เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงคลอเบา ๆ ท่ามกลางแสงไฟนวลหรูของฮอลล์กลางงานเลี้ยง
อลิสแตร์ ก้าวนำลลิลเข้าไปยังอีกฝั่งของห้องโถง ที่ตอนนี้มีชายเกาหลีท่าทางเนี้ยบจัด สวมสูทเข้ารูปและผูกไทด์ลายเอกลักษณ์
เขาหันมาทันทีเมื่อเห็นอลิส พร้อมรอยยิ้มเปื้อนริมฝีปาก
“Mr. Alistair! You came, good!” ชายเกาหลียื่นมือออกมา
“Mr. Seo.” อลิสจับมือแน่นแต่สั้น ตามแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
พอลลิลเดินตามมาถึง เธอก็ยกมือไหว้แบบไทย ๆ อัตโนมัติ แต่ชายเกาหลีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“You brought a new assistant this year, huh?”
“More than that,” อลิสตอบเรียบ ๆ พร้อมปรายตามองลลิล
“She's my personal secretary now. Lalin, this is Mr. Seo Min-hyun —CEO ของ SKI Holdings ฝั่งโซล”
ลลิลยิ้มแบบมีมารยาท และตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างคล่อง
“Nice to meet you, Mr. Seo.”
เขาดูพอใจ หัวเราะเบา ๆ แล้วชำเลืองมองอลิส
“เธอดูเฉียบดีนะ มิสเตอร์อลิสแตร์... ฉันชอบความฉลาดในสายตาแบบนี้”
อลิสไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูลลิล
“จำไว้นะ—เขาแยกคำพูดกับสายตาไม่ออก อย่าเชื่อทุกอย่างที่เขาชม”
เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเริ่มจดจำท่าทางและสไตล์การพูดของคู่ค้า
…แต่ก่อนที่การสนทนาจะจบลง เสียงทุ้มอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังเธอ
“ลลิล ลูกมาอยู่ตรงนี้เอง”
ร่างของคุณสุรพงศ์ คหบดีวัฒน์ ปรากฏขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนแบบผู้ดีไทยแท้ ใบหน้าท่านเปื้อนยิ้ม สุภาพ และเปี่ยมด้วยความเป็นห่วง
เขาทักทายทุกคนด้วยมารยาทไร้ที่ติ แล้วหันมาหาลูกสาว
“แม่อมราบอกให้พ่อมาถาม…ว่าเย็นนี้จะว่างไปรับแขกที่บ้านได้ไหม เขาจะมาแนะนำตัวกับลูก เรื่องที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้น่ะ…”
ลลิลตัวแข็งทันที ราวกับโดนหยุดเวลาไว้กลางงานหรู ดวงตาไหววูบ แต่พยายามยิ้มตอบอย่างใจเย็น
“คืนนี้…หนูติดงานค่ะพ่อ หนูติดตามท่านประธานอยู่”
“หืม?” คุณสุรพงศ์ขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปหาอลิสซึ่งยืนอยู่ข้างเธอ
อลิสสบตาเขาเต็ม ๆ อย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น
“สวัสดีครับคุณคหบดีวัฒน์”
“ผม อลิสแตร์ ราเมียส”
“ในฐานะเจ้านายของคุณลลิล ผมเกรงว่าผมต้องขอ ‘ยืมตัว’ เลขาของผมไปอีกสักพักนะครับ เพราะเธอกำลังดูแลงานสำคัญของบริษัทอยู่...และผมไม่อยากให้เธอเสียสมาธิด้วยเรื่องส่วนตัว”
น้ำเสียงเรียบเย็นแต่สุภาพอย่างที่สุด
แต่สำหรับคุณสุรพงศ์...มันกลับทำให้ท่านนิ่งงัน
“เอ่อ...เข้าใจแล้วครับท่านประธาน” เขาหัวเราะแห้ง ก่อนจะหันไปมองลลิลอีกครั้ง
“ก็ได้...ไว้คุยกันที่บ้านนะ ลิน”
“เห็นจะไม่ได้เหมือนกันครับ” อลิสขัดอีกครั้ง
“ดูเหมือนเธอต้องทำหน้าที่เลขาผมไปจนกว่า เธอจะเรียนจบ” อลิสบอกน้ำเสียงนิ่ง ๆ
คุณสุรพงษ์อึ้งไปครู่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้น...”
“ไว้ถ้าว่าง หนูจะไปค่ะ” ลลิลรีบตอบก่อน ทำให้บอสของเธอหน้ามุ่ยทันที
“งั้นไว้เจอกันนะ ลูก” พ่อของเธอมีสีหน้าดีขึ้น ก่อนจะหมุนตัวเดินหายไป
อลิสหันมามองเลขาคนใหม่ของเขา
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ…” เธอพูดเบา ๆ
อลิสไม่ได้ตอบ แต่เอียงคอมองเธอเล็กน้อย
“ยังไงท่านก็เป็นพ่อฉันค่ะ” ลลิลรีบบอกด้วยความร้อนตัว
“ดูเหมือนคุณคงอยากแต่งงานมากกว่าสินะ” ดวงตาสีเทาคมกริบมองเธออย่างค้นหา
“ไม่ใช่นะคะ” เธอรีบปฏิเสธอย่างร้อนรน หน้าแดงระเรื่อ
อลิสหันไปหามิสเตอร์ซอ มินฮยอน ที่ยืนรออยู่พร้อมพยักหน้าให้ลลิล
“ไปเถอะคุณลิน…เวลาทำงานยังไม่หมด”
...
เสียงแชมเปญสุดท้ายยังไม่ทันจางหาย กลิ่นน้ำหอมจากแขกผู้มีเกียรติยังลอยคลุ้งอยู่กลางอากาศ ลลิลคิดว่าคืนนี้จบแล้ว...เธอควรจะได้กลับไปนอนเตียงเก่า ๆ ที่คุ้นเคย
แต่ดูเหมือนว่า...ใครบางคนจะไม่คิดแบบนั้น
“งั้น...ขอบคุณมากนะคะ” เธอหันไปยิ้มให้อลิสแบบมารยาทครบถ้วน
“ฉันจะกลับก่อน พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทนะคะ—”
“ไปไหน?”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นเบา ๆ แต่แรงสะกิดใจทำเอาเธอสะดุ้ง
“คะ?” ลลิลชะงัก
อลิสปรายตามองเธอเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะก้าวเข้ามายืนชิด
“อย่าบอกว่า คุณจะกลับไปคอนโดเก่า”
“เอ่อ...” ลลิลกลืนน้ำลาย
“คือ...ลินยังลืมของไว้น่ะค่ะ แค่จะแวะเข้าไปเอานิดเดียวเอง—”
“ไม่จำเป็น”
อลิสตอบทันควัน น้ำเสียงเด็ดขาดจนเธออยากเขวี้ยงกระเป๋าใส่หน้าหล่อ ๆ ของเขาสักครั้ง
“จำเป็นสิคะ! ของลินอยู่ที่นั่น—”
“ผมให้ไทเลอร์ไปขนมาหมดแล้ว” เขาพูดขณะก้าวนำ
“ไม่มีอะไรเหลือที่คุณต้องกลับไปอีก”
“อะ…อะไรนะ?” ลลิลเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
“คุณเอาของฉันออกมาโดยไม่บอกเนี่ยนะ?!”
“คุณเซ็นสัญญาแล้ว” เขาตอบหน้าตาย
“ชีวิตคุณอยู่ในความรับผิดชอบของผม”
“เอ๊ะ!!”
เธอกำลังจะโวยวายต่อ แต่ร่างสูงของเขาก็หันกลับมาคว้าข้อมือเธอไว้แน่น และดึงเดินอย่างไม่เปิดช่องให้พูดอะไรอีก
“เดี๋ยว—!”
“รถอยู่ทางนี้”
“แต่ฉันยังไม่ได้—”
“ลิน”
เสียงเขาเรียกชื่อเล่นของเธอเบา ๆ แต่ดวงตาสีเทานั่น...กำลังจ้องลึกเข้ามาแบบที่เธออยากเอาหัวมุดพื้น
“คุณจะไปนอนที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว”
“…ฮะ?” เธอหันขวับไป
“ที่นอนคุณตอนนี้ อยู่ข้างห้องผม”
เขาพูดพลางเปิดประตูรถเบนซ์สีดำด้านให้
“จำไม่ได้เหรอ...ว่าต้องอยู่ใกล้ผม 24 ชั่วโมง?”
เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มือเขาก็กดไหล่เธอลงเบาะอย่างสุภาพแต่บังคับ
“ถ้าคุณยังดื้อ...ผมจะคิดว่าคุณกำลังท้าทายเงื่อนไข”
“ฉันเปล่านะ!!” ลลิลร้องเบา ๆ อย่างคนเริ่มเหนื่อยกับความมึนของบอส
อลิสนั่งลงข้าง ๆ แล้วปิดประตูด้วยเสียงเบา เขาเอนหลังในเบาะเหมือนคนเพิ่งไล่ศัตรูออกจากงานไปสิบคน แล้วหันมาพูดเสียงเรียบ
“ดี…เพราะถ้าคุณยังคิดหนี”
“ผมอาจจะต้อง ‘ใช้วิธีอื่น’ บังคับให้คุณอยู่”
ประโยคสุดท้ายนั้นเหมือนสายลมหนาวที่ลูบไล้ต้นคอเธอเบา ๆ ปลายเสียงแฝงความนัยจนน่าขนลุก...และขนลุกนั้นก็ดันลามไปถึงปลายขาเฉยเลย!
ลลิลนั่งตัวแข็ง แกล้งเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เธอไม่กล้าถามว่า ‘วิธีอื่น’ ของเขาคืออะไร...
“คุณชอบบังคับผู้หญิงแบบนี้ทุกคนรึไงคะ?” ลลิลตวัดสายตามองเขา
อลิสปรายตามองเธอนิ่ง ๆ ก่อนเหยียดยิ้มเล็กน้อย เขาโน้มหน้ามาใกล้กระซิบที่ข้างหู ขณะรถเคลื่อนออก
“เฉพาะแค่...บางคนเท่านั้น”
...
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ส่วนตัวหยุดลงตรงชั้นบนสุดของคอนโดหรูระดับท็อปย่านกลางเมือง ประตูบานใหญ่เลื่อนเปิดอย่างเงียบเชียบเผยให้เห็นเพนต์เฮ้าส์สุดอลังการราวกับฉากหนังสายลับ
ห้องเพนต์เฮาส์สุดหรูที่กว้างพอจะทำให้เธอลืมบ้านของตัวเองได้ชั่วคราว แชนเดอเลียร์คริสตัลไล่แสงละมุนเหนือศีรษะ ตรงกลางเป็นห้องนั่งเล่นโปร่งกว้างที่มีทั้งมุมไวน์ บาร์ส่วนตัว และชุดโซฟาราคาแพงราวกับยกห้องรับรองจากโรงแรมห้าดาวมาไว้ในตึก
แสงไฟสลัวอุ่นนวลส่องผ่านม่านโปร่งที่ปลิวไหวจากลมแอร์อุณหภูมิพอดี กลิ่นไวน์แดงผสมกลิ่นไม้หอมจาง ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ และบรรยากาศเงียบราวกับไม่มีมนุษย์อยู่มาก่อน—ยกเว้นผู้ชายตรงหน้า
อลิสแตร์เดินนำออกจากลิฟต์โดยไม่พูดอะไรสักคำ ขณะที่ลลิลเดินตามเขาเข้ามาอย่างงง ๆ
“เดี๋ยวค่ะ…” เธอเรียกเขาเบา ๆ
“ฉันอยู่ชั้นล่างไม่ใช่เหรอคะ?”
ชายหนุ่มหยุดเดิน หันกลับมาด้วยท่าทีเรียบนิ่ง แต่ในดวงตานั้นกลับฉายแววไม่ยอมรับฟัง
“เปลี่ยนแผน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ย
“เปลี่ยนอะไรคะ?” ลลิลเริ่มขยับถอยอย่างสัญชาตญาณ เพราะร่างสูงนั่นขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
“ฉันยังไม่ได้ย้ายของเลย…แล้วก็—”
“ของ...คุณไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะมีคนจัดการให้”
อลิสหยุดห่างจากเธอไม่ถึงฝ่ามือ ดวงตาเรียบนิ่งจ้องเธอเหมือนกำลังวิเคราะห์บางอย่าง
“แต่คุณน่ะ...ผมต้องจัดการเอง”
ลลิลหายใจสะดุด แผ่นหลังชิดกำแพงกระจกบานใสที่มองเห็นวิวเมืองทั้งแถบ เธอเม้มปาก ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเสียงแข็ง
“แล้วคุณจะให้ฉันนอนตรงไหนล่ะคะ…บนพรมกลางห้องรับแขกเหรอ?”
อลิสเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เหมือนแปลกใจในความกล้าของเลขาคนใหม่ แต่ริมฝีปากกลับโค้งยิ้มบางเฉียบอย่างเจ้าเล่ห์
“ห้องข้างในสุด ซ้ายมือ มีประตูไม้โอ๊ค”
“นั่นคือห้องคุณ” เขาโน้มหน้าเข้าใกล้ มือเท้ากระจกบานใส ใบหน้าห่างจากลลิลเพียงคืบ
“มีห้องน้ำส่วนตัว ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน เครื่องสำอางครบ และถ้าของในคอนโดเก่าคุณมีค่าพอ...ผมจะให้ไทเลอร์ไปขนมาให้พรุ่งนี้”
อลิสกระซิบเสียงทุ้มต่ำข้างหู ลมหายใจอุ่นรินรดแก้มของเธอ
“แล้ว...คุณอยู่ตรงไหนคะ?”
“ผมอยู่ห้องถัดไป...” น้ำเสียงทุ้มต่ำกระซิบ
“...ใกล้พอจะได้ยินคุณคราง ถ้าฝันอะไรเร้าใจ”
“คุณอลิส!” ลลิลร้องเสียงหลง หน้าแดงแปร๊ดไปถึงท้ายทอย
อลิสผละออกห่าง ริมฝีปากสวยได้รูปยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“พักผ่อนให้เต็มที่นะ คุณเลขา...เพราะพรุ่งนี้ผมมีภารกิจให้คุณอีกเยอะเลย”
พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมราคาแพงลอยอ้อยอิ่งในอากาศ...และหัวใจของลลิลที่เต้นไม่เป็นส่ำ
“บ้าชะมัด...นี่ฉันเข้ามาอยู่รังเสือแล้วใช่มั้ยเนี่ย”
เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยกมือทาบหน้าอกตัวเองเพื่อปลอบหัวใจไม่ให้เต้นแรงกว่านี้ และเดินตรงไปยังห้องที่เขาบอกไว้—อย่างคนที่ไม่แน่ใจว่า ห้องนั้นคือ ‘ที่พัก’ หรือ ‘กับดัก’
แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียว...
คืนนี้คงไม่ได้นอนเฉย ๆ แน่
กลิ่นลาเวนเดอร์เจือจางผสานกลิ่นไวน์แดงลอยคลุ้งในห้องนอนหรูที่ประดับด้วยโทนสีดำทอง แสงไฟอุ่นละมุนจากโคมตั้งโต๊ะหัวเตียงทอดเงาอ่อนบนพื้นไม้ โซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างมีผ้าคลุมกำมะหยี่พาดไว้เรียบหรู ทุกอย่างดูดี...ดีเกินไปสำหรับเลขาชั่วคราวที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงร่างบางของลลิลยืนอยู่กลางห้อง ในชุดคลุมอาบน้ำสีครีมนวล ผมยาวเปียกหมาดแนบลู่กับผิวไหล่ข้างหนึ่ง ลมหายใจอุ่นยังคงผสานกับไอจากร่างที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเธอเดินไปหยิบผ้าขนหนูเล็กซับปลายผมอย่างช้า ๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกล่องไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง“Welcome to your new job, Ms. Lalin.”ลายมืออังกฤษหวัดสวย ถูกเขียนด้วยปากกาหมึกดำลงบนการ์ดเล็ก ๆ ข้าง ๆ กันคือขวดไวน์แดงที่ถูกเปิดฝาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมแก้วใสที่มีหยดน้ำเกาะข้างแก้ว ราวกับมีคนเพิ่งรินให้หมาด ๆ“จงใจชัด ๆ ...”ลลิลพึมพำ พลางยิ้มเอียงคอเบา ๆ อย่างคนรู้ทันเกม เธอหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาหมุนเล็กน้อยก่อนยกขึ้นจิบ กลิ่นไวน์เข้มผสานกลิ่นลาเวนเดอร์บาง ๆ ชวนให้หัวใจเธอผ่อนคลายในทันทีรสชาติฝาดนุ่มละมุนลิ้น...แต่กลับมีบางอย่างซ่อนอยู่ในกลิ่น—บางสิ่งที่ทำให้หัวใจ
เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงคลอเบา ๆ ท่ามกลางแสงไฟนวลหรูของฮอลล์กลางงานเลี้ยงอลิสแตร์ ก้าวนำลลิลเข้าไปยังอีกฝั่งของห้องโถง ที่ตอนนี้มีชายเกาหลีท่าทางเนี้ยบจัด สวมสูทเข้ารูปและผูกไทด์ลายเอกลักษณ์เขาหันมาทันทีเมื่อเห็นอลิส พร้อมรอยยิ้มเปื้อนริมฝีปาก“Mr. Alistair! You came, good!” ชายเกาหลียื่นมือออกมา“Mr. Seo.” อลิสจับมือแน่นแต่สั้น ตามแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าพอลลิลเดินตามมาถึง เธอก็ยกมือไหว้แบบไทย ๆ อัตโนมัติ แต่ชายเกาหลีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า“You brought a new assistant this year, huh?”“More than that,” อลิสตอบเรียบ ๆ พร้อมปรายตามองลลิล“She's my personal secretary now. Lalin, this is Mr. Seo Min-hyun —CEO ของ SKI Holdings ฝั่งโซล”ลลิลยิ้มแบบมีมารยาท และตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างคล่อง“Nice to meet you, Mr. Seo.”เขาดูพอใจ หัวเราะเบา ๆ แล้วชำเลืองมองอลิส“เธอดูเฉียบดีนะ มิสเตอร์อลิสแตร์... ฉันชอบความฉลาดในสายตาแบบนี้”อลิสไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูลลิล“จำไว้นะ—เขาแยกคำพูดกับสายตาไม่ออก อย่าเชื่อทุกอย่างที่เขาชม”เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะ
ค่ำนี้คือคืนของ ‘งานเลี้ยงมอบรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี’ เป็นงานหรูที่เต็มไปด้วยคนดังระดับประเทศ และแขก VIP ที่มีกระเป๋าหนักพอจะซื้อประเทศได้ครึ่งหนึ่งท่ามกลางกลิ่นไวน์ฝรั่งเศส ล็อบบี้โรงแรมห้าดาวที่สว่างไสวจนแทบมองเห็นรูขุมขนผู้คน —เสียงแชมเปญเปิดดัง ‘ป๊อบ’ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าผู้บริหารระดับประเทศแต่ทั้งหมดนั่น...เงียบลงทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของความสูงกว่า 185 เซนติเมตร ก้าวเข้ามาในงานอลิสแตร์ ราเมียสCEO แห่ง Ramius Group — ชุดสูทสีดำเข้ารูปตัดเย็บเฉียบเฉือนด้วยผ้าเกรดสูงสุดจากอังกฤษเส้นผมสีดำสนิทเซ็ตเรียบเนี้ยบรับกับกรอบหน้าคมคาย ปลายคิ้วเข้ม ดวงตาคมลึกที่เหมือนกลืนทุกอย่างให้จมหาย ริมฝีปากหยักตรงที่ดูสุขุม...แต่หากจ้องนานไป อาจเผลอจินตนาการว่ามันจะสัมผัสยังไงเวลาเขาจูบเขาหล่อจนแม้แต่ภรรยาท่านรัฐมนตรี ยังเหลือบมองโดยไม่รู้ตัว สูทสีดำสนิทของทอม ฟอร์ดที่สวมอยู่บนร่างสูงราวเทพเจ้าโรมันปิดหน้ากากเยือกเย็นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เสียงส้นสูงกระทบพื้นดังเบา ๆ ...ตามด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนที่ลอยมาก่อนตัวข้างกายเขา —คือหญิงสาวในเดรสยาวผ้าซาตินสีมุกเน
เสียงของลลิลยังคงดังในห้องเงียบ…เซ็นเรียบร้อยแล้ว—แม้ใจจะยังไม่แน่ใจว่าเพิ่งจรดปากกาบนเอกสารฝึกงาน หรือเอกสารสัญญาวิญญาณชั้นดีให้ซาตานที่สวมสูทเซอร์เมดอินอิตาลีอลิสแตร์จ้องลายเซ็นเธอครู่หนึ่งก่อนจะเก็บเอกสารเข้าซองอย่างเรียบร้อย ราวกับไม่ใช่แค่เอกสารธรรมดา...แต่คือ “ของสำคัญ” ที่เขารอจะได้ครอบครองเขาเงยหน้าขึ้น สบตาเธอตรง ๆ“มีคำถามเพิ่มเติมไหม มิสคหบดีวัฒน์?”ลลิลส่ายหน้าเบา ๆ อย่างเกร็ง แต่สายตาเธอยังมีแววแข็งกล้าอยู่บ้าง เขาเห็นมัน—และมันทำให้รอยยิ้มบางที่มุมปากเขาขยับขึ้นนิดหน่อย“งั้นผมขอถามอะไรสักอย่าง...”เขาเอนตัวพิงโต๊ะเล็กน้อย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ขณะที่อีกข้างควงปากกาทองบนปลายนิ้วอย่างช้า ๆ“ปกติคุณเรียกตัวเองว่าอะไร เวลาคุยกับเพื่อน?”ลลิลกะพริบตาปริบ ๆ“หืม...หมายถึงแทนตัวเองน่ะเหรอคะ?”“ใช่” เขาพยักหน้าเบา ๆ“เช่น...ฉัน ลลิล เค้า หรือ...อะไรแบบนั้น”เธอเม้มปากนิดหน่อย ก่อนตอบออกไปแบบงง ๆ“ก็...ลินค่ะ”“ลิน?” เขาทวนคำช้า ๆ คล้ายจงใจกลืนคำลงลำคอ พร้อมกับสายตาที่ไม่ละไปไหน“ค่ะ...” เธอตอบเบา ๆเขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยอำนาจแปลกป
เช้าวันถัดมา...ท้องฟ้าแจ่มใสเกินเบอร์ เหมือนฟ้ากำลังตบไหล่บอกว่า “สู้ ๆ นะยัยบ้า ไปตายซะดี ๆ”ลลิล คหบดีวัฒน์ ยืนอยู่หน้าตึกกระจกสูงระฟ้าของ Ramius Group ในมือถือกระเป๋าหนังแบรนด์เนม ชุดเดรสสีครีมที่เธอเลือกใส่มาอย่างตั้งใจดูเรียบหรู แม่เรียกว่าเรียบร้อย — แต่เธอเรียกมันว่า ‘ชุดสารภาพบาป’ภายนอกดูเป็นคุณหนูผู้ดี แต่ภายใน...เหมือนใส่เกราะเหล็กพร้อมระเบิดเวลาไว้ตรงอกแน่นไปหมดหายใจก็ไม่สุด หัวใจก็สั่น ระดับความเครียดพุ่งเท่าภาษีที่ต้องจ่ายตอนรู้ว่าเธอทำน้ำไวน์ราดสูทคนมีอำนาจที่สุดในเมืองนี้เธอกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นสายตาเงยขึ้นไปมองโลโก้ “Ramius Group” ตัวอักษรสีดำเงาเรียบหรูบนกระจกใสที่สูงเสียดฟ้าข้างใต้เขียนว่า Power. Precision. Privacy.“...เออ ใช่สิ พาวเวอร์จนฉันอยากเป็นลม เพรซิชันจนฉันราดไวน์ใส่เขา แล้วพรายเวซี่...เออ แม่งจะลากฉันไปทำอะไรหลังม่านอีกก็ไม่รู้!”เธอสาปแช่งตัวเองในใจพลางสูดลมหายใจลึก“โอเค ลลิล...แกแค่ไปขอโทษ เขาคงไม่ใจร้ายมั้ง—ถึงแม้เขาจะหน้าหล่อแบบฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาก็ตาม”เธอพึมพำ“…แล้วก็อธิบายไปตรง ๆ ว่าแกไม่มีเงินจ่ายค่าสูทบ้า ๆ นั่น! ขอผ่อน 48 งวดกับดอกเบี้
หลังจากปล่อยให้เรื่องของ ฌอง บราซัวส์ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อลิสแตร์ ก็กลับออกมาสู่ห้องจัดเลี้ยงที่ยังเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ไวโอลิน และแชมเปญเขาหยิบแก้วไวน์แดงจากถาดของบริกรอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันตัวตั้งใจเดินไปยังระเบียงกระจกมุมเดิม—ที่เขาหวังจะได้ยืนพักจิบไวน์เงียบ ๆ สักครู่...แต่เขายังไม่ทันจะก้าวเท้าเดินออกไปพรึ่บ!แรงกระแทกเล็ก ๆ ปะทะเข้าที่อกเต็มแรงจนของเหลวในแก้วกระฉอก“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ—!”เสียงหวานดังขึ้นพร้อมร่างเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งที่ชนเขาเข้าเต็มเปา ไวน์แดงราดเป็นทางบนสูทสีเงินอ่อนของเขา รอยเปื้อนแดงฉานโดดเด่นบนเนื้อผ้าเนียนเฉียบประหนึ่งเลือดในสมรภูมิรบอลิสก้มมองสีสูทที่เลอะเสียจนแทบพังทั้งชุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆร่างตรงหน้าเขาคือหญิงสาววัยประมาณยี่สิบต้น ๆ ผมยาวสีน้ำตาลประกายทองดูยุ่งเหยิงจากการวิ่งใบหน้าขาวแดงจัดจากความเหนื่อยและความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเธอกำลังหอบหายใจ—และดูเหมือนเพิ่งหนีออกมาจากสงคราม...หรือไม่ก็การจับคลุมถุงชนชุดเดรสเกาะอกสีงาช้างสั้นเหนือเข่าดูจะหรูเกินไปสำหรับคนที่หน้าตาตื่นขนาดนี้แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอแต่งตัวไม่สวย—ตรงกันข้าม เธอสวยมาก