เมื่อเธอ...คุณหนูสุดยั่ว ถูกจับมาเป็นเลขาของประธานหน้านิ่งผู้คลั่งรักอย่างไร้เหตุผล งานนี้ไม่ได้มีแค่เตียงที่สั่น...แต่เป็นหัวใจที่หวั่นไหวไปพร้อมกัน!
View Moreเสียงไวโอลินบรรเลงแผ่วเบา แทรกผ่านหมู่เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะในค่ำคืนแห่งเกียรติยศของ ‘งานเลี้ยงรางวัลบริษัทดีเด่นแห่งปี’ — บรรยากาศภายใต้แสงไฟคริสตัลที่ห้อยระย้าเหนือเพดานโถงกว้างของโรงแรม Imperial Crest กลางกรุงเทพมหานคร ดั่งโลกอีกใบที่ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อสรรเสริญผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อำนาจ
แขกผู้มีเกียรติหลากหลายวงการต่างจับกลุ่มสนทนา ถือแก้วแชมเปญหรือไวน์แดงในมืออย่างสง่างาม บทสนทนาเต็มไปด้วยศัพท์แสงธุรกิจ แผนควบรวมกิจการ และตัวเลขที่บ่งบอกถึงศักดิ์ศรี
แม้รอยยิ้มจะดูสุภาพและเป็นมิตร—แต่ทุกสายตาที่เหลือบมองกันกลับเปี่ยมด้วยการประเมินค่า ไม่ต่างจากสนามประลองที่ทุกคำพูดล้วนมีเดิมพัน
ริมขอบฟลอร์กระจกใส แสงไฟวูบไหวสะท้อนเล่นกับเสื้อสูทสีเงินเมทัลลิกของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขายืนสงบนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหว ดั่งหมากตัวกลางกระดานที่ไม่จำเป็นต้องขยับ แต่ทรงพลังยิ่งกว่าทุกหมากที่เดินอยู่
ดวงตาสีเทาคมกริบใต้แพขนตาเรียงเส้นทอดมองไปยังเวทีด้วยท่าทีเรียบนิ่ง หากแต่แฝงเร้นความคมลึกบางอย่างที่ยากจะอ่านออก
อลิสแตร์ ราเมียส
หรือที่ใครต่อใครในแวดวงเรียกขานอย่างให้เกียรติว่า ‘คุณอลิส’ ซีอีโอหนุ่มแห่งราเมียสกรุ๊ป (Ramius Group) — กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์ระดับยักษ์ที่ผงาดขึ้นเป็นเบอร์ต้น ๆ ของประเทศในรอบไม่กี่ปี ด้วยกลยุทธ์ลึกล้ำและการเดินเกมที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ที่สำคัญบริษัทของเขาปีนี้เป็นตัวเต็งที่จะชนะรางวัลบริษัทดีเด่นแห่งปี
ใบหน้าคมคายของเขาถูกกล่าวขานว่าเย็นชาเกินจริงจัง แต่ไม่ใช่ด้วยความหยิ่งผยอง หากเป็นเพราะเขาเลือกจะเก็บทุกอารมณ์ไว้เบื้องหลัง และก็ไม่มีใครรู้เลยว่า—เบื้องหลังใบหน้าเรียบนิ่งคู่นั้น แท้จริงคือ เจ้าพ่อแบล็คฟิน (Blackfin) ชื่อในเงามืดของโลกธุรกิจที่หมายถึง ‘ผู้ลากเส้นชะตาให้บริษัทนับสิบ’
ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะพาไปสู่ความรุ่งเรือง...หรือความล่มสลายก็ตาม
“คุณอลิสครับ ทางฝั่งฝรั่งเศสอยากพูดคุยเรื่องดีลใหม่ของลอนดอนครับ”
เสียงนุ่มลึกของเลขาผู้ชายร่างบาง หน้าตาหวานราวตุ๊กตาพอร์ซเลนกระซิบใกล้หู ดวงตาของเขาเยือกเย็น ท่าทางสุขุมราวคนที่คุ้นชินกับการเดินอยู่ข้างมังกร
อลิสเพียงยกมือขึ้นเป็นเชิงรับรู้ ไม่เร่งรีบหรือแสดงความลังเลแม้เพียงวินาที
“บอกให้พวกเขารอที่ห้องรับรองส่วนตัว”
เสียงเขาเรียบ ราบเรียบจนน่ากลัว แต่แฝงแรงกดดันบางอย่างที่แม้แต่ผู้ฟังก็ยังต้องสะอึก
เขาหันกลับไปยิ้มสุภาพให้กับกลุ่มคู่ค้าที่เพิ่งเจรจาจบ พร้อมพยักหน้าอย่างให้เกียรติ
“ขอตัวสักครู่ครับ ผมมีเรื่องต้องไปทักทายเพื่อนเก่า”
คำว่า ‘เพื่อนเก่า’ ในประโยคนั้นฟังดูอบอุ่น ทว่าในแววตาของเขากลับแฝงนัยที่ยากจะตีความ—มันไม่ใช่ความคิดถึง หากเป็นการ ‘เตรียมปิดบัญชี’
เขาก้าวออกจากกลุ่มอย่างมั่นคง จังหวะเดินช้า ๆ พร้อมจิบไวน์จากแก้วทรงสูงในมือ
ดวงตาสีเทาคู่เดิมกวาดมองไปทั่วงาน...หาเป้าหมายที่เขาตั้งใจจะเผชิญหน้าในคืนนี้ แต่ก่อนที่ฝ่าเท้าจะก้าวย่างต่อ—บางสิ่งบางอย่างก็ดึงความสนใจของเขาไป แวบหนึ่ง—สายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับเงาร่างหญิงสาวคนหนึ่ง
ร่างบอบบางในชุดเดรสเกาะอกสีงาช้าง ความยาวเหนือเข่าเผยให้เห็นเรียวขาได้รูป ผิวขาวเนียนดั่งน้ำนมดูเปล่งประกายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใต้แสงไฟหรู
เธอไม่ได้สูงโดดเด่นจนเกินพอดี แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับตรึงสายตาราวกับการแสดงจากเวทีใหญ่ ทรงผมยาวสลวยถูกเซ็ตเป็นลอนคลื่นอ่อน ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ที่งดงามจนน่าหลงใหล เส้นผมสีน้ำตาลประกายทองวาวระยับดั่งเส้นไหมต้องแสง ด้านหนึ่งถูกเหน็บทัดหูเผยให้เห็นตุ้มหูเพชรเม็ดเล็กที่แกว่งเบา ๆ ทุกครั้งที่เธอหันหน้า
นัยน์ตากลมโตสีเฮเซลแวววาวระยิบระยับราวน้ำผึ้งในแก้วคริสตัล จมูกโด่งเล็กเรียว กับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่ยกยิ้มเพียงนิด แต่กลับทำให้ใครต่อใครใจเต้นระส่ำ
และหากมองให้ลึกลงไป—เบื้องหลังรอยยิ้มหวานนั้น แววตากลับเปล่งประกายความเจ้าเล่ห์อย่างเด็กสาวที่รู้ตัวดีว่าตัวเอง "อันตรายและน่ารัก"
“เอ๊ะ นั่นหุ้นของ Suncrest ใช่ไหมคะ? น่าจะขึ้นเพราะข่าวลือ merger กับ Blue Bridge ใช่ไหมคะ?”
เสียงเธอหวานใส ออกเสียงชัดเจนทุกพยางค์ แม้จะเป็นคำพูดเชิงธุรกิจ แต่กลับฟังเหมือนคำหยอกล้อที่แฝงแววขบขัน
เธอพูดขณะเอนตัวเล็กน้อยเหมือนตั้งใจฟัง ท่าทางช่างเจรจาราวกับเจ้าหญิงในวัง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเชิดรั้นนิด ๆ เหมือนแมวเปอร์เซียตัวหรูที่รู้ว่าตัวเองน่ารัก…และไม่มีใครควบคุมได้
“แต่...คุณลุงเคยบอกหนูนี่คะว่า Blue Bridge ไม่มีทางกล้าซื้อกิจการถ้ายังมีหนี้ก้อนนั้นอยู่”
น้ำเสียงหวานใสฟังดูไร้เดียงสา แต่เนื้อหาที่ออกจากริมฝีปากกลับเฉือนคมเสียจนชายวัยกลางคนในกลุ่มต้องหัวเราะกลบเกลื่อน บ้างก็หลบสายตา บ้างยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเพื่อลบอาการเก้อเขิน
หญิงสาวกลับยังคงยิ้มหวานอย่างไม่รู้ไม่ชี้ จิบไวน์อย่างเชื่องช้าเหมือนกำลังเล่นเกมที่เธอคุมกติกาอยู่ฝ่ายเดียว
ริมฝีปากของอลิสแตร์ยกยิ้มเหยียดเพียงนิด ดวงตาคมไหววูบวาวคล้ายแฝงความเอ็นดูและขบขันในเวลาเดียวกัน
เขารู้ดี...ว่าเรื่องที่เธอพูดนั่นคือ “ข้อมูลลับเฉพาะ”
และถึงแม้เขาอยากจะฟังเสียงหวาน ๆ นั้นต่อ แต่ตอนนี้…ยังมี ‘ธุระ’ ที่สำคัญกว่า
อลิสถอนสายตาจากหญิงสาว ก่อนหันกายอย่างนุ่มนวล แววตาเปลี่ยนกลับมาเป็นความเย็นเยียบที่ไม่มีร่องรอยอารมณ์
เขาก้าวตรงไปยังโซนรับรองพิเศษ ซึ่งถูกจัดแยกออกจากพื้นที่หลักของงานเลี้ยง ภายในห้องนั้นเงียบสงบ แสงไฟสลัว ผ้าม่านทึบปิดบานกระจกอย่างมิดชิด และที่มุมโซฟาหนังแท้สีดำ—ชายวัยห้าสิบในสูทอิตาเลียนหรูนั่งรออยู่แล้ว
ฌอง บราซัวส์
หุ้นส่วนจากฝรั่งเศส ผู้ร่วมลงทุนโปรเจกต์ใหญ่ในลอนดอนกับเขา และในขณะเดียวกัน...ก็เป็นคนที่กล้าหักหลังเขา
“คุณอลิส! มาถึงแล้ว ดีจริง ๆ ผมกำลัง...”
“นั่งให้เรียบร้อย”
น้ำเสียงของอลิสดังขึ้นเรียบเฉียบจนคู่สนทนาชะงักคำพูด ฌองยิ้มฝืดเล็กน้อย มือที่เคยมั่นใจบีบแน่นกับแก้วไวน์ที่หน้าโต๊ะ
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณเข้าใจผิดอะไร แต่ทางเรา—”
“ผมเข้าใจถูกหมด”
อลิสตัดบททันควัน ดวงตาสีเทาวาววับอย่างน่ากลัว เขาเดินเข้ามาใกล้ทุกย่างก้าวราวกับแรงกดดันของอากาศรอบตัวถูกรูดต่ำลงเรื่อย ๆ
“คุณคิดว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณขายข้อมูลโปรเจกต์ Echelon ให้ฝั่งคู่แข่งในนามบริษัทลูก?”
ฌองหน้าเสีย รอยยิ้มหลุดหายไปในพริบตา
“ผม...ผมแค่...”
“คุณแค่ขายผม แลกเงิน และคิดว่าผมจะปล่อยผ่าน”
น้ำเสียงของเขานิ่งมาก...นิ่งเสียจนเหมือนใบมีดที่เพิ่งลับคมเสร็จ ชายหนุ่มยื่นมือออกไปโดยไม่หันหลัง
เลขาหนุ่มหน้าหวานที่เดินตามหลังเงียบ ๆ ยื่นซองเอกสารมาให้อย่างรู้หน้าที่ อลิสวางมันลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าอีกฝ่าย
“ภายในสามวัน คุณจะโอนหุ้นของ Bluebridge Holdings ที่คุณถืออยู่ให้บริษัทผมทั้งหมด และจะถอนตัวจากทุกโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Ramius Group — แบบไม่โต้แย้ง”
เขาเว้นจังหวะ หรี่ตาเล็กน้อย
“หรือจะให้ผมส่งไฟล์นี้ให้รัฐบาลฝรั่งเศส...แล้วปล่อยให้คุณไปนอนนับเพดานคุกหรูที่นีซ?”
ไม่มีเสียงตอบรับ
เพียงแค่เสียงลมหายใจถี่กระชั้นของชายแก่ที่เริ่มเหงื่อตก แม้ในห้องจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
อลิสเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ก่อนหันหลังกลับอย่างไร้เยื่อใย
“หวังว่าคุณจะตัดสินใจได้ภายในคืนนี้นะครับ…คุณฌอง”
เขาหยุดฝีเท้าแค่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมายิ้มนิด ๆ
“ผมยังมีอีก ‘ธุระ’ ที่อยากจัดการให้จบเหมือนกัน”
แล้วบานประตูก็ปิดลงอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงชายวัยกลางคนที่เริ่มสั่นน้อย ๆ และความรู้สึกเย็นยะเยือกที่เหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้ในห้องทั้งห้อง
☠️ ☠️ ☠️ ☠️ ☠️ ☠️
กลิ่นลาเวนเดอร์เจือจางผสานกลิ่นไวน์แดงลอยคลุ้งในห้องนอนหรูที่ประดับด้วยโทนสีดำทอง แสงไฟอุ่นละมุนจากโคมตั้งโต๊ะหัวเตียงทอดเงาอ่อนบนพื้นไม้ โซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างมีผ้าคลุมกำมะหยี่พาดไว้เรียบหรู ทุกอย่างดูดี...ดีเกินไปสำหรับเลขาชั่วคราวที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงร่างบางของลลิลยืนอยู่กลางห้อง ในชุดคลุมอาบน้ำสีครีมนวล ผมยาวเปียกหมาดแนบลู่กับผิวไหล่ข้างหนึ่ง ลมหายใจอุ่นยังคงผสานกับไอจากร่างที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเธอเดินไปหยิบผ้าขนหนูเล็กซับปลายผมอย่างช้า ๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกล่องไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง“Welcome to your new job, Ms. Lalin.”ลายมืออังกฤษหวัดสวย ถูกเขียนด้วยปากกาหมึกดำลงบนการ์ดเล็ก ๆ ข้าง ๆ กันคือขวดไวน์แดงที่ถูกเปิดฝาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมแก้วใสที่มีหยดน้ำเกาะข้างแก้ว ราวกับมีคนเพิ่งรินให้หมาด ๆ“จงใจชัด ๆ ...”ลลิลพึมพำ พลางยิ้มเอียงคอเบา ๆ อย่างคนรู้ทันเกม เธอหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาหมุนเล็กน้อยก่อนยกขึ้นจิบ กลิ่นไวน์เข้มผสานกลิ่นลาเวนเดอร์บาง ๆ ชวนให้หัวใจเธอผ่อนคลายในทันทีรสชาติฝาดนุ่มละมุนลิ้น...แต่กลับมีบางอย่างซ่อนอยู่ในกลิ่น—บางสิ่งที่ทำให้หัวใจ
เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงคลอเบา ๆ ท่ามกลางแสงไฟนวลหรูของฮอลล์กลางงานเลี้ยงอลิสแตร์ ก้าวนำลลิลเข้าไปยังอีกฝั่งของห้องโถง ที่ตอนนี้มีชายเกาหลีท่าทางเนี้ยบจัด สวมสูทเข้ารูปและผูกไทด์ลายเอกลักษณ์เขาหันมาทันทีเมื่อเห็นอลิส พร้อมรอยยิ้มเปื้อนริมฝีปาก“Mr. Alistair! You came, good!” ชายเกาหลียื่นมือออกมา“Mr. Seo.” อลิสจับมือแน่นแต่สั้น ตามแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าพอลลิลเดินตามมาถึง เธอก็ยกมือไหว้แบบไทย ๆ อัตโนมัติ แต่ชายเกาหลีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า“You brought a new assistant this year, huh?”“More than that,” อลิสตอบเรียบ ๆ พร้อมปรายตามองลลิล“She's my personal secretary now. Lalin, this is Mr. Seo Min-hyun —CEO ของ SKI Holdings ฝั่งโซล”ลลิลยิ้มแบบมีมารยาท และตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างคล่อง“Nice to meet you, Mr. Seo.”เขาดูพอใจ หัวเราะเบา ๆ แล้วชำเลืองมองอลิส“เธอดูเฉียบดีนะ มิสเตอร์อลิสแตร์... ฉันชอบความฉลาดในสายตาแบบนี้”อลิสไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูลลิล“จำไว้นะ—เขาแยกคำพูดกับสายตาไม่ออก อย่าเชื่อทุกอย่างที่เขาชม”เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะ
ค่ำนี้คือคืนของ ‘งานเลี้ยงมอบรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี’ เป็นงานหรูที่เต็มไปด้วยคนดังระดับประเทศ และแขก VIP ที่มีกระเป๋าหนักพอจะซื้อประเทศได้ครึ่งหนึ่งท่ามกลางกลิ่นไวน์ฝรั่งเศส ล็อบบี้โรงแรมห้าดาวที่สว่างไสวจนแทบมองเห็นรูขุมขนผู้คน —เสียงแชมเปญเปิดดัง ‘ป๊อบ’ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าผู้บริหารระดับประเทศแต่ทั้งหมดนั่น...เงียบลงทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของความสูงกว่า 185 เซนติเมตร ก้าวเข้ามาในงานอลิสแตร์ ราเมียสCEO แห่ง Ramius Group — ชุดสูทสีดำเข้ารูปตัดเย็บเฉียบเฉือนด้วยผ้าเกรดสูงสุดจากอังกฤษเส้นผมสีดำสนิทเซ็ตเรียบเนี้ยบรับกับกรอบหน้าคมคาย ปลายคิ้วเข้ม ดวงตาคมลึกที่เหมือนกลืนทุกอย่างให้จมหาย ริมฝีปากหยักตรงที่ดูสุขุม...แต่หากจ้องนานไป อาจเผลอจินตนาการว่ามันจะสัมผัสยังไงเวลาเขาจูบเขาหล่อจนแม้แต่ภรรยาท่านรัฐมนตรี ยังเหลือบมองโดยไม่รู้ตัว สูทสีดำสนิทของทอม ฟอร์ดที่สวมอยู่บนร่างสูงราวเทพเจ้าโรมันปิดหน้ากากเยือกเย็นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เสียงส้นสูงกระทบพื้นดังเบา ๆ ...ตามด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนที่ลอยมาก่อนตัวข้างกายเขา —คือหญิงสาวในเดรสยาวผ้าซาตินสีมุกเน
เสียงของลลิลยังคงดังในห้องเงียบ…เซ็นเรียบร้อยแล้ว—แม้ใจจะยังไม่แน่ใจว่าเพิ่งจรดปากกาบนเอกสารฝึกงาน หรือเอกสารสัญญาวิญญาณชั้นดีให้ซาตานที่สวมสูทเซอร์เมดอินอิตาลีอลิสแตร์จ้องลายเซ็นเธอครู่หนึ่งก่อนจะเก็บเอกสารเข้าซองอย่างเรียบร้อย ราวกับไม่ใช่แค่เอกสารธรรมดา...แต่คือ “ของสำคัญ” ที่เขารอจะได้ครอบครองเขาเงยหน้าขึ้น สบตาเธอตรง ๆ“มีคำถามเพิ่มเติมไหม มิสคหบดีวัฒน์?”ลลิลส่ายหน้าเบา ๆ อย่างเกร็ง แต่สายตาเธอยังมีแววแข็งกล้าอยู่บ้าง เขาเห็นมัน—และมันทำให้รอยยิ้มบางที่มุมปากเขาขยับขึ้นนิดหน่อย“งั้นผมขอถามอะไรสักอย่าง...”เขาเอนตัวพิงโต๊ะเล็กน้อย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ขณะที่อีกข้างควงปากกาทองบนปลายนิ้วอย่างช้า ๆ“ปกติคุณเรียกตัวเองว่าอะไร เวลาคุยกับเพื่อน?”ลลิลกะพริบตาปริบ ๆ“หืม...หมายถึงแทนตัวเองน่ะเหรอคะ?”“ใช่” เขาพยักหน้าเบา ๆ“เช่น...ฉัน ลลิล เค้า หรือ...อะไรแบบนั้น”เธอเม้มปากนิดหน่อย ก่อนตอบออกไปแบบงง ๆ“ก็...ลินค่ะ”“ลิน?” เขาทวนคำช้า ๆ คล้ายจงใจกลืนคำลงลำคอ พร้อมกับสายตาที่ไม่ละไปไหน“ค่ะ...” เธอตอบเบา ๆเขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยอำนาจแปลกป
เช้าวันถัดมา...ท้องฟ้าแจ่มใสเกินเบอร์ เหมือนฟ้ากำลังตบไหล่บอกว่า “สู้ ๆ นะยัยบ้า ไปตายซะดี ๆ”ลลิล คหบดีวัฒน์ ยืนอยู่หน้าตึกกระจกสูงระฟ้าของ Ramius Group ในมือถือกระเป๋าหนังแบรนด์เนม ชุดเดรสสีครีมที่เธอเลือกใส่มาอย่างตั้งใจดูเรียบหรู แม่เรียกว่าเรียบร้อย — แต่เธอเรียกมันว่า ‘ชุดสารภาพบาป’ภายนอกดูเป็นคุณหนูผู้ดี แต่ภายใน...เหมือนใส่เกราะเหล็กพร้อมระเบิดเวลาไว้ตรงอกแน่นไปหมดหายใจก็ไม่สุด หัวใจก็สั่น ระดับความเครียดพุ่งเท่าภาษีที่ต้องจ่ายตอนรู้ว่าเธอทำน้ำไวน์ราดสูทคนมีอำนาจที่สุดในเมืองนี้เธอกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นสายตาเงยขึ้นไปมองโลโก้ “Ramius Group” ตัวอักษรสีดำเงาเรียบหรูบนกระจกใสที่สูงเสียดฟ้าข้างใต้เขียนว่า Power. Precision. Privacy.“...เออ ใช่สิ พาวเวอร์จนฉันอยากเป็นลม เพรซิชันจนฉันราดไวน์ใส่เขา แล้วพรายเวซี่...เออ แม่งจะลากฉันไปทำอะไรหลังม่านอีกก็ไม่รู้!”เธอสาปแช่งตัวเองในใจพลางสูดลมหายใจลึก“โอเค ลลิล...แกแค่ไปขอโทษ เขาคงไม่ใจร้ายมั้ง—ถึงแม้เขาจะหน้าหล่อแบบฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาก็ตาม”เธอพึมพำ“…แล้วก็อธิบายไปตรง ๆ ว่าแกไม่มีเงินจ่ายค่าสูทบ้า ๆ นั่น! ขอผ่อน 48 งวดกับดอกเบี้
หลังจากปล่อยให้เรื่องของ ฌอง บราซัวส์ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อลิสแตร์ ก็กลับออกมาสู่ห้องจัดเลี้ยงที่ยังเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ไวโอลิน และแชมเปญเขาหยิบแก้วไวน์แดงจากถาดของบริกรอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันตัวตั้งใจเดินไปยังระเบียงกระจกมุมเดิม—ที่เขาหวังจะได้ยืนพักจิบไวน์เงียบ ๆ สักครู่...แต่เขายังไม่ทันจะก้าวเท้าเดินออกไปพรึ่บ!แรงกระแทกเล็ก ๆ ปะทะเข้าที่อกเต็มแรงจนของเหลวในแก้วกระฉอก“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ—!”เสียงหวานดังขึ้นพร้อมร่างเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งที่ชนเขาเข้าเต็มเปา ไวน์แดงราดเป็นทางบนสูทสีเงินอ่อนของเขา รอยเปื้อนแดงฉานโดดเด่นบนเนื้อผ้าเนียนเฉียบประหนึ่งเลือดในสมรภูมิรบอลิสก้มมองสีสูทที่เลอะเสียจนแทบพังทั้งชุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆร่างตรงหน้าเขาคือหญิงสาววัยประมาณยี่สิบต้น ๆ ผมยาวสีน้ำตาลประกายทองดูยุ่งเหยิงจากการวิ่งใบหน้าขาวแดงจัดจากความเหนื่อยและความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเธอกำลังหอบหายใจ—และดูเหมือนเพิ่งหนีออกมาจากสงคราม...หรือไม่ก็การจับคลุมถุงชนชุดเดรสเกาะอกสีงาช้างสั้นเหนือเข่าดูจะหรูเกินไปสำหรับคนที่หน้าตาตื่นขนาดนี้แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอแต่งตัวไม่สวย—ตรงกันข้าม เธอสวยมาก
Comments