ซ่าาา!! ฉันปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลรดผ่านใบหน้าและลำตัวไปอย่างช้าๆ พลางใช้เวลาระหว่างนี้นึกถึงคำพูดของท่านประธานที่พูดกับฉันก่อนหน้านี้
‘พรุ่งนี้เธอเตรียมตัวย้ายออกจากบ้านใหญ่ไปบ้านเจ้าคิมหันต์มันซะนะ เกวลิน’ ‘หมายความว่ายังไงคะ?’ ‘ฉันตกลงกับเจ้าคิมหันต์มันแล้ว ว่าจะยกเธอให้มัน’ ‘ท่านประธานช่วยฟังเรื่องที่เกวจะขอก่อนได้มั้ยคะ?’ ‘เฮ้อ…เธอว่ามาสิ’ ‘ความจริงวันนี้…เกวตั้งใจจะมาขออนุญาติท่านประธาน…ให้เกวออกไปจากตระกูลได้มั้ยคะ?’ ‘เฮ้อออ!! ฉันรับฟังเธอนะ แต่ตอนนี้…ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเธอแล้ว ฉันยกเธอให้คิมหันต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้น…คนที่เธอจะต้องไปขออนุญาติคือเจ้าคิมหันต์ ไม่ใช่ฉันอีกแล้ว’ ‘อ่าา เข้าใจแล้วค่ะ’ เฮอะ! ฟังดูน่าขำชะมัดว่ามั้ย? สุดท้ายแล้ว…ความหวังที่จะเป็นอิสระของฉันมันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้วๆที่ไม่มีทางเป็นไปได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้านายกับลูกน้อง ผู้มีบุญคุณกับผู้ตอบแทนบุญคุณ มันตัดกันง่ายๆไม่ได้สินะ เฮ้อออ…คนเป็นเจ้านายคงจะทำอะไรกับลูกน้องอย่างฉันก็ได้สินะ จะรับมาเลี้ยงตอนไหนก็ได้ จะยกให้ใครง่ายๆเหมือนสิ่งของก็คงไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วยิ่งเจ้านายคนใหม่ของฉันยังเป็นคนที่ฉันเกลียดที่สุดอีกด้วย ความหวังที่จะได้ออกไปมีอิสระเป็นของตัวเอง คงจะจบลงแล้วล่ะ เกว… เพล้งงง!! เสียงเหมือนของบางอย่างตกแตกดังขึ้นมาจากข้างนอกห้องน้ำ ทำเอาฉันสะดุ้งจนต้องรีบคว้าผ้าขนหนูมาพันตัวไว้ลวกๆ “ใครคะ?” ฉันร้องตะโกนถามจากในห้องน้ำ แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับมา “ป้าออนเหรอคะ?” แอ๊ดดด!! เพราะไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย ฉันเลยตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำ เพื่อไปดูต้นตอของเสียงดังที่เกิดขึ้น “คุณคิมหันต์!!”แต่เมื่อเดินมาจากห้องน้ำแล้ว ฉันกลับต้องตกใจมากกว่าเดิม เมื่อเห็นเศษแก้วน้ำตกแตกกระจายอยู่เต็มพื้นห้อง โดยฝีมือของคนตัวสูงที่ยืนทำหน้าตาเรียบนิ่งไม่รู้สึกอะไรในห้องคนอื่น “คุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง?” ตึก!ตึก!ตึก! คนตัวสูงไม่ตอบแต่กลับค่อยเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันซึ่งห่างกันเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น พลางใช้สายตาอันเยือกเย็นนั่นไล่มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า และตอนนั้นเองแหละที่ฉันเริ่มจะรู้ตัวขึ้นมา ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ล่อแหลมเกินไป มีเพียงแค่ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พันตัวเองไว้เท่านั้น หมับ!! ฉันรีบยกมือขึ้นมาปิดส่วนที่มันเกินออกมาจากผ้าขนหนู แม้ว่ามันจะปิดได้ไม่มิดแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้มันเด่นหราอยู่ตามเดิม “คุณออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลยนะคะคุณคิมหันต์!!” ฉันร้องตะโกนไล่ให้ผู้บุกรุกออกไปจากห้องของฉัน หมับ!! สิ่งที่เขาตอบโต้กลับมามันไม่ใช่การเดินออกไปจากห้องฉันง่ายๆ แต่กลับยื่นมือมาคว้าเอวฉันเข้าไปใกล้ “โอ้ย! คุณคิมหันต์ คุณจะทำอะไร? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคะ!” “นี่มันบ้านฉัน…ฉันจะไปที่ไหนมันก็เรื่องของฉัน เธอไม่มีสิทธ์มาไล่!” “ถึงบ้านนี้จะเป็นของคุณ แต่ตอนนี้ห้องนี้เป็นของฉัน แล้วสิ่งที่คุณทำอยู่ในตอนนี้มันคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอยู่นะคะ ปล่อยฉันแล้วก็ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ คุณคิมหันต์” ฉันเริ่มดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากอ้อมแขนแกร่งของคนตัวสูง แต่เหมือนยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดตัวฉันเอาไว้แน่นกว่าเดิมเรื่อยๆ “หึ! พูดเก่งแบบนี้สินะ พ่อฉันถึงอยากจะเก็บเธอไว้ใกล้ตัว” “คุณพูดอะไรของคุณ ปล่อยฉันนะ!” “หึ! โตขึ้นเยอะเลยนะ เกวลิน” นอกจากจะพูดจาไม่ให้เกียรติกันแล้ว สายตาของคนตัวสูงยังไล่ต่ำลงมองสิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากผ้าขนหนู และกำลังแนบชิดอยู่กับตัวของของคนตรงหน้า สายตาแบบนี้! น่ารังเกียจที่สุด! “ปล่อยฉันนะคุณคิม! ทำแบบนี้มันมากเกินไปแล้วนะคะ” ฉันยังคงดีดดิ้นเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากอ้อมแขนของคนตัวสูง “หึ!” คนตัวสูงยังคงจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เป็นสายตาเหมือนที่เสือกำลังมองเหยื่อของตัวเอง ยิ่งเขายกยิ้มมุมปากขึ้นมาแบบนั้น ฉันรับรู้ได้ในทันทีเลยว่าฉัน…กำลังจะซวยแน่ๆ ฟุ่บ! แล้วหลังจากนั้น จู่ๆคนตัวสูงปล่อยมือที่กอดเอวฉันเอาไว้แน่นในตอนแรกโดยทันที พรึ่บ!! แต่เพราะผลจากการที่ฉันพยายามดีดดิ้นเพื่อหลุดจากพันธนาการของคนตัวสูง กลับทำให้ปมผ้าขนหนูที่ถูกผูกไว้ลวกๆในตอนแรกคลายออก เมื่อคนตัวสูงปล่อยมือออกกะทันหัน ผ้าขนหนูที่พันตัวฉันเอาไว้ก็ร่วงลงไปบนพื้นห้องในที่สุด “กรี๊ดดดด!!” ฉันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะตอนนี้ร่างกายของฉันมันเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าคนตัวสูงซะได้ พรึ่บ!! เมื่อตั้งสติได้ก็ไม่รอช้าที่จะก้มลงไปหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพันร่างของตัวเองเอาไว้ทันที “หึ! พรุ่งนี้อย่าสายล่ะ! คงยังไม่ลืมใช่มั้ยว่าต่อไปนี้ เธอเป็นของฉัน!!” ฉันเกลียดเขาที่สุด! เกลียดสายตานั่นที่สุด! สายตาที่ดูสนุกเวลาที่เห็นฉันตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางสู้ สายตาที่มองมาด้วยความดูถูกเหมือนเจ้าของที่กำลังมองดูสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ที่สุดเลย!!!ณ บ้านคิมหันต์ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยูในบ้านของคุณคิมหันต์ บ้านเล็กที่ใหญ่โตโอ่อ่าไม่แพ้บ้านใหญ่ของท่านประธาน ในที่สุดฉันก็ถูกย้ายให้มาอยู่ที่นี่จนได้“คุณคิมไม่ได้บอกให้ป้าเตรียมห้องไว้ ยังไงคืนนี้หนูนอนในห้องนี้ไปก่อนล่ะกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าทำความสะอาดห้องให้หนูเสร็จแล้ว ค่อยย้ายไปอีกห้อง” ป้ากานเป็นแม่บ้านที่บ้านของคุณคิมหันต์ ป้ากานเป็นคนที่คอยแนะนำฉันทันทีที่ฉันมาถึงที่นี่ และยังเป็นคนพาฉันมาที่ห้องพักอีกด้วย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ห้องไหนหนูก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ” “ถ้างั้น…เดี๋ยวเก็บของเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมขึ้นไปหาคุณคิมที่ห้องด้วยนะ” “ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” สิ้นเสียงของฉันป้ากานก็หันหลังเดินออกไปจากห้องตุบ!! ทันทีที่ป้ากานเดินออกไปจากห้อง ฉันรีบเดินเข้ามาทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ้อออ! เหนื่อยชะมัด” ฉันเดินทางมาที่นี่พร้อมกับคุณคิมหันต์ แค่สองคน! ตลอดระยะเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ฉันต้องนั่งรถมากับเขา รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก แค่เห็นหน้าเขา ไม่สิ! แค่ได้ยินชื่อเขาแค่นั้น มันก็ทำให้ฉันหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งเกลียด
คิมหันต์ จุดเริ่มต้นของความเกลียดและความกลัวที่ฉันมีต่อผู้ชายคนนี้…มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? พอมาคิดๆดูแล้ว…มันเริ่มตั้งแต่แรกเลยนี่ ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลอัศวนันทร์เลยด้วยซ้ำ “เกวลิน! ต่อไปนี้เธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้นะ ฉันจะส่งเสียเลี้ยงดูเธอเอง” นี่คือคำพูดของคุณกรณ์หรือท่านประธานที่พูดกับฉันไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน เมื่อเจ็ดปีก่อนฉันสูญเสียพ่อไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อฉันถูกคนขับรถของตระกูลอัศวนันทร์ขับรถชนจนเสียชีวิต หลังจากงานศพพ่อหนึ่งอาทิตย์ ฉันกับแม่ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ฉัน…สูญเสียแม่ไปด้วยอีกคน ส่วนตัวฉัน…ฉันจำเหตุการณ์ตอนที่ตัวเองโดนรถชนไม่ได้เลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้ว ภายในเวลาแค่เดือนเดียวฉันสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปทั้งคู่ เหตุการณ์นี้มันสร้างความเจ็บปวดให้ฉันที่อายุแค่สิบสามปีในตอนนั้นเป็นอย่างมาก เพราะชีวิตฉันนอกจากพ่อแม่แล้วฉันก็ไม่เหลือใครให้พึ่งพิงอีกเลย จนกระทั่ง…คุณกรณ์ คนที่เป็นเจ้านายของคนที่ขับรถชนพ่อฉันเข้ามาหา เขาบอกว่าเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ลูกน้องเขาทำไป เลยต้องการจะร
ปริบๆ! ฉันกำลังนอนกระพริบตาไปสองสามทีมองไปยังเพดานห้องที่ไม่คุ้นเคย ความจริงก็ลืมตามาได้สักพักแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง? แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน? “โอ้ย!!” ฉันพลิกตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่กลับต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำไมมันปวดหลังอย่างงี้เนี่ย?!ฟุ่บ!! แม้จะปวดหลังแต่ก็พยายามพยุงตัวขึ้นมานั่งได้สำเร็จ แต่เมื่อก้มลงไปมองข้างล่าง ฉันถึงได้รู้ว่าทำไมฉันถึงได้ตื่นมาแล้วปวดหลังขนาดนี้ …พื้น! ใช่! ฉันนอนบนพื้น! ขวับ!! และพอเงยหน้าขึ้นไปสังเกตรอบๆห้องก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ฉันมานอนอยู่ที่ไหน? นี่มันห้องของอีตานั่นนี่ ฉันกำลังนอนอยู่บนพื้นในห้องของอีตาคิมหันต์นั่น อ่อ! ฉันจำได้ล่ะ! ฉันจำได้ว่าตัวเองเกิดอาการหายใจไม่ออก(กลัวแหละ)แล้วก็สลบไปต่อหน้าอีตานั่น! ตรงนี้เลย! ตรงที่ฉันกำลังนั่งอยู่นี่เลย! เฮอะ! อย่าบอกนะว่าหลังจากฉันสลบไปอีตานั่นคงปล่อยให้ฉันนอนอยู่ที่เดิมอย่างนี้มาตลอดเลยเหรอ? แต่ก็อย่างที่รู้แหละนะ คนใจร้ายแบบเขาไม่มีทางสนใจคนที่นอนสลบจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าหรอก ฉันรู้ดี! “ไอ้คนเฮงซวย!!” “ฟื้นแล้วเหรอ?”“เฮ้ย!!” เสียงที่ดังขึ้นมาทำฉันตกใจจนสะดุ้ง และเมื่
ความมืดมิดในยามค่ำคืน ความเงียบสงัดกำลังกัดกินบรรยากาศให้น่าขนลุกยิ่งขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด…สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้ คงหนีไม่พ้นสายตาคู่นั้นของคนตัวสูง ที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันอย่างไม่วางตาตึก!ตึก!ตึก! เสียงฝีเท้าของเขาที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ฉันตัวแข็งทื่อจนขยับไปไหนไม่ได้“เธอเกลียดฉันมากเลยเหรอ? เกวลิน” ระยะห่างของเราสองคนที่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบ เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเรียบนิ่ง โดยเฉพาะแววตาเหยียดหยามที่จ้องมองที่ฉันราวฉันเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวเล็กคู่นั้นของเขา ทำฉันรู้สึกเกลียดที่สุด! เกลียดจนแทบจะไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำไป“ใช่ค่ะ! เกลียด ฉันเกลียดคุณที่สุด”“หึ! แต่ฉันชอบนะ ชอบ…เวลาที่เธอทำท่าทีเกลียดฉันจนจะตาย” นิสัยน่ารังเกียจตอนนี้ของเขาก็เหมือนกัน มันทำฉันเกลียดจนขยาดจะแย่“ทำไมคะ? ทำไมคุณต้องคอยหาเรื่องฉันอยู่เรื่อยด้วย ทำไมต้องมาคอยแกล้งฉันตลอดเวลาด้วย!!” ตั้งแต่ฉันเข้ามาในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะอยู่อย่างสงบสุข โดยที่ไม่โดนคนๆนี้เข้ามาคุกคาม“เพราะสนุกไง!” คำพูดของเขาทำฉันกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “ถ้าฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ ฉันจะไม่มีวันกลับมาเ
ชีวิตของคนปกติทั่วไปอาจจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยยังชีพที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน บางคนอาจจะเป็นเพราะความรัก แต่สำหรับชีวิตของฉัน…มันถูกขับเคลื่อนด้วยคำว่าหนี้บุญคุณแค่นั้น ฉันมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะหนี้บุญคุณ และไอ้คำว่าหนี้บุญคุณเนี่ยแหละ ที่พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปจากฉัน ทั้งความรัก ทั้งเพื่อน ทั้งเงิน โดยเฉพาะ…อิสระ ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ในตระกูลยิ่งใหญ่ที่อันตรายแบบนี้ สิ่งเดียวฉันเฝ้าคอยมาตลอดก็คือ…อิสระ แม้ท่านประธานจะเป็นคนที่มีบุญคุณกับฉันมากๆ แต่ตลอดระยะเวลากว่าเจ็ดปีที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจงรักษ์ภักดีต่อท่านประธาน และตระกูลมาเสมอ จนเมื่อถึงตอนนี้…ตอนที่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้ว ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตที่อิสระของตัวเองสักที ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไปบ้าง“ฮู่ววว!!” ฉันถอนหายใจออกมาเพื่อเตรียมความพร้อม พลางกระชับแก้วน้ำชาที่อยู่ในมือให้แน่นไม่ให้มันสั่นไหว เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะไปทำสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของฉันที่สุด นั่นก็คือ…การร้องขออิสระจากผู้มีพระคุณของฉันนั่นเอง ก๊อกๆๆ! ฉันค่อยๆยกมือขึ้นไปเคาะประตูห้องท่านประธานสามครั้งตามปกติ
ปริบๆ! ฉันกำลังนอนกระพริบตาไปสองสามทีมองไปยังเพดานห้องที่ไม่คุ้นเคย ความจริงก็ลืมตามาได้สักพักแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง? แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน? “โอ้ย!!” ฉันพลิกตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่กลับต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำไมมันปวดหลังอย่างงี้เนี่ย?!ฟุ่บ!! แม้จะปวดหลังแต่ก็พยายามพยุงตัวขึ้นมานั่งได้สำเร็จ แต่เมื่อก้มลงไปมองข้างล่าง ฉันถึงได้รู้ว่าทำไมฉันถึงได้ตื่นมาแล้วปวดหลังขนาดนี้ …พื้น! ใช่! ฉันนอนบนพื้น! ขวับ!! และพอเงยหน้าขึ้นไปสังเกตรอบๆห้องก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ฉันมานอนอยู่ที่ไหน? นี่มันห้องของอีตานั่นนี่ ฉันกำลังนอนอยู่บนพื้นในห้องของอีตาคิมหันต์นั่น อ่อ! ฉันจำได้ล่ะ! ฉันจำได้ว่าตัวเองเกิดอาการหายใจไม่ออก(กลัวแหละ)แล้วก็สลบไปต่อหน้าอีตานั่น! ตรงนี้เลย! ตรงที่ฉันกำลังนั่งอยู่นี่เลย! เฮอะ! อย่าบอกนะว่าหลังจากฉันสลบไปอีตานั่นคงปล่อยให้ฉันนอนอยู่ที่เดิมอย่างนี้มาตลอดเลยเหรอ? แต่ก็อย่างที่รู้แหละนะ คนใจร้ายแบบเขาไม่มีทางสนใจคนที่นอนสลบจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าหรอก ฉันรู้ดี! “ไอ้คนเฮงซวย!!” “ฟื้นแล้วเหรอ?”“เฮ้ย!!” เสียงที่ดังขึ้นมาทำฉันตกใจจนสะดุ้ง และเมื่
คิมหันต์ จุดเริ่มต้นของความเกลียดและความกลัวที่ฉันมีต่อผู้ชายคนนี้…มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? พอมาคิดๆดูแล้ว…มันเริ่มตั้งแต่แรกเลยนี่ ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลอัศวนันทร์เลยด้วยซ้ำ “เกวลิน! ต่อไปนี้เธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้นะ ฉันจะส่งเสียเลี้ยงดูเธอเอง” นี่คือคำพูดของคุณกรณ์หรือท่านประธานที่พูดกับฉันไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน เมื่อเจ็ดปีก่อนฉันสูญเสียพ่อไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อฉันถูกคนขับรถของตระกูลอัศวนันทร์ขับรถชนจนเสียชีวิต หลังจากงานศพพ่อหนึ่งอาทิตย์ ฉันกับแม่ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ฉัน…สูญเสียแม่ไปด้วยอีกคน ส่วนตัวฉัน…ฉันจำเหตุการณ์ตอนที่ตัวเองโดนรถชนไม่ได้เลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้ว ภายในเวลาแค่เดือนเดียวฉันสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปทั้งคู่ เหตุการณ์นี้มันสร้างความเจ็บปวดให้ฉันที่อายุแค่สิบสามปีในตอนนั้นเป็นอย่างมาก เพราะชีวิตฉันนอกจากพ่อแม่แล้วฉันก็ไม่เหลือใครให้พึ่งพิงอีกเลย จนกระทั่ง…คุณกรณ์ คนที่เป็นเจ้านายของคนที่ขับรถชนพ่อฉันเข้ามาหา เขาบอกว่าเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ลูกน้องเขาทำไป เลยต้องการจะร
ณ บ้านคิมหันต์ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยูในบ้านของคุณคิมหันต์ บ้านเล็กที่ใหญ่โตโอ่อ่าไม่แพ้บ้านใหญ่ของท่านประธาน ในที่สุดฉันก็ถูกย้ายให้มาอยู่ที่นี่จนได้“คุณคิมไม่ได้บอกให้ป้าเตรียมห้องไว้ ยังไงคืนนี้หนูนอนในห้องนี้ไปก่อนล่ะกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าทำความสะอาดห้องให้หนูเสร็จแล้ว ค่อยย้ายไปอีกห้อง” ป้ากานเป็นแม่บ้านที่บ้านของคุณคิมหันต์ ป้ากานเป็นคนที่คอยแนะนำฉันทันทีที่ฉันมาถึงที่นี่ และยังเป็นคนพาฉันมาที่ห้องพักอีกด้วย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ห้องไหนหนูก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ” “ถ้างั้น…เดี๋ยวเก็บของเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมขึ้นไปหาคุณคิมที่ห้องด้วยนะ” “ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” สิ้นเสียงของฉันป้ากานก็หันหลังเดินออกไปจากห้องตุบ!! ทันทีที่ป้ากานเดินออกไปจากห้อง ฉันรีบเดินเข้ามาทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ้อออ! เหนื่อยชะมัด” ฉันเดินทางมาที่นี่พร้อมกับคุณคิมหันต์ แค่สองคน! ตลอดระยะเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ฉันต้องนั่งรถมากับเขา รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก แค่เห็นหน้าเขา ไม่สิ! แค่ได้ยินชื่อเขาแค่นั้น มันก็ทำให้ฉันหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งเกลียด
ซ่าาา!! ฉันปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลรดผ่านใบหน้าและลำตัวไปอย่างช้าๆ พลางใช้เวลาระหว่างนี้นึกถึงคำพูดของท่านประธานที่พูดกับฉันก่อนหน้านี้‘พรุ่งนี้เธอเตรียมตัวย้ายออกจากบ้านใหญ่ไปบ้านเจ้าคิมหันต์มันซะนะ เกวลิน’‘หมายความว่ายังไงคะ?’‘ฉันตกลงกับเจ้าคิมหันต์มันแล้ว ว่าจะยกเธอให้มัน’‘ท่านประธานช่วยฟังเรื่องที่เกวจะขอก่อนได้มั้ยคะ?’‘เฮ้อ…เธอว่ามาสิ’‘ความจริงวันนี้…เกวตั้งใจจะมาขออนุญาติท่านประธาน…ให้เกวออกไปจากตระกูลได้มั้ยคะ?’‘เฮ้อออ!! ฉันรับฟังเธอนะ แต่ตอนนี้…ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเธอแล้ว ฉันยกเธอให้คิมหันต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้น…คนที่เธอจะต้องไปขออนุญาติคือเจ้าคิมหันต์ ไม่ใช่ฉันอีกแล้ว’‘อ่าา เข้าใจแล้วค่ะ’เฮอะ! ฟังดูน่าขำชะมัดว่ามั้ย? สุดท้ายแล้ว…ความหวังที่จะเป็นอิสระของฉันมันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้วๆที่ไม่มีทางเป็นไปได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้านายกับลูกน้อง ผู้มีบุญคุณกับผู้ตอบแทนบุญคุณ มันตัดกันง่ายๆไม่ได้สินะ เฮ้อออ…คนเป็นเจ้านายคงจะทำอะไรกับลูกน้องอย่างฉันก็ได้สินะ จะรับมาเลี้ยงตอนไหนก็ได้ จะยกให้ใครง่ายๆเหมือนสิ่งของก็คงไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วยิ่งเจ้านายคนใหม่ขอ
ชีวิตของคนปกติทั่วไปอาจจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยยังชีพที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน บางคนอาจจะเป็นเพราะความรัก แต่สำหรับชีวิตของฉัน…มันถูกขับเคลื่อนด้วยคำว่าหนี้บุญคุณแค่นั้น ฉันมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะหนี้บุญคุณ และไอ้คำว่าหนี้บุญคุณเนี่ยแหละ ที่พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปจากฉัน ทั้งความรัก ทั้งเพื่อน ทั้งเงิน โดยเฉพาะ…อิสระ ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ในตระกูลยิ่งใหญ่ที่อันตรายแบบนี้ สิ่งเดียวฉันเฝ้าคอยมาตลอดก็คือ…อิสระ แม้ท่านประธานจะเป็นคนที่มีบุญคุณกับฉันมากๆ แต่ตลอดระยะเวลากว่าเจ็ดปีที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจงรักษ์ภักดีต่อท่านประธาน และตระกูลมาเสมอ จนเมื่อถึงตอนนี้…ตอนที่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้ว ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตที่อิสระของตัวเองสักที ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไปบ้าง“ฮู่ววว!!” ฉันถอนหายใจออกมาเพื่อเตรียมความพร้อม พลางกระชับแก้วน้ำชาที่อยู่ในมือให้แน่นไม่ให้มันสั่นไหว เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะไปทำสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของฉันที่สุด นั่นก็คือ…การร้องขออิสระจากผู้มีพระคุณของฉันนั่นเอง ก๊อกๆๆ! ฉันค่อยๆยกมือขึ้นไปเคาะประตูห้องท่านประธานสามครั้งตามปกติ
ความมืดมิดในยามค่ำคืน ความเงียบสงัดกำลังกัดกินบรรยากาศให้น่าขนลุกยิ่งขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด…สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้ คงหนีไม่พ้นสายตาคู่นั้นของคนตัวสูง ที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันอย่างไม่วางตาตึก!ตึก!ตึก! เสียงฝีเท้าของเขาที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ฉันตัวแข็งทื่อจนขยับไปไหนไม่ได้“เธอเกลียดฉันมากเลยเหรอ? เกวลิน” ระยะห่างของเราสองคนที่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบ เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเรียบนิ่ง โดยเฉพาะแววตาเหยียดหยามที่จ้องมองที่ฉันราวฉันเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวเล็กคู่นั้นของเขา ทำฉันรู้สึกเกลียดที่สุด! เกลียดจนแทบจะไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำไป“ใช่ค่ะ! เกลียด ฉันเกลียดคุณที่สุด”“หึ! แต่ฉันชอบนะ ชอบ…เวลาที่เธอทำท่าทีเกลียดฉันจนจะตาย” นิสัยน่ารังเกียจตอนนี้ของเขาก็เหมือนกัน มันทำฉันเกลียดจนขยาดจะแย่“ทำไมคะ? ทำไมคุณต้องคอยหาเรื่องฉันอยู่เรื่อยด้วย ทำไมต้องมาคอยแกล้งฉันตลอดเวลาด้วย!!” ตั้งแต่ฉันเข้ามาในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะอยู่อย่างสงบสุข โดยที่ไม่โดนคนๆนี้เข้ามาคุกคาม“เพราะสนุกไง!” คำพูดของเขาทำฉันกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “ถ้าฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ ฉันจะไม่มีวันกลับมาเ