ภาพความงดงามตรงหน้าทำจิตใจปั่นป่วน ฝ่ามือร้อนลากไล้ไปทั่ว ก่อนหยุดอยู่ที่ซาลาเปาอวบ...ไป๋เจินจูตอนนี้ที่เป็นมารดา เคยผ่านการให้นมบุตร จากรูปร่างผอมบางกลับดูอวบอิ่ม มีน้ำมีนวลขึ้น จับตรงไหนก็ให้ความรู้สึกดี"อะ! ขะ ข้าเปล่าเสียหน่อย! " นางปฎิเสธเสียงแผ่ว แม้สองตาจะแทบลืมไม่ขึ้น แต่ร่างกายกลับขยับไปตามจังหวะของบุรุษที่ทาบทับอยู่ด้านบน ประกอบกับถูกกระตุ้นจากฝ่ามือร้อน แผ่นหลังก็แอ่นขึ้นอัตโนมัตินางกับเขาใช้ชีวิตร่วมกันมาห้าปีแล้ว ไม่รู้ว่านางควรดีใจที่เขายึดมั่นในคำสัญญาว่าจะไม่มีชายารอง หรือนางน้อย ๆ มาให้นางกวนใจ หรือควรสงสารตนเอง ที่แม้เวลาผ่านไปห้าปีแล้ว เขายังขยันอุ่นเตียง รังแกนางทุกค่ำคืนโดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย!ต้องโทษที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นตำแหน่งที่ว่าง
ไป๋เจินจูคลอดลูกในเวลาต่อมา เวลานั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศอบอุ่น นางคลอดเจ้าแป้งน้อยสามก้อน เป็นชายทั้งหมด ใบหน้าพิมพ์เดียวกัน สร้างความตื่นตะลึง และยินดีไปทั่วตำหนักองค์รัชทายาท ของขวัญแสดงความยินดีหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ฮ่องเต้และฮองเฮาก็เสด็จมาแสดงความยินดีหลังจากไป๋เจินจูคลอดเด็ก ๆ ออกมาอย่างปลอดภัย นางก็ผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ร้องเรียกหาบุตรชายทั้งสาม พร้อมกับบอกความต้องการว่าจะให้นมลูกเอง หลินหลงและแม่นมจึงนำพระโอรสทั้งสามมาส่งที่ห้อง ไป๋เจินจูมองเจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งสามก็ยิ้มทั้งน้ำตา นางค่อย ๆ อุ้มลูกน้อยขึ้น ใช้มืออีกข้างแกะเสื้อคลุมออก แล้วจับลูกน้อยหันหน้าตะแคงเข้าหาอกเสียงจ๊วบ ๆ ดังขึ้นแทบจะทันที ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หลี่รุ่ยไล่แม่นมและหลินหลงออกไปข้างนอกให้หมด เหลือเพียงเขาและพระชายารัก กับบุตรอีกสามคน เขามองไป๋เจินจูให้นมลูกเงียบ ๆ เมื่อคนแรกอิ่ม คนที่สองอิ่มก็ยกคนที่สามขึ้นมาบ้าง สลับวนเวียนไปอย่างนั้น เขาเดินเข้าไปใกล้นาง เห็นนางเหน็ดเหนื่อย ซูบผอมก็ปวดใจ“ให้ข้าเรียกแม่นมเข้ามาดีหรือไม่ เจ้าจะได้พัก”“ไม่ต้องหรอกเพคะ” ไป๋เจินจูเงยหน้า
ไป๋เจินจูฝัน...นางเดินอยู่บนเส้นทางแห่งหนึ่ง รอบด้านขาวโพลน เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ปลายทาง นางเร่งฝีเท้าไปใกล้ อยากจะถามหญิงสาวผู้นั้นว่าที่นี่คือที่ไหน“ขออภัย คือข้าอยากจะถาม...” นางมองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีครีม คนตรงหน้ารูปร่างผอมบาง ใบหน้าเล็กเรียว นัยน์ตาโศก เมื่อเห็นการแต่งกายเหมือนหญิงสาวยุคปัจจุบัน ถ้อยคำต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นทันสมัยอัตโนมัติ “ที่นี่ที่ไหนคะ คุณพอจะทราบไหม”หญิงสาวตรงหน้านิ่งเงียบ ไป๋เจินจูจึงถามย้ำอีกครั้ง“คุณคะ...ได้ยินที่ฉันพูดใช่ไหม”“ค่ะ ได้ยิน”ได้ผล คนตรงหน้าตอบกลับ เมื่อตอบนางเสร็จก็เผยรอยยิ้มลึกลับ ไป๋เจินจูรู้สึกขนลุก จนยกมือขึ้นกอดตัวเองยะ...อย่าบอกนะว่า นางเจอผี!“ใช่ ฉันเป็นผี”เสียงหญิงสาวในชุดสีครีมดังขึ้นก้องหูโดยที่ริมฝีปากไม่ขยับ ไป๋เจินจูเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่นางคิดในใจ แต่อีกฝ่ายกลับได้ยิน“เอ่อ...”“เป็นยังไงนิยายที่ฉันแต่ง เธอบ่นว่าไม่สนุก ไร้สมอง แต่เมื่อมาอยู่ในนิยายของฉัน สุดท้ายเธอก็หลงรักพระเอกที่เธออ่านไปด่าไป”“ธะ เธอ เป็นคนแต่งนิยายเรื่องนี้?”“ใช่” หญิงสาวตรงหน้าบอ
ไป๋เจินจูเดินเข้าตำหนักเงียบ ๆ ด้านหลังมีองค์รัชทายาทหลี่รุ่ยเดินตามมาติด ๆ นางได้ยินเสียงฝีเท้าตามไม่ห่างแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อ นึกถึงเหตุการณ์ในรถม้าเมื่อครู่หัวใจก็เต้นแรง...เขาสารภาพรักกับนาง...แล้วนางควรทำอย่างไร...“พระชายา...”เสียงองค์รัชทายาทเรียกนาง ไป๋เจินจูหยุดฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้า พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่เมื่อได้สบตาคมเข้มของเขา ถ้อยคำที่ตระเตรียมไว้ก็นึกไม่ออก เสียงที่เปล่งออกมาจึงตะกุกตะกัก“ขะ ข้า...”หลี่รุ่ยมองเห็นอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัดของนาง ก็ยิ้มกว้าง เดินตรงเข้ามาแล้วยกร่างบอบบางขึ้น“อ๊ะ” ไป๋เจินจูร้องอย่างตกใจ จู่ ๆ ก็ถูกยกจนตัวลอย นางถูกเขากอดรัดจนเท้าลอยเหนือพื้น “องค์รัชทายาท ท่านเล่นอะไร ปล่อยข้าลงนะ ข้าเวียนหัว”หลุ่รุ่ยได้ยินดังนั้นจึงปล่อยนางลง“ขอโทษ...ข้าดีใจจนลืมตัวไปหน่อย” เสียงของเขานุ่มทุ้ม แววตาที่มองนางเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ดีใจ...ที่ความรู้สึกของเราตรงกัน”“ทะ ท่านมัน...หลงตัวเองนัก ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นเสียหน่อย”“แค่เจ้าจูบตอบข้า อิงแอบแนบอกข้า ข้าก็รู้แล้ว...” เขาพูดพลางดึงมือนางไปกุม“หย
นางตกตะลึง คิดคำพูดไม่ออกชั่วครู่ เมื่อเห็นเขาจะเดินจากไปจึงได้สติร้องเรียก"เดี๋ยว! ""หืม" บุรุษผู้นั้นหยุดเดิน หันกลับมามองนาง ไป๋เจินจูมองสำรวจ เขาสวมชุดขุนนาง อายุราวยี่สิบปี ใบหน้าคมเข้ม ผิวคล้ำตัดกับฟันขาวสะอาด หน้าตาก็...นับว่าหล่อเหลา เสียแต่ว่าดวงตาดูเจิดจ้าเกินไป นิสัยก็...เหมือนจะมือเติบ เห็นได้จากการควักเงินซื้อสิ่งของให้สตรีตามข้างทาง โดยที่ไม่ได้รู้จัก ดูก็รู้ว่าเป็นคนเจ้าชู้"หลินหลงเอาเงินค่าปิ่นคืนให้เขา" นางสั่งหลินหลง"ข้าไม่รับ ข้าซื้อให้เจ้า" เขาโบกมือ ตั้งท่าจะเดินต่อ ไป๋เจินจูรีบตะโกนบอก"ข้าไม่รู้จักท่าน ทำไมต้องซื้อของให้ข้า หากท่านไม่รับเงินคืน ข้าก็ไม่เอาปิ่นนี้หรอกนะ” นางพูดก่อนวางปิ่นไม้ลงเมื่อนางพูดจบ เขาก็หยุดเดินอีกครั้ง สุดท้ายก็หมุนตัวกลับมา ยื่นมือรับเงินที่หลินหลงเดินไปยื่นให้ เห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับเงินค่าปิ่นคืนไป นางจึงหยิบปิ่นไม้ขึ้น แล้วยิ้มรับคำขอบคุณจากคนขาย เมื่อตั้งท่าจะเดินไปที่อื่นต่อ เสียงบุรุษก็ร้องเรียกขึ้นบ้าง“เดี๋ยว!”นางหันไป“เจ้าชื่ออะไร”ไป๋เจินจูยกนิ้วชี้ใส่ตนเอง “ถามข้า?”“ถามเจ้านั่นแหละ” บรุษผิวคล้ำส่งเสียงอึกอัก “เจ้าเป็นบุต
หลายวันผ่านไป ณ หอสุราหว่าชุน"องค์รัชทายาทมีเรื่องกลุ้มใจอันใด อยู่ดี ๆ ถึงชวนข้ามากินดื่มนอกวัง"องค์ชายห้าหลี่จิ้นยื่นมือรับจอกเหล้าที่ถูกรินไว้รอ เขายกขึ้นจดริมฝีปาก สายตามองบุรุษที่นั่งตรงข้าม บัดนี้หลี่รุ่ยผู้มีฐานะเป็นองค์รัชทายาทนั่งเงียบ ใบหน้าดำคล้ำ เคร่งขรึม ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก"ทะเลาะกับพระชายามาหรือ" เขาวางจอกเหล้าลงแล้วถามไปตรง ๆหลี่รุ่ยเงยหน้ามอง นิ่งไปนานกว่าจะเอ่ยปาก"ข้ามองออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ..." เขาพูดพลางยกจอกเหล้าขึ้นบ้าง "ก็ไม่เชิงว่าทะเลาะหรอก...""ถ้าไม่ทะเลาะ ทำไมท่านจึงมีสีหน้าอมทุกข์เช่นนี้" หลี่จิ้นยื่นใบหน้าไปใกล้ เอียงคอมองอีกฝ่าย "มีพระชายาอายุน้อย ท่านต้องรู้จักเอาใจ ถนอมนางบ้างสิ""แล้วข้าไม่ถนอมนางหรือ" เขาวางจอกเหล้ากระแทกกับโต๊ะเสียงดัง “เรื่องยุ่งยากภายในข้าไม่เคยคิดให้นางมาร่วมกังวล เสด็จพ่อต้องการให้ข้าแต่งชายารองเข้าตำหนัก วางตัวบุตรสาวราชครูฟางไว้แล้ว แต่เพราะข้าถนอมนาง ไม่อยากให้นางต้องมายุ่งกับวังวนอำนาจ ไม่อยากให้นางต้องมาปวดหัว รบรากับสตรีอื่น มากสตรี ก็มากความ ข้าจึงกำชับให้นางปฏิเสธหากถูกถามความเห็น แต่ทำไมนางจึงทำท่าปั่นปึ่งใส่ข้า