หลังจากปล่อยให้เรื่องของ ฌอง บราซัวส์ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อลิสแตร์ ก็กลับออกมาสู่ห้องจัดเลี้ยงที่ยังเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ไวโอลิน และแชมเปญ
เขาหยิบแก้วไวน์แดงจากถาดของบริกรอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันตัวตั้งใจเดินไปยังระเบียงกระจกมุมเดิม—ที่เขาหวังจะได้ยืนพักจิบไวน์เงียบ ๆ สักครู่
...แต่เขายังไม่ทันจะก้าวเท้าเดินออกไป
พรึ่บ!
แรงกระแทกเล็ก ๆ ปะทะเข้าที่อกเต็มแรงจนของเหลวในแก้วกระฉอก
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ—!”
เสียงหวานดังขึ้นพร้อมร่างเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งที่ชนเขาเข้าเต็มเปา ไวน์แดงราดเป็นทางบนสูทสีเงินอ่อนของเขา รอยเปื้อนแดงฉานโดดเด่นบนเนื้อผ้าเนียนเฉียบประหนึ่งเลือดในสมรภูมิรบ
อลิสก้มมองสีสูทที่เลอะเสียจนแทบพังทั้งชุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ
ร่างตรงหน้าเขาคือหญิงสาววัยประมาณยี่สิบต้น ๆ ผมยาวสีน้ำตาลประกายทองดูยุ่งเหยิงจากการวิ่ง
ใบหน้าขาวแดงจัดจากความเหนื่อยและความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง
เธอกำลังหอบหายใจ—และดูเหมือนเพิ่งหนีออกมาจากสงคราม...หรือไม่ก็การจับคลุมถุงชน
ชุดเดรสเกาะอกสีงาช้างสั้นเหนือเข่าดูจะหรูเกินไปสำหรับคนที่หน้าตาตื่นขนาดนี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอแต่งตัวไม่สวย—ตรงกันข้าม เธอสวยมาก...แบบที่ขโมยสายตาได้ทันที แม้ในสภาพ ‘แทบจะไม่ครบองค์’
รองเท้าส้นสูงอยู่แค่ข้างเดียว อีกข้างเธอถือไว้ในมือ และดูจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าจะดูตลกแค่ไหน
“ลลิล คหบดีวัฒน์”
หรือ “ลิน” คุณหนูสายธุรกิจปี 4 ผู้ไม่ยอมเป็นหมากในเกมจับคลุมถุงชน
วันนี้เธอแค่ถูกแม่ “หลอก” มางานเลี้ยงดูตัวแบบไม่บอกล่วงหน้า — และเธอกำลังหาทางหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด...ก่อนจะพังไปกว่านี้
“ฉัน...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ—!”
เธอรีบควักกระดาษเช็ดหน้าออกมาจะเช็ดให้ แต่ถูกมือใหญ่ของเขายกขึ้นสกัดไว้เบา ๆ
“ไม่เป็นไรครับ...” น้ำเสียงเขานิ่งเสียจนเธอสะดุ้ง
ดวงตาสีเทาเยือกเย็นของอลิสจ้องลงมาแบบไร้อารมณ์—เหมือนผืนน้ำที่สงบเรียบ แต่กลับแฝงคลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะกลืนทุกอย่างลงไป
“สูทตัวนี้...แพงกว่าโทรศัพท์ของคุณทั้งเครื่องนะครับ”
น้ำเสียงนั้นไม่ดัง แต่แรงกดดันกลับทำให้ลลิลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เธอพยายามสบตา แต่ก็ต้องรีบหลบ มันเหมือนมีแรงบีบอากาศรอบตัวให้แคบลงจนหายใจไม่ออก
จะพูดอะไรดีวะ...จะจ่ายให้เขาเหรอ?
เงินในบัญชียังมีไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ!
เมื่อเธอเหลือบตามองเขา จึงเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น
ใบหน้าเรียบเฉียบ ดวงตาคมดั่งกระจกเหล็ก จมูกโด่งจัด ริมฝีปากที่เหยียดยิ้มเพียงนิดเดียว ผิวขาวเนียนราวกับไม่เคยสัมผัสแสงแดดนานเกินไป สูทราคาแพง รอยเปื้อนไวน์แดง
บุคลิกที่สูงส่ง เย็นชา น่ากลัว
แต่—
...โคตรหล่อ
เธออ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันกลับกลายเป็นเสียงในหัวที่ดังก้องว่า
ผู้ชายอะไร...หล่อชิบหายแบบบาป!
“คุณรีบร้อนขนาดนี้... ไม่คิดจะระวังบ้างรึไง?” เสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“หรือว่าคุณตั้งใจ? น่าสนใจนะ...วิธีเรียกร้องความสนใจแบบนี้” เขายกมือขึ้นแตะที่คางของลลิล สายตาคมกริบจ้องมองใบหน้าของเธออย่างพินิจ
“ถ้าอยากได้ความสนใจจากฉันนัก... ก็น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้”
“ฉันเปล่านะคะ ฉันจะชดใช้ค่าเสื้อให้ก็ได้ค่ะ” ลลิลกัดฟัน เถียงกลับทันควัน ดวงตาวาววับด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมา
หล่อแต่ปากแบบนี้ แม่ไม่เอาไว้หรอก
อลิสยิ้มมุมปากเมื่อเห็นแววตาโกรธของลลิล เขาปล่อยมือจากคางของเธอแล้วถอยออกไปเล็กน้อย
“ชดใช้? ด้วยเงินเดือนนักศึกษาอย่างเธอ คงต้องทำงานอีกหลายเดือนถึงจะพอ”
“ฉัน...” ลลิลเม้มริมฝีปากแน่นในหัวครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอด
อลิสจ้องหน้าเธอนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ สูดลมหายใจบาง ๆ แล้วหยิบนามบัตรสีดำออกมายื่นตรงหน้าเธอ
เธอมองมันอย่างลังเล มือยังสั่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ รับมา
Alistair Ramius
CEO – Ramius Group
(Private Line ด้านหลังบัตร)
“พรุ่งนี้...สิบโมงตรง มาที่บริษัทผม”
เสียงเขายังเย็นเหมือนเดิม แต่ราวกับมีลมร้อนพลุ่งพล่านแทรกอยู่ในคำพูด
“คุณจะได้ชดใช้สิ่งที่คุณทำ...”
เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“...ด้วยวิธีที่คุณถนัดที่สุด”
ลลิลเงยหน้าขึ้น สบตากับเขาอีกครั้ง และใช่—มันแย่ตรงที่คำพูดแบบนั้น มัน...โคตรจะล่อแหลม!
เธอไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปดี ควรจะหนี? เถียง? หรือโวยวาย?
แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่ หัวใจเต้นระรัวราวกับเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง—ที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะ ‘ไม่คืนให้เจ้าของเดิม’
“ก็ได้ ฉันจะไป”
ลลิลคว้านามบัตรยัดใส่กระเป๋าไว้อย่างเร็ว ก่อนจะสูดลมหายใจแรง ๆ แล้วเอ่ยเสียงแข็ง
“ฉันขอตัวก่อน”
เธอสะบัดหน้า แล้วหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา เสียงส้นสูงที่ดังปะทะกับพื้นหินอ่อนกลบเสียงของหัวใจที่กำลังสั่นระรัวของเธอ
อลิสยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสีเทาคมจับจ้องไปยังแผ่นหลังของเธออย่างนิ่งสงบ ก่อนริมฝีปากจะยกยิ้มขึ้นช้า ๆ ราวกับเพิ่งพบของเล่นที่น่าสนุกชิ้นใหม่
“น่าสนใจ...” เขาพึมพำเบา ๆ
จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้กับเลขาหน้าหวานที่ยืนอยู่ไม่ไกล ฝ่ายนั้นรีบก้มศีรษะรับคำ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปทันทีตามคำสั่ง
อลิสยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางเสียงเพลงและแสงไฟของงานเลี้ยง
มือหนึ่งถือแก้วไวน์ที่เหลือเพียงครึ่ง อีกมือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่ในแววตาของเขา...มีประกายของ ‘ความคิดบางอย่าง’ ที่เพิ่งเริ่มก่อตัว
☠️ ☠️ ☠️ ☠️ ☠️ ☠️
ณ คอนโดแกรนไอดิโอ ย่านสุขุมวิท
ห้องนอนของลลิลมีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟตั้งโต๊ะข้างเตียง นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า เสียงรถราบนท้องถนนด้านล่างเบาลงมากแล้ว ลลิลทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ที่เธอปลูกไว้ที่ระเบียงลอยเข้ามาตามลม
นามบัตรสีดำของอลิสวางอยู่ข้าง ๆ แมคบุ๊กของเธอ นิ้วเรียวไล้ไปตามตัวอักษรสีเงินที่สลักชื่อของเขาอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกสับสนตีตื้นขื้นมาอีกครั้ง
เธอเปิดแมคบุ๊ก พิมพ์ชื่อ ‘อลิสแตร์ ราเมียส’ ลงในช่องค้นหาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย
“ให้ตายสิ ฉันไปยุ่งกับใครเข้าเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนเริ่มไล่อ่านข้อมูลที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ
“ซวยชะมัด...”
เสียงพึมพำลอดริมฝีปากของลลิลในขณะที่จ้องหน้าจอแมคบุ๊กในห้องนอนตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
ภาพของชายหนุ่มในสูทสีเทาเมทัลลิคที่ยื่นนามบัตรให้เธอเมื่อคืน ยังติดอยู่ในหัวไม่หาย
และตอนนี้—มันปรากฏชัดเจนอยู่บนหน้าจอ G****e พร้อมด้วยบรรทัดใต้ภาพที่ทำให้เธอเผลออ้าปากค้าง
Alistair Ramius – CEO of Ramius Group
อันดับ 3 ของนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชีย
ผู้สืบทอดตระกูล Ramius – กลุ่มทุนเก่าจากอังกฤษที่แผ่เครือข่ายในอาวุธ เทคโนโลยี และอสังหาฯ
ลลิลกลืนน้ำลาย แล้วกดเปิดอีกแท็บหนึ่งอย่างมือสั่น
รูปถ่ายงานประชุมระดับนานาชาติ ภาพหมู่ CEO ระดับโลกที่ยืนเรียงกันอย่างทรงอำนาจ
และ...ใช่ เขายืนอยู่ตรงกลาง
ในสูทเรียบหรู หน้าเรียบนิ่ง มือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง และดวงตาที่—แค่ดูผ่านจอก็ยังรู้สึกเหมือนเขามองเข้ามาในจิตใจเธอ
“เวรแล้ว...นี่ฉันไปป๊ะกับบอสของมาเฟียยุโรปเหรอ!?”
ลลิลเอามือกุมหัว หอบลมหายใจแรง ๆ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังตีกลองรบอยู่ในหน้าอก
เธอมองนามบัตรที่เพิ่งหยิบออกจากกระเป๋าเสื้อคลุม — มันสะอาด เรียบ และมีกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ติดอยู่
แน่นอนว่ากลิ่นนี้...คือกลิ่นเดียวกับบนสูทที่เปื้อนไวน์เมื่อคืน
“ฉันควร...ไปไหมวะ...”
เธอพึมพำ ก่อนจะหันไปมองสลิปค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าของบ้านที่แม่แปะไว้หน้าตู้เย็น
ยอดเกือบสองหมื่น...
...ไปก็ได้วะ
ณ ห้องทำงานชั้นบนสุดของ Ramius Group
ในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่สลัวด้วยแสงโทนอุ่น ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตสีเข้มนั่งพิงพนักเก้าอี้หนังอย่างสงบ ขาข้างหนึ่งพาดบนอีกข้าง ใบหน้าเรียบเฉย ขณะเลื่อนสายตาอ่านเอกสารบางอย่างที่วางบนโต๊ะ
เสียงประตูเลื่อนเปิดเบา ๆ พร้อมกับร่างของชายหนุ่มในสูทสีเทาเข้มเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
คิมหันต์—เลขาคนสนิทที่เขาไว้ใจมากที่สุด
ชายหนุ่มหน้าหวาน ผิวขาวจัด รูปลักษณ์ละมุนละไมราวกับนายแบบนิตยสาร แต่สิ่งที่ทำให้ใครต่อใครกล้าเข้าใกล้เขาแค่ครั้งเดียว—แล้วไม่มีครั้งที่สอง...คือดวงตาคมกริบดุดันคู่นั้น ที่เต็มไปด้วยสัญชาตญาณของหมาป่า
“ชื่อของเธอคือ ลลิล คหบดีวัฒน์ อายุยี่สิบสองปี เป็นนักศึกษาปีสี่ คณะบริหาร R.C.U.”
เสียงของคิมหันต์ราบเรียบ ขณะวางไอแพดพร้อมโปรไฟล์ข้อมูลลงบนโต๊ะ
“ทายาทตระกูลคหบดี เจ้าของ KHB Property Holdings”
อลิสรับไอแพดมาอ่านเงียบ ๆ ภาพหญิงสาวในชุดนักศึกษายิ้มร่า สวมหมวกแก๊ปเอียงเล็กน้อย และแววตาสดใสปรากฏอยู่ตรงกลางหน้าจอ
คิมหันต์พูดต่อ
“ช่วงนี้ตระกูลเธอกำลังมีปัญหา บริษัทเสียหายหนักจากโครงการ ‘ลอยฟ้า คลองดอน’ ต้นทุนวัสดุก่อสร้างถูกโกง เอกสารปลอม ค่าใช้จ่ายหายไปเกือบหลายสิบล้าน และที่น่าสนใจคือ...น่าจะมี ‘คนใน’ อยู่เบื้องหลัง”
อลิสแตร์เลื่อนนิ้วช้า ๆ บนจอ แววตานิ่งสนิท มืออีกข้างเคาะขอบแก้วไวน์ที่เย็นเฉียบเบา ๆ อย่างเป็นจังหวะ
“...ครอบครัวพัง พ่อเริ่มหมดศรัทธา บริษัทใกล้เจ๊ง...”
เขาเว้นจังหวะ หรี่ตาเล็กน้อย เหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างไกลเกินกว่ารูปในจอ
“เด็กแบบนี้...เหมาะจะถูกดึงเข้าสนามเล่นของฉันดี”
คิมหันต์เงียบไป หางตาเหลือบมองเจ้านายของเขา
แม้หน้าของอลิสแตร์จะนิ่งเรียบ แต่เขารู้...สีหน้าระดับนี้หมายถึง ‘สนใจเป็นพิเศษ’
อลิสยกสายตาขึ้น ยิ้มบางที่แทบจะมองไม่เห็น
“เตรียมโต๊ะทำงานไว้ให้เธอด้วย ในห้องเดียวกับฉัน”
คิมหันต์คิ้วกระตุกข้างหนึ่ง ไม่พูดอะไร
แต่ในใจอดคิดไม่ได้ว่า...
‘สนใจแบบนี้—ระวังจะกลายเป็นคลั่ง’
ตอน: ย้ายบ้านแล้ว แต่ยังย้ายบนเตียงไม่พอหลังจากงานแต่งงานสุดเรียบหรูริมทะเลอลิสแตร์กับลลิลไม่ได้จัดทริปฮันนีมูนอะไรหรูหราให้เวอร์วัง เพราะเขาเลือกที่จะทำสิ่งหนึ่ง…ที่เธอไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิดเดียว“เอ่อ...นี่มันไม่ใช่คอนโดของเรานี่คะ?”ลลิลยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าตึก Penthouse ใจกลางลอนดอน ที่ปิดล้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยระดับเดียวกับทำเนียบขาวอลิสแตร์แค่ปรายตามองเธอ แล้วพูดนิ่ง ๆ“นี่บ้านเรา”“ย้ายบ้านโดยที่ไม่ได้ถามลินเลยเหรอคะ?”เขาหันมามองเธอช้า ๆ ก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหู“ก็ในเมื่อ...ฉันอยากย้ายมาใช้ชีวิตกับเมียทุกตารางเมตรจะต้องถามทำไม?”ลลิลหน้าแดงซ่านทันที...และยังไม่ทันตั้งสติได้—เขาก็ช้อนตัวเธอขึ้นในอ้อมแขน แล้วพาเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น!—คืนนั้น ห้องนอนใหม่หรูหราระดับ President Suite ก็ได้กลายเป็นสนามรบรักขนาดย่อมอีกครั้ง“บะ…บอส เดี๋ยวก่อนค่ะ ลินยังไม่ได้จัดของเลย!”“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัด...ให้หมดทุกท่า”เขายิ้มร้ายก่อนจะกดร่างเธอลงบนเตียงขนาด King Size ที่เพิ่งปูใหม่เอี่ยม เสื้อคลุมไหมของเธอถูกปลดออกในชั่วพริบตา เนื้อตัวเปลือยเปล่าสะท้อนกับไฟในห้องที่หรี่ลงอย่างพอดิ
ณ มหาวิทยาลัย R.C.U. (Royal Commerce University) – คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ (IB) ชั้นปีที่ 4แสงแดดยามสายลอดผ่านผ้าม่านบางของห้องสัมมนาขนาดกลาง โต๊ะไม้เรียงเป็นระเบียบสำหรับแขกรับเชิญพิเศษที่นั่งอยู่แถวหน้า...และหนึ่งในนั้นคือเขาอลิสแตร์ ราเมียสCEO หนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษแห่ง Ramius Group ผู้มาในฐานะกรรมการรับฟังหัวข้อเสนอทุนวิจัยร่วมต่างประเทศเขาสวมสูทสีน้ำเงินเข้มเข้ารูป ปลดกระดุมสูทตัวนอกอย่างเป็นกันเอง ข้างกายมีคิมหันต์ เลขาหนุ่มหน้าหวาน ยืนเงียบขรึมเหมือนเงาตามตัว — ในสายตาอาจดูเหมือนมาเพื่อตรวจงานปกติแต่...ไม่ใช่เลยเขาแค่ ‘เบื่อ’ และบังเอิญผ่านมาที่นี่...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดึงความสนใจเขาทันที“ลลิล คหบดีวัฒน์ค่ะ — โปรเจกต์ที่ลินจะเสนอวันนี้ คือ ‘AI Ethics กับความเปราะบางของข้อมูลในโลกทุน’”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งชัดเจน มั่นใจ น้ำเสียงไม่ได้หวานเลี่ยน แต่มีจังหวะราวกับแกรนด์เปียโนที่กลั่นจากสมองดวงตาของเขาเงยขึ้น…แล้วนิ่งค้างไปชั่วขณะสาวร่างเล็กผิวขาวจัด ผูกผมหางม้าต่ำเรียบร้อย สวมสูทนักศึกษาสีกรมแบบเรียบที่สุด แต่กลับทำให้เธอโดดเด่นเกินใคร โดยเฉพาะสัดส่วนที่โตเกินร่าง
หลังเหตุการณ์ลอบสังหารและการล่มสลายของกลุ่มไฮดราผ่านไปเพียงสองเดือน—ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่ลลิลจะตั้งตัวทันเธอแทบจะลืมความระห่ำของคืนวันนั้นไปหมดแล้ว...เพราะผู้ชายคนนั้น—บอสของเธอ—จัดการทุกอย่างได้รวดเร็วเกินคาดอลิสแตร์พาคุณหญิงทัชชญาไปสู่ขอลลิลถึงเรือนไม้สักของตระกูลคหบดีวัฒน์ จังหวัดเชียงใหม่และนั่นเป็นครั้งแรกที่คุณสุรพงศ์กับคุณหญิงอมรา—บิดามารดาของเธอ ได้พบกับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่า ‘แม่สามีแห่งชาติ’ ของอังกฤษเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าการหมั้น ก็คือความจริงที่ว่า...คุณหญิงทัชชญา และคุณหญิงอมรา เคยเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่ลอนดอนเมื่อหลายสิบปีก่อน—เรื่องสู่ขอจึงกลายเป็นเพียงการระลึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนอย่างเป็นทางการเท่านั้น“แม่จะถือว่านี่เป็นพรหมลิขิตของพวกหนูสองคนแล้วกันนะลูก”ประโยคนั้นจากแม่ของเธอ ทำให้ลลิลแทบจะหลบสายตาอลิสแตร์ทั้งงานแม้เรื่องหัวใจจะดูอบอุ่นราบรื่นแต่เรื่องโลกในเงามืด...กลับยังคงเป็นไฟที่ยังไม่มอดจากรายงานลับที่คิมหันต์เอามาเล่าให้เธอฟัง—ไวรัสที่เขาเสี่ยงชีวิตเข้าไปฝังในเซิร์ฟเวอร์หลักของไฮดรา ได้ทำลายทุกเครือข่าย ทุกข้อมูล ทุกเซลล์ของโครงการนั้นอย่า
📍Safehouse ริมทะเล – 00:17 น.คลื่นซัดชายฝั่งอย่างราบเรียบ เสียงกระทบทรายแผ่วเบาเหมือนกล่อมเมืองให้หลับใหล...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในอาคารหลังเก่า ทาสีดำด้านซ่อนตัวหลังแนวสนชายหาดในห้องประชุมชั้นล่างที่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงไฟนีออนดวงเดียวส่องลงบนโต๊ะโลหะรูปวงกลม เฮราในชุดรัดรูปสีดำสนิท นั่งไขว่ห้างอยู่หัวโต๊ะ ดวงตาสีเขียวอ่อนของเธอสะท้อนจอแผนที่ดิจิทัลเบื้องหน้าฝั่งตรงข้ามคือ ฮันส์ – มือสังหารเยอรมัน ผิวขาวซีดราวกับไม่เคยโดนแดด ผมหยักศกสีบลอนด์อ่อนกับรอยแผลเป็นจาง ๆ ที่ข้างแก้มยังเป็นลายเซ็นความตายของเขา“วิลล่าของเขา มีระบบเฉพาะป้องกันทุกทางเข้าออก…” เฮราเอ่ยเสียงเรียบ“แค่ขอให้เขาออกมาจากที่นั่นเมื่อไหร่ นั่นคือโอกาสของเรา”ฮันส์จุดบุหรี่เงียบ ๆ“อลิสแตร์ต้องตายก่อนที่ไฮดรา เฟสสองจะถูกเปิดเผย”เฮราวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะ ก่อนเลื่อนหน้าจอไปยังภาพของลลิล—หญิงสาวผิวขาวในเดรสยาวบนชายหาดดวงตาเธอเย็นเยียบขึ้นทันที“และเธอคนนี้...คือจุดอ่อนของเขา”ฮันส์กระตุกยิ้ม เหมือนเสือที่ได้กลิ่นเลือด“งั้นแผน A กำจัดอลิสแตร์ แผน B จับตัวผู้หญิงไว้เป็นตัวประกัน ...ไม่ว่าแผนไหน เราก็ชนะ”เฮ
📍หาดส่วนตัว – ภูเก็ต เวลา 10:38 น.คลื่นทะเลสาดซัดฝั่งอย่างเนิบช้า แสงแดดอุ่น ๆ ส่องกระทบเม็ดทรายระยิบระยับ เสียงนกทะเลแว่วเบา ๆ คลอไปกับเสียงหัวเราะของหญิงสาวคนหนึ่งที่เล่นน้ำอยู่ห่างจากฝั่งไม่ไกลนักอลิสแตร์ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ริมชายหาด สวมแว่นกันแดดสีชาแบรนด์ดัง ใบหน้าเรียบขรึม ในมือถือแก้วน้ำมะพร้าวเย็น ๆ ที่เขายังไม่ได้แตะ...เพราะสายตาเขา จับจ้องอยู่ที่คน ๆ เดียวลลิลกำลังหัวเราะเบา ๆ ขณะเดินลุยน้ำทะเลที่ซัดสาดเป็นระลอกเล็ก ๆ รอบข้อเท้าบิกินี่สีแดงสดเข้ารูป โอบแนบผิวขาวผ่องตัดกับแสงแดด และผ้าซีทรูเนื้อบางสีขาวสะอาดที่ผูกไว้ลวก ๆ รอบเอว ถูกลมทะเลพัดปลิวไหวจนทำให้ใจเขาแทบหยุดเต้นไหล่เปลือยระยิบระยับด้วยหยดน้ำ ผิวที่กระทบแสงแดดสว่างขึ้นอีกระดับ จนไม่ว่าใครเดินผ่าน—ก็ต้องเหลียวมอง…และนั่นแหละ ปัญหาเขาขบกรามแน่น ไม่ดื่มแม้แต่น้ำมะพร้าวในมือ เพราะสมองเขามัวแต่คิดว่า—เธอกำลังโดนใครมองอยู่บ้าง?ไอ้ผ้าบาง ๆ นั่น มันกั้นอะไรได้บ้างวะ!!คนที่ควรเห็นเธอในสภาพนี้...ควรมีแค่เขามั้ยวะ?เขายื่นแก้วน้ำมะพร้าวให้บัตเลอร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังศาลาไม้ หยิบเสื้อคลุมชายยาวเนื้อบางติดมืออ
ภายในห้องทำงานไม้เก่าแก่ของคฤหาสน์ริมหน้าผา กลิ่นกระดาษเก่าและควันบุหรี่กลิ่นคลาสสิคลอยแผ่วในอากาศ หน้าต่างเปิดออกสู่ทะเล เสียงคลื่นซัดโขดหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนเสียงลมหายใจของอดีตที่ยังไม่ยอมจางเซอร์ไคล์นั่งลงหลังโต๊ะไม้โอ๊คเก่า อลิสแตร์ยืนอยู่ตรงข้าม คิมหันต์ยืนพิงผนังเงียบ ๆ รอคอยความจริงที่กำลังจะได้รับรู้“ไม่คิดเลย…ว่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกอีกครั้ง”เซอร์ไคล์พูดขึ้นในที่สุด เสียงแหบต่ำผ่านลำคอที่กร้านกรำด้วยเวลาอลิสแตร์ไม่ตอบ…เพียงสบตาเขานิ่งเซอร์ไคล์ยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาสีเทาอ่อนของเขาคล้ายกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง…ที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว“พ่อกับวินเซนต์เป็นเพื่อนกัน...ไม่สิ มากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ”“เราคือ ‘เงา’ ที่ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน...ในนาม MI6”เสียงจุดไฟแช็กดังเบา ๆ ก่อนเขาจะจุดบุหรี่ แล้วพ่นควันบาง ๆ ขึ้นฟ้า ควันนั้นลอยตัดแสงไฟสีอุ่นในห้องราวกับฉากหนังเก่า“เราสองคนเริ่มจากภารกิจเล็ก ๆ ...ล้วงข้อมูลในเบลเกรด ไล่ล่าหัวหน้าขบวนการค้าอาวุธในเบอร์ลิน แต่เมื่อ ‘โครงข่ายไร้เงา’ โผล่ขึ้นมา MI6 ก็รู้...ว่าเราไม่ได้เจอแค่ศัตรูธรรมดาอีกต่อไป”เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง“ไฮดราโปรเจก