ค่ำนี้คือคืนของ ‘งานเลี้ยงมอบรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี’ เป็นงานหรูที่เต็มไปด้วยคนดังระดับประเทศ และแขก VIP ที่มีกระเป๋าหนักพอจะซื้อประเทศได้ครึ่งหนึ่ง
ท่ามกลางกลิ่นไวน์ฝรั่งเศส ล็อบบี้โรงแรมห้าดาวที่สว่างไสวจนแทบมองเห็นรูขุมขนผู้คน —เสียงแชมเปญเปิดดัง ‘ป๊อบ’ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าผู้บริหารระดับประเทศ
แต่ทั้งหมดนั่น...เงียบลงทันที
เมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของความสูงกว่า 185 เซนติเมตร ก้าวเข้ามาในงาน
อลิสแตร์ ราเมียส
CEO แห่ง Ramius Group — ชุดสูทสีดำเข้ารูปตัดเย็บเฉียบเฉือนด้วยผ้าเกรดสูงสุดจากอังกฤษ
เส้นผมสีดำสนิทเซ็ตเรียบเนี้ยบรับกับกรอบหน้าคมคาย ปลายคิ้วเข้ม ดวงตาคมลึกที่เหมือนกลืนทุกอย่างให้จมหาย ริมฝีปากหยักตรงที่ดูสุขุม...แต่หากจ้องนานไป อาจเผลอจินตนาการว่ามันจะสัมผัสยังไงเวลาเขาจูบ
เขาหล่อจนแม้แต่ภรรยาท่านรัฐมนตรี ยังเหลือบมองโดยไม่รู้ตัว สูทสีดำสนิทของทอม ฟอร์ดที่สวมอยู่บนร่างสูงราวเทพเจ้าโรมันปิดหน้ากากเยือกเย็นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เสียงส้นสูงกระทบพื้นดังเบา ๆ ...ตามด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนที่ลอยมาก่อนตัว
ข้างกายเขา —คือหญิงสาวในเดรสยาวผ้าซาตินสีมุกเนื้อเงาที่เคลื่อนไหวราวละอองน้ำ
ลลิล คหบดีวัฒน์ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยโทนอบอุ่นแบบผู้หญิงหวานที่แฝงกลิ่นอันตราย ผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างมีศิลป์ ทิ้งปอยข้างแก้มเล็กน้อยให้ใบหน้าเรียวดูยิ่งน่าหลง
แผ่นหลังขาวเนียนเปลือยให้เห็นจากเดรสที่เว้าหลังแนบลำตัว แถมยังผ่าข้างขึ้นสูงจนเห็นเรียวขาขาวเนียนเป็นประกาย
ทุกก้าวที่เดิน...แววตาของผู้ชายในงานแทบจะพร้อมใจกันหันตาม
บางคนถึงขั้นกระซิบกับเพื่อนข้าง ๆ ว่า
“ใครวะ สวยเหมือนหลุดมาจากแฟชั่นโชว์โซลปารีส”
อลิสเผลอมองนานเกินไป นานจนคิมหันต์ขยับข้างตัวเบา ๆ แล้วกระแอมเตือน
“…เชิญค่ะ ท่านประธาน”
ลลิลก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มเหมือนจะเรียบร้อย แต่แววตานั่น...ร้อนเหมือนไฟ
อลิสปรายตามองอีกครั้ง ตั้งแต่เนินอกอวบอิ่มที่เกือบพ้นเดรสเกาะอกจนไปถึงเรียวขาขาว
เขาไม่พูดอะไร...แต่ในใจคือคำเดียวที่ดังขึ้น
“บ้าเอ๊ย...”
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่ในสายตาคนอื่นเลยแม้แต่นาทีเดียว”
อลิสเห็น...และไม่ชอบเลยสักนิด
เขาเดินอ้อมมาข้างหลังเธอ แล้วเอื้อมมือแตะเบา ๆ ที่เอวเธอ
“ใครอนุญาตให้เธอสวยขนาดนี้?”
เสียงของเขานุ่ม แต่ลึก…ลึกจนคล้ายกับจะกักเธอไว้ทั้งตัว ลลิลสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่แนบแผ่นหลังเปลือย
“ก็…ฉันแค่อยากให้สมกับตำแหน่งเลขานี่คะ”
ลลิลยักไหล่เบา ๆ แต่รอยยิ้มจากริมฝีปากอวบอิ่มกลับดูฉาบไปด้วยพิษที่แสนอันตราย
“มันไม่เหมือนเลขาเลย...” เขากระซิบ
“อ้าว แล้วเหมือนอะไรล่ะคะ?”
ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลง กระซิบประโยคที่ทำให้เธอต้องเม้มริมฝีปากแน่น
“ไว้อยู่กับฉันสองคน...แล้วเธอก็จะรู้เอง”
…
เสียงเพลงคลาสสิกผสมจังหวะแจ๊สลอยอ้อยอิ่งในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ บรรยากาศภายในโถงหรูของโรงแรม VelvetKey (เวลเว็ทคีย์) ทอประกายจากแชนเดอเลียร์เหนือศีรษะ แสงจากคริสตัลส่องแวววาวราวกับเพชรต้องแสงตะวันยามค่ำคืน
ลลิลเดินเคียงข้างอลิสแตร์ ผู้เป็นเหมือนเทพบุตรในชุดสูท และก็เหมือน...ซาตานในคราบเทพบุตรไม่ผิดเลย
“คืนนี้เงียบหน่อยนะครับ ไม่มีข่าวฉาว ไม่มีการลอบยิง ไม่มีแฟนเก่ามาเหวี่ยงกลางงาน—ผมเกือบจะผิดหวัง” ไทเลอร์ที่เดินขนาบหลังพึมพำเบา ๆ
อลิสปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันมาทางลลิล ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ ห่างจากแก้มเธอไม่ถึงคืบ
“ตั้งใจฟังให้ดี...คืนนี้คุณไม่ได้มางานเลี้ยงเพื่อยืนสวยเฉย ๆ”
“แล้วให้มายืนแบบไหนคะ? แบบเซ็กซี่? หรือแบบยั่ว ๆ?” ลลิลย่นคิ้ว ทำตาล้อเลียน
อลิสยิ้มมุมปาก ราวกับพอใจในคำตอบ
“ก็ทั้งคู่...ถ้าคุณถนัดแบบนั้น”
ลมหายใจเธอสะดุดวูบ เขายังพูดต่อ น้ำเสียงเรียบแต่แฝงคำสั่ง
“แต่สิ่งที่ผมต้องการจริง ๆ คือให้คุณสังเกต ‘ท่าที’ ของคู่ค้าแต่ละคนที่ผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก ดูว่าใครพูดมากเกินไป ใครพูดน้อยไป ใครชอบจับแขน ใครชอบหลบตา…”
“…แล้วก็จำชื่อให้ได้ทั้งหมด ผมจะถามคุณทีหลัง”
“ห้ะ?!” ลลิลแทบสำลักความหรูหราของบรรยากาศ
“ฉันไม่ใช่สายลับนะคะ คุณอลิส”
“ก็คุณเป็นเลขาของผม”
เขาก้าวต่อไม่หันกลับ ทิ้งให้ลลิลหัวหมุนตามอยู่สองวินาที ก่อนจะรีบเดินจ้ำตามหลังชุดสูทสีกรมท่าที่พาเธอเข้าสู่ฝูงชนชั้นสูง
อลิสพาเธอไปทักทายกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหญ่จากฝรั่งเศส, นักลงทุนสายเทคโนโลยีจากเกาหลีใต้ และเจ้าสัวเจ้าของเหมืองทองคำจากดูไบ
เธอยิ้มหวาน จดจำชื่อ และพยายามสังเกตท่าทางตามที่เขาบอก
…แต่บางทีสิ่งที่ทำให้เธอเสียสมาธิที่สุดอาจไม่ใช่เหล่าคู่ค้า
แต่เป็น ‘เจ้านาย’ ที่ยืนข้าง ๆ นี่แหละ
เพราะเขาหล่อแบบไร้ช่องโหว่ ตั้งแต่ไรผมสีเข้มที่เซ็ตอย่างมีชั้นเชิง สูทเข้ารูปที่ขับให้ไหล่กว้างยิ่งขยาย ไปจนถึงเสียงทุ้มนุ่มลึก ที่แค่กระซิบชื่อเธอ เธอก็แทบลืมสังเกตคนอื่นหมดแล้ว
“...ลิน”
เขาเรียกชื่อเล่นของเธออย่างเจาะจง ในน้ำเสียงที่ใกล้กับคำว่า คำสั่งมากกว่าคำเรียกขาน
ลลิลสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนรีบหันมาตอบ
“คะ?”
“คนเมื่อกี้ เขาชื่ออะไร”
“คุณ...” เธอหยุดคิด
“…คุณลุง...อะไรสักอย่าง”
“ผิด” อลิสตอบทันควัน
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน! ก็คุณแนะนำเร็วขนาดนั้น ฉันจำไม่ทันหรอก!”
“คุณจะต้องจำให้ได้” เขาว่าพลางก้มกระซิบใกล้แก้ม
“หรือจะให้ผมลงโทษที่ความจำคุณสั้นดี?”
ลลิลหน้าแดงวาบ ไม่แน่ใจว่าสิ้นเสียงเขา เธอหัวร้อนเพราะเขา…หรือร้อนเพราะใจเธอเองที่เต้นแรง
อลิสเดินนำไปยังกลุ่มถัดไป โดยไม่หันมองกลับ เธอถอนหายใจออกแรง—รู้ตัวเลยว่า
‘คืนนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงธรรมดา…แต่คือบททดสอบจากซาตานในร่างประธานอย่างแท้จริง’
...
ในขณะที่อลิสกำลังสนทนาอย่างราบรื่นกับคู่ค้าจากอังกฤษ—ชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดเล็ก ๆ กับภรรยาสาวสวยที่ยิ้มเก่งจนแทบไม่หยุดพัก ลลิลก็อาศัยจังหวะนั้น..แวบหายออกมาจากกลุ่มเงียบ ๆ
เธอกระเถิบมาชิดกำแพงโค้งตรงมุมโถงจัดเลี้ยง หยิบแก้วไวน์ขาวจากถาดของบริกรแล้วกระดกเข้าปากครึ่งแก้วรวด
“…หืม รอดแล้วโว้ย” เธอพึมพำเบา ๆ กัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิดแต่แอบขำตัวเอง
ตาเธอยังคงมองไปยังอลิส—ที่แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ความสง่าก็ยังเปล่งประกายเหมือนพระเอกที่ก้าวออกมาจากปกนิตยสารระดับโลก
ชายคนนั้น…คือผู้ชายที่เธอหาว่า ‘หยิ่ง’ ตั้งแต่แรกเจอ
แต่ตอนนี้...เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ‘หยิ่ง’ หรือ ‘ยั่ว’ กันแน่
เขาเหมือนคนที่ไม่มีวันหันมามองใคร...แต่ในขณะเดียวกัน เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนเขามองตลอดเวลา
“ทำหน้าแบบนั้น ระวังจะโดนลากกลับไปกลางงานนะครับ”
เสียงทุ้ม ๆ ที่ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำเอาลลิลสะดุ้งจนเกือบทำไวน์หก
“คะ—คิมหันต์?! คุณมาเงียบเกินไปแล้ว!” เธอหันมามองชายหนุ่มหน้าหวานในสูทเข้ารูป ที่ตอนนี้ยืนพิงเสาอย่างสบายใจ
แม้หน้าจะดูละมุนละไมราวกับหลุดจากโฆษณาสกินแคร์ แต่ดวงตาเขาคมกริบจนน่าขนลุก
“อย่าหลบสายตาผมสิครับ เลขาลิน...”
“ไม่ได้หลบนะ ฉันก็แค่พักหายใจ” เธอเบ้ปาก รู้ตัวดีว่าไม่มีทางเนียนผ่านชายคนนี้ได้ง่าย ๆ
คิมหันต์ยิ้มบาง ก่อนยกมือขึ้นกอดอก แล้วพูดเสียงเรียบ
“ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง...คุณอลิสจะไม่พอใจมากนะครับ”
“หึ” ลลิลยกยิ้มอย่างมั่นใจ
“งั้นมาสิ จะลองทดสอบความจำฉันเหรอ?”
“ถ้าอยากเล่น ก็ต้องเล่นให้สุดนะครับ” คิมหันต์ก้าวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มไม่มาก แต่สายตาคมเหมือนจะอ่านทะลุเข้าไปในสมองของเธอ
“เริ่มเลยค่ะ” เธอยืดตัวขึ้นอย่างท้าทาย
“คู่ค้าจากฝรั่งเศส ชื่อ?”
“มาดามวาเลนติน่า กับสามีชื่อมิเชล กู๊ดรีย์”
“จากเกาหลีใต้?”
“CEO ซองมินโฮ จาก MinTech Group, ภรรยาเขาชื่อจีอึน—ใส่ชุดแดงเพลิงแต่ยิ้มแข็งมาก”
“ดูไบ?”
“ชีคฮาฟิซ อัลซารี กับน้องชายเขา...ที่ชอบมองขาฉันมากกว่าหน้าคุณอลิสอีก”
คิมหันต์หลุดหัวเราะ
“ความจำดี...พร้อมรายละเอียดพิเศษด้วย”
“ฉันไม่ได้แค่สวยนะคะคุณคิม ฉันฉลาดด้วย” เธอยิ้ม ยักคิ้วให้เขาอย่างกวน ๆ
คิมหันต์ยิ้มตอบ แต่ดวงตาคมยังนิ่งสงบ
“ฉลาด...ก็อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นจากสายตาท่านประธานได้ง่าย ๆ นะครับ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากหลุดนะ” เธอเผลอพูดออกไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนคิมหันต์หัวเราะเบา ๆ แล้วผละออกไปจากมุมเสา
“งั้นผมจะไม่บอกเจ้านายนะครับ...ว่าคุณแอบหนีมากระดกไวน์อยู่ตรงนี้”
“อ้อ แล้วก็...เตรียมตัวให้พร้อมนะครับ” เสียงเขาดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมา
ลลิลที่ยกแก้วไวน์แนบริมฝีปาก มุมปากยังระบายยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่พลันแข็งค้าง เมื่อเสียงทุ้มนุ่มของเขาดังขึ้นทิ้งท้าย...แถมยังเป็นคำที่ฟังแล้วใจหายวาบกว่าไวน์หมดแก้วเสียอีก
“เพราะเจ้านายเดินตรงมานี่แล้ว”
“เชี่ยละ...” เธอสบถในลำคอแทบไม่ทัน ก่อนจะหมุนตัวกลับอย่างเร็ว
อลิสแตร์ ในสูทสีดำสนิทกำลังก้าวเท้าตรงมาหาเธอ สายตานิ่งเรียบ...แต่มีรังสีมาคุพวยพุ่งเหมือนหมอกควันจากปลายกระบอกปืน
“โอ๊ะ...ว่าไงคะ คุณอลิส” ลลิลรีบเก็บแก้วไวน์ ไหล่เกร็งราวกับกำลังสอบเข้าค่ายคอมมานโด
“คุณลิน...” เสียงเขาเรียก ขณะสายตากวาดมองตั้งแต่ปลายเท้าเธอไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสแกนด้วยเลเซอร์ไฮเทคในหนังไซไฟ
“ขอโทษค่ะ ฉันแค่...พักชิมไวน์นิดหน่อย” เธอหลุบตาลงต่ำ พูดเสียงเบา
“ไวน์?” เขาเลิกคิ้ว หรี่ตามองเธอด้วยแววตาที่อ่านยากเหลือเกิน
“หรือกำลังซ้อมหลบหนี?”
“เอ่อ...ทั้งสองค่ะ” ลลิลตอบอย่างกล้าตาย ก่อนจะยิ้มกว้างกลบเกลื่อนแบบฉบับสาวป่วน
อลิสไม่ตอบ แต่เดินเข้ามาใกล้จนปลายรองเท้าของเขาแทบจะชนส้นสูงของเธอ ลมหายใจของเขาอุ่นร้อนนิด ๆ และแรงพอจะทำให้หัวใจเธอกระตุกเบา ๆ
“ไว้กลับถึงห้องแล้ว...เราค่อยเคลียร์เรื่องนี้นะครับ คุณลิน”
แค่เสียงเรียก ‘คุณลิน’ ก็ทำเอาเธอขาอ่อนแล้วหนึ่ง
แต่ก่อนที่อลิสจะได้พูดอะไรต่อ เสียงหวานแบบตั้งใจให้ดูแพงก็ดังขึ้นจากข้างหลังพวกเขา
“อลิสคะ~”
ลลิลแทบสะดุ้ง หันขวับไปตามเสียงพร้อมกันกับเขา
ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสเมทัลลิกสีเงิน ผ่าหน้าผ่าหลังสูงจนเกือบถึงสะดือ ผมลอนใหญ่สวยหวีเป๊ะ หน้าเป๊ะ และสายตา—เป๊ะยิ่งกว่าช่างแต่งหน้าเวที Miss Universe
“ชลนที...” อลิสเอ่ยเสียงต่ำ สายตาเปลี่ยนจากเย็นชามาเป็นเยือกแข็งเพียงพริบตาเดียว
“ดีใจจังค่ะที่ยังจำชื่อทีได้” เธอยิ้มหวาน ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความรุกเร้า
ลลิลหรี่ตาลง มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างประเมินสถานการณ์ ในหัวเริ่มมีเสียงสัญญาณเตือนดังติ๊ดๆๆ แบบเดียวกับตอนเธอเคยกดระเบิดในเกมออนไลน์
“อ๊ะ...นี่หรือคะ? เลขาคนใหม่ที่ฮือฮากันในวงใน...” ชลนทีหันมาหาเธอ ยิ้มให้ แต่แววตานั้นคือ ‘ยิ้มแบบจะกินหัวเธออยู่แล้ว’
“ลลิล ค่ะ” ลลิลแนะนำตัวเองโดยไม่สะทกสะท้าน
“คุณคือ...?”
“ชลนทีค่ะ ทีเคยคบกับอลิส...ตอนเขายังไม่ได้เป็นประธานบริษัทเลย”
อลิสถอนหายใจทันที เหมือนกำลังฟังละครซ้ำรอบที่พันเก้า
“...และตอนนี้ เขาก็ยังไม่เป็น ‘ของใคร’ ใช่มั้ยคะ?” ชลนทีพูดต่อ มือยกขึ้นแตะแขนเขาอย่างอ่อยแบบไม่มีมารยาท
หืม...ยัยนี่...อ้อยกันขนาดนี้ ไม่ได้ดูหน้าบอสเลยสินะ ว่าเบื่อขนาดไหน
...เอาไงดี...ช่วยบอสเอาบุญละกัน
ลลิลยิ้มหวานให้แฟนเก่าของบอส
“คุณอลิสคะ...ถ้าต้องมีแฟนเก่ามาทวงคืนสถานะแบบนี้บ่อย ๆ คุณควรจะมีบัตรคิวแจกไว้เลยนะคะ จะได้ไม่แย่งกันหน้าลิฟต์”
อลิสกระแอมเบา ๆ เหมือนพยายามกลั้นหัวเราะ
ชลนทีหน้าแข็งไปชั่วครู่ ก่อนจะกลั้นยิ้มฝืน
“เด็กเดี๋ยวนี้...แสบจังเลยนะคะ”
“ไม่ใช่เด็กนะคะ...เป็นเลขา”
ลลิลยักคิ้วให้แบบฟาดหมัดตรง และในตอนนั้นเอง อลิสก็ก้าวเข้ามาแทรกกลางระหว่างสองสาว มือหนาเอื้อมโอบเอวลลิลเข้ามาแนบชิดตัวเขาอย่างจงใจ
“ชลนที—ขออนุญาตพาเลขาผมไปทำหน้าที่ต่อนะครับ” เขาหันไปพูดกับชลนทีแบบไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่นิด
“ส่วนเรื่องในอดีต...เก็บไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ก็พอ อย่ารื้อขึ้นมาให้ลำบากใจ”
ชลนทีชะงักไปเสี้ยววินาที...แต่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ก่อนเธอจะยกยิ้มบาง ๆ ประหนึ่งไม่สะทกสะท้าน มือเรียวยกขึ้นเสยผมเบา ๆ อย่างคนที่ยังมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองเต็มร้อย
“งั้นไว้มีโอกาส...” ชลนทีพูดเสียงอ่อนหวานเบา ๆ แต่ดังพอให้ลลิลได้ยิน
“ฉันจะขอนัดทานข้าวกับคุณแล้วกันนะคะ—แบบส่วนตัว...ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ”
จากนั้นเธอก็ปรายตามองลลิล ยิ้มแบบเย้ยนิด ๆ อย่างคนที่รู้ตัวว่าสวยและเคยได้มาก่อน ก่อนจะหมุนตัวอย่างเนี้ยบเฉียบ ส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนดังกึก ๆ อย่างมีจังหวะ เส้นผมลอนใหญ่พลิ้วตามแรงสะบัด…ราวกับซ้อมมาเพื่อฉากนี้โดยเฉพาะ
ลลิลมองตามหลังแล้วพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง
“สะดุดล้มทีเถอะ จะหัวเราะให้ฟันหักเลย...”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังจากข้างตัว อลิสยืนกอดอก มองเธอด้วยแววตาเรียบสนิท แต่ริมฝีปากหยักยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“คุณปากจัดกว่าที่ผมคิดนะ” เขาว่าเรียบ ๆ แต่แววตาเป็นประกายแวววาวเหมือนกำลังเพลินอยู่ลึก ๆ
“ก็...มีคุณเป็นแรงบันดาลใจไงคะ” ลลิลสวนทันควัน
อลิสไม่ตอบกลับทันที แต่กลับโน้มตัวลงเล็กน้อย —ใกล้พอให้เธอได้ยินเสียงทุ้มกระซิบแทบชิดริมฝีปาก
“แรงบันดาลใจหรอ…?”
เสียงเขาเย็น แต่ทิ้งท้ายเหมือนมีอะไรค้างอยู่ในลำคอ
“ถ้าปากคุณจัดได้ขนาดนี้...ผมก็เริ่มสงสัยแล้วสิ ว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง”
ลลิลนิ่งค้าง—หน้าเห่อร้อนทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ พูดไม่ออกทั้งคำด่าและคำโต้ อลิสที่ได้คำตอบเป็นความเงียบ ยิ่งยกยิ้มบางจนดูเหมือนมีชัย
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องทันที ราวกับประโยคเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
“ไปกันเถอะ”
อลิสกลับมายืนตัวตรง พยักหน้าให้เธอเล็กน้อย
“ผมจะพาคุณไปแนะนำกับคู่ค้าคนถัดไป—นักลงทุนจากเกาหลีใต้ คนนี้หูไว ปากจัด แต่ชอบคนซื่อ”
เขาก้าวนำไปอย่างนิ่งขรึม โดยไม่หันกลับมามองเลยสักนิด
...ทิ้งไว้เพียงไหล่กว้างกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ยังไม่จางหาย และ...ใจของลลิลที่เต้นแรงแบบโคตรไม่ตั้งใจ
กลิ่นลาเวนเดอร์เจือจางผสานกลิ่นไวน์แดงลอยคลุ้งในห้องนอนหรูที่ประดับด้วยโทนสีดำทอง แสงไฟอุ่นละมุนจากโคมตั้งโต๊ะหัวเตียงทอดเงาอ่อนบนพื้นไม้ โซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างมีผ้าคลุมกำมะหยี่พาดไว้เรียบหรู ทุกอย่างดูดี...ดีเกินไปสำหรับเลขาชั่วคราวที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงร่างบางของลลิลยืนอยู่กลางห้อง ในชุดคลุมอาบน้ำสีครีมนวล ผมยาวเปียกหมาดแนบลู่กับผิวไหล่ข้างหนึ่ง ลมหายใจอุ่นยังคงผสานกับไอจากร่างที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเธอเดินไปหยิบผ้าขนหนูเล็กซับปลายผมอย่างช้า ๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกล่องไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง“Welcome to your new job, Ms. Lalin.”ลายมืออังกฤษหวัดสวย ถูกเขียนด้วยปากกาหมึกดำลงบนการ์ดเล็ก ๆ ข้าง ๆ กันคือขวดไวน์แดงที่ถูกเปิดฝาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมแก้วใสที่มีหยดน้ำเกาะข้างแก้ว ราวกับมีคนเพิ่งรินให้หมาด ๆ“จงใจชัด ๆ ...”ลลิลพึมพำ พลางยิ้มเอียงคอเบา ๆ อย่างคนรู้ทันเกม เธอหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาหมุนเล็กน้อยก่อนยกขึ้นจิบ กลิ่นไวน์เข้มผสานกลิ่นลาเวนเดอร์บาง ๆ ชวนให้หัวใจเธอผ่อนคลายในทันทีรสชาติฝาดนุ่มละมุนลิ้น...แต่กลับมีบางอย่างซ่อนอยู่ในกลิ่น—บางสิ่งที่ทำให้หัวใจ
เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงคลอเบา ๆ ท่ามกลางแสงไฟนวลหรูของฮอลล์กลางงานเลี้ยงอลิสแตร์ ก้าวนำลลิลเข้าไปยังอีกฝั่งของห้องโถง ที่ตอนนี้มีชายเกาหลีท่าทางเนี้ยบจัด สวมสูทเข้ารูปและผูกไทด์ลายเอกลักษณ์เขาหันมาทันทีเมื่อเห็นอลิส พร้อมรอยยิ้มเปื้อนริมฝีปาก“Mr. Alistair! You came, good!” ชายเกาหลียื่นมือออกมา“Mr. Seo.” อลิสจับมือแน่นแต่สั้น ตามแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าพอลลิลเดินตามมาถึง เธอก็ยกมือไหว้แบบไทย ๆ อัตโนมัติ แต่ชายเกาหลีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า“You brought a new assistant this year, huh?”“More than that,” อลิสตอบเรียบ ๆ พร้อมปรายตามองลลิล“She's my personal secretary now. Lalin, this is Mr. Seo Min-hyun —CEO ของ SKI Holdings ฝั่งโซล”ลลิลยิ้มแบบมีมารยาท และตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างคล่อง“Nice to meet you, Mr. Seo.”เขาดูพอใจ หัวเราะเบา ๆ แล้วชำเลืองมองอลิส“เธอดูเฉียบดีนะ มิสเตอร์อลิสแตร์... ฉันชอบความฉลาดในสายตาแบบนี้”อลิสไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูลลิล“จำไว้นะ—เขาแยกคำพูดกับสายตาไม่ออก อย่าเชื่อทุกอย่างที่เขาชม”เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะ
ค่ำนี้คือคืนของ ‘งานเลี้ยงมอบรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี’ เป็นงานหรูที่เต็มไปด้วยคนดังระดับประเทศ และแขก VIP ที่มีกระเป๋าหนักพอจะซื้อประเทศได้ครึ่งหนึ่งท่ามกลางกลิ่นไวน์ฝรั่งเศส ล็อบบี้โรงแรมห้าดาวที่สว่างไสวจนแทบมองเห็นรูขุมขนผู้คน —เสียงแชมเปญเปิดดัง ‘ป๊อบ’ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าผู้บริหารระดับประเทศแต่ทั้งหมดนั่น...เงียบลงทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของความสูงกว่า 185 เซนติเมตร ก้าวเข้ามาในงานอลิสแตร์ ราเมียสCEO แห่ง Ramius Group — ชุดสูทสีดำเข้ารูปตัดเย็บเฉียบเฉือนด้วยผ้าเกรดสูงสุดจากอังกฤษเส้นผมสีดำสนิทเซ็ตเรียบเนี้ยบรับกับกรอบหน้าคมคาย ปลายคิ้วเข้ม ดวงตาคมลึกที่เหมือนกลืนทุกอย่างให้จมหาย ริมฝีปากหยักตรงที่ดูสุขุม...แต่หากจ้องนานไป อาจเผลอจินตนาการว่ามันจะสัมผัสยังไงเวลาเขาจูบเขาหล่อจนแม้แต่ภรรยาท่านรัฐมนตรี ยังเหลือบมองโดยไม่รู้ตัว สูทสีดำสนิทของทอม ฟอร์ดที่สวมอยู่บนร่างสูงราวเทพเจ้าโรมันปิดหน้ากากเยือกเย็นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เสียงส้นสูงกระทบพื้นดังเบา ๆ ...ตามด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนที่ลอยมาก่อนตัวข้างกายเขา —คือหญิงสาวในเดรสยาวผ้าซาตินสีมุกเน
เสียงของลลิลยังคงดังในห้องเงียบ…เซ็นเรียบร้อยแล้ว—แม้ใจจะยังไม่แน่ใจว่าเพิ่งจรดปากกาบนเอกสารฝึกงาน หรือเอกสารสัญญาวิญญาณชั้นดีให้ซาตานที่สวมสูทเซอร์เมดอินอิตาลีอลิสแตร์จ้องลายเซ็นเธอครู่หนึ่งก่อนจะเก็บเอกสารเข้าซองอย่างเรียบร้อย ราวกับไม่ใช่แค่เอกสารธรรมดา...แต่คือ “ของสำคัญ” ที่เขารอจะได้ครอบครองเขาเงยหน้าขึ้น สบตาเธอตรง ๆ“มีคำถามเพิ่มเติมไหม มิสคหบดีวัฒน์?”ลลิลส่ายหน้าเบา ๆ อย่างเกร็ง แต่สายตาเธอยังมีแววแข็งกล้าอยู่บ้าง เขาเห็นมัน—และมันทำให้รอยยิ้มบางที่มุมปากเขาขยับขึ้นนิดหน่อย“งั้นผมขอถามอะไรสักอย่าง...”เขาเอนตัวพิงโต๊ะเล็กน้อย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ขณะที่อีกข้างควงปากกาทองบนปลายนิ้วอย่างช้า ๆ“ปกติคุณเรียกตัวเองว่าอะไร เวลาคุยกับเพื่อน?”ลลิลกะพริบตาปริบ ๆ“หืม...หมายถึงแทนตัวเองน่ะเหรอคะ?”“ใช่” เขาพยักหน้าเบา ๆ“เช่น...ฉัน ลลิล เค้า หรือ...อะไรแบบนั้น”เธอเม้มปากนิดหน่อย ก่อนตอบออกไปแบบงง ๆ“ก็...ลินค่ะ”“ลิน?” เขาทวนคำช้า ๆ คล้ายจงใจกลืนคำลงลำคอ พร้อมกับสายตาที่ไม่ละไปไหน“ค่ะ...” เธอตอบเบา ๆเขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยอำนาจแปลกป
เช้าวันถัดมา...ท้องฟ้าแจ่มใสเกินเบอร์ เหมือนฟ้ากำลังตบไหล่บอกว่า “สู้ ๆ นะยัยบ้า ไปตายซะดี ๆ”ลลิล คหบดีวัฒน์ ยืนอยู่หน้าตึกกระจกสูงระฟ้าของ Ramius Group ในมือถือกระเป๋าหนังแบรนด์เนม ชุดเดรสสีครีมที่เธอเลือกใส่มาอย่างตั้งใจดูเรียบหรู แม่เรียกว่าเรียบร้อย — แต่เธอเรียกมันว่า ‘ชุดสารภาพบาป’ภายนอกดูเป็นคุณหนูผู้ดี แต่ภายใน...เหมือนใส่เกราะเหล็กพร้อมระเบิดเวลาไว้ตรงอกแน่นไปหมดหายใจก็ไม่สุด หัวใจก็สั่น ระดับความเครียดพุ่งเท่าภาษีที่ต้องจ่ายตอนรู้ว่าเธอทำน้ำไวน์ราดสูทคนมีอำนาจที่สุดในเมืองนี้เธอกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นสายตาเงยขึ้นไปมองโลโก้ “Ramius Group” ตัวอักษรสีดำเงาเรียบหรูบนกระจกใสที่สูงเสียดฟ้าข้างใต้เขียนว่า Power. Precision. Privacy.“...เออ ใช่สิ พาวเวอร์จนฉันอยากเป็นลม เพรซิชันจนฉันราดไวน์ใส่เขา แล้วพรายเวซี่...เออ แม่งจะลากฉันไปทำอะไรหลังม่านอีกก็ไม่รู้!”เธอสาปแช่งตัวเองในใจพลางสูดลมหายใจลึก“โอเค ลลิล...แกแค่ไปขอโทษ เขาคงไม่ใจร้ายมั้ง—ถึงแม้เขาจะหน้าหล่อแบบฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาก็ตาม”เธอพึมพำ“…แล้วก็อธิบายไปตรง ๆ ว่าแกไม่มีเงินจ่ายค่าสูทบ้า ๆ นั่น! ขอผ่อน 48 งวดกับดอกเบี้
หลังจากปล่อยให้เรื่องของ ฌอง บราซัวส์ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อลิสแตร์ ก็กลับออกมาสู่ห้องจัดเลี้ยงที่ยังเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ไวโอลิน และแชมเปญเขาหยิบแก้วไวน์แดงจากถาดของบริกรอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันตัวตั้งใจเดินไปยังระเบียงกระจกมุมเดิม—ที่เขาหวังจะได้ยืนพักจิบไวน์เงียบ ๆ สักครู่...แต่เขายังไม่ทันจะก้าวเท้าเดินออกไปพรึ่บ!แรงกระแทกเล็ก ๆ ปะทะเข้าที่อกเต็มแรงจนของเหลวในแก้วกระฉอก“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ—!”เสียงหวานดังขึ้นพร้อมร่างเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งที่ชนเขาเข้าเต็มเปา ไวน์แดงราดเป็นทางบนสูทสีเงินอ่อนของเขา รอยเปื้อนแดงฉานโดดเด่นบนเนื้อผ้าเนียนเฉียบประหนึ่งเลือดในสมรภูมิรบอลิสก้มมองสีสูทที่เลอะเสียจนแทบพังทั้งชุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆร่างตรงหน้าเขาคือหญิงสาววัยประมาณยี่สิบต้น ๆ ผมยาวสีน้ำตาลประกายทองดูยุ่งเหยิงจากการวิ่งใบหน้าขาวแดงจัดจากความเหนื่อยและความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเธอกำลังหอบหายใจ—และดูเหมือนเพิ่งหนีออกมาจากสงคราม...หรือไม่ก็การจับคลุมถุงชนชุดเดรสเกาะอกสีงาช้างสั้นเหนือเข่าดูจะหรูเกินไปสำหรับคนที่หน้าตาตื่นขนาดนี้แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอแต่งตัวไม่สวย—ตรงกันข้าม เธอสวยมาก