เก้าเทียนรุ่ยตบมือผู้เป็นมารดาเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้าไปหาท่านรองแม่ทัพหน้าตายที่ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องมิขาดฝัน เขากวาดตามองไปยังทหารผู้ติดตามที่หากจำมิได้ เมื่อแรกเริ่มเดินทางกันมีประมาณห้าคน หากตอนนี้เหลือเพียงแค่สี่ เขายังมิทันจะได้ไถ่ถามสิ่งใดต่อก็ได้ยินเสียงร้องที่จับทิศทางมิได้ดังมา
“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านรองแม่ทัพ”
“ลงมาทำไม กลับขึ้นไปบนรถม้าเดี๋ยวนี้”
“ลงมาดู เผื่อจะช่วยท่านได้บ้างไงขอรับ” ดูเหมือนว่าใบหน้าและสายตาของท่านแม่ทัพจะมิเกรงกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากมิใช่เหล่าทหารผู้ติดตามที่ออกอาการละล้าละลัง หันรีหันขวางคล้ายจะหวาดกลัวกับบางสิ่งบางอย่างเป็นอย่างมาก
“กลับไปอยู่บนรถม้า อย่าให้ข้าต้องจับเจ้าขึ้นไป!”
หากรองแม่ทัพก็มิทันจะได้ทำอย่างที่กล่าวออกมา เสียงร้องจากนายทหารผู้ติดตามก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นว่ามีเถาวัลย์ซึ่งมีหนามแหลมคมเคลื่อนตัวมาอย่างเร็วและรัดเข้าที่ข้อเท้าของนายทหารผู้โชคร้ายพร้อมกับดึงไปอย่างรวดเร็วเกินที่ว่าใครจะช่วยเหลือได้ทันและยังจะมาจากอีกหลายทิศทาง พุ่งตรงมาจุดมุ่งหมายคือทุกคนที่อยู่ในที่นี้ หากเมื่อมาถึงตัวเขากลับหยุดชะงักและรีบหันไปโจมตีผู้อื่น แม้จะสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใด หากดูเหมือนว่าจะมีเถาวัลย์บางส่วนพุ่งตรงไปยังรถม้า
“ท่านแม่!” แม้เขาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแล้ว หากก็ยังมิทันเถาวัลย์ที่โจมตีม้าและล้อขอรถม้าอย่างรวดเร็ว หากโชคดีที่รองแม่ทัพได้ทำการช่วยท่านแม่ได้ก่อนที่ท่านจะตกลงมาได้รับบาดเจ็บ ทว่านายทหารที่มาด้วยตอนนี้เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น
“แม่มิเป็นอันใด เจ้าล่ะเอ้อร์เอ๋อร์”
เก้าเทียนรุ่ยรีบล่ะสายตาจากสิ่งที่เห็นไปให้ความสนใจท่านแม่ที่ตอนนี้หวาดกลัวจนตัวสั่น แม้จะพยายามข่มกลั้นความกลัวที่มีอยู่ หากในดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยน้ำตาและใบหน้าก็ซีดเผือดด้วยเช่นกัน
“ข้ามิเป็นอันใดขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยบอกกับผู้เป็นมารดาก่อนจะรีบวิ่งไปเก็บดาบที่นายทหารผู้ติดตามทำตกไว้มาถือไว้ แขนอีกข้างหนึ่งก็โอบกอดท่านแม่ไว้
“ท่านแม่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ข้าไว้นะขอรับ เถาวัลย์พวกนั้นดูเหมือนจะมิกล้าเข้าใกล้ข้าสักเท่าใด” เขากระซิบบอก ด้วยกลัวว่าเมื่อรองแม่ทัพหน้าตายนั่นได้ยินเข้าแล้วเกิดเข้าใจผิดคิดไปว่าเขาสั่งให้เถาวัลย์พวกนี้มาทำร้ายทุกคนก็เป็นไปได้
“เรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่าเอ้อร์เออร์”
ถึงแม้จะคิดเช่นท่านแม่ หากเก้าเทียนรุ่ยก็มิใช่คนใจดำที่จะมิคิดช่วยเหลือผู้อื่น แม้รองแม่ทัพจะฝีมือดีเพียง ทว่าถูกโจมตีจากทุกทิศทางและมิยอมให้หยุดพักหายใจเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องเหน็ดเหนื่อยและบาดเจ็บอยู่แล้ว หากเขามิคิดทำสิ่งใดสักอย่าง คนพวกนี้ต้องตายกันหมดเป็นแน่ แล้วจะทำอย่างไรดี
เขาคิดทบทวนถึงครั้งนั้น...ใช้วิธีการใดขอร้องให้ต้นไม้ใบหญ้าช่วยเหลือให้ตนเองและท่านแม่ปลอดภัย แต่เวลาจวนเจียนเช่นนี้ สมองกลับตีบตัน ได้แต่มองทหารและรองแม่ทัพรับมือกับเถาวัลย์เหล่านั้นโดยมิอาจช่วยเหลือได้
จะให้เรื่องมันเป็นเช่นนี้มิได้ มันต้องมีหนทางสิ...เขาจะทำยังไงดี คิดให้ออกสิ...
“ทางซ้าย...ซ้ายของท่าน ไม่ใช่ซ้ายของข้า” เก้าเทียนรุ่ยรีบบอกไปเมื่อตั้งสติได้แล้วใจสงบมากพอที่หูจะได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านซ้ายของท่านรองแม่ทัพ
“ด้านหลัง...หลังท่านนั่นแหละ มาทั้งบนและล่างเลย” แม้จะถูกสงสัย เขารู้ได้อย่างไร หากรองแม่ทัพก็ยังมิคิดไถ่ถาม...ในตอนนี้ ด้วยกำลังเร่งจัดการกับเถาวัลย์ตามที่เขาบอกได้จนเกือบจะหมด ยกเว้นเมื่อมันมาพร้อมกันจากหลายทิศทาง โจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรง
“ท่านรองแม่ทัพ!” เก้าเทียนรุ่ยถลาไปจะช่วยอย่างลืมตัวไป จนมิทันได้ระวังเถาวัลย์เส้นหนึ่งที่มาจากด้านหลัง รัดท่านแม่และดึงท่านแม่ไปต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตอนนี้มีบุรุษร่างเล็กในอาภรณ์สีขาวที่ในมือมีพัดเดินออกมาด้วยท่าทางสง่างามยืนอยู่
“ท่านมีความแค้นใด ๆ ที่ต้องสะสางกับท่านรองแม่ทัพก็ทำไป แต่อย่ายุ่งเกี่ยวกับท่านแม่ของข้า...คืนท่านมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยด้วยเพลิงโทสะเมื่อเห็นว่าท่านแม่ถูกเถาวัลย์พวกนั้นรัดจนขยับเคลื่อนกายมิได้
“หือ...หนุ่มน้อยนี่เป็นผู้ใดกัน”
“ข้าจะเป็นผู้ใดมิเกี่ยวกับท่าน ปล่อยท่านแม่ข้า...อย่าให้ต้องกล่าวซ้ำเป็นครั้งที่สาม มิเช่นท่านศพท่านมิสวยแน่” ตอนนี้โทสะที่มีทำให้เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกเหมือนกับว่าในร่างกายมีพลังงานบางอย่างไหลวนเวียนอยู่ มันท้าทายความกล้า มันร้อนเร่า มันฮึกเหิม มันพร้อมที่จะสั่งสอนบางคนให้หลาบจำ!
“ช่างน่ากลัวเสียจริง” บุรุษร่างเล็กกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน อีกทั้งใบหน้าก็คลี่ยิ้มระรื่น “ท่าทางเคร่งขรึมและดุดันกลับน่ามองและน่ากิน...มาก”
สายตาของบุรุษร่างเล็กที่มองเขาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย อีกทั้งเถาวัลย์นั้นรัดท่านแม่จนร่างเล็กบางแทบจะหายไป ก็ยิ่งทำให้เก้าเทียนรุ่ยเกิดโทสะอย่างที่มิอาจระงับไว้ได้
จะแตะใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ห้าม...แตะต้องท่านแม่ของเขา!
“ข้ามิคิดว่าเจ้าจะกล้าเล่นลอบกัดเช่นนี้...เปียวอัน” รองแม่ทัพที่ตอนนี้บาดเจ็บอย่างหนัก มือซ้ายยกขึ้นปาดเลือดที่ริมฝีปากก่อนจะจับหัวไหล่ด้านขวาที่ตอนนี้มีเลือดไหลรินออกมาเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บแค้น
“เจ้าก็รู้ มีสิ่งใดบ้างที่ข้ามิกล้า วันนี้ข้าแค่อยากมาเล่นสนุกกับเจ้า...นิดหน่อยเท่านั้นเอง หากมินึกว่าจะได้เจอ...ของดีเข้า”
“หากมิยอมปล่อยท่านแม่ข้า...ท่านจะได้พบของดีอย่างที่ต้องร้องอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงโหยหวนแน่” แม้จะมิมั่นใจเลยว่าสิ่งที่คิดจะทำร้ายอีกฝ่ายพร้อมกับช่วยเหลือท่านแม่ได้สำเร็จ แต่จะมิให้เขาคิดทำสิ่งใดเลยนะหรือ...มิมีทาง เป็นไปมิได้
รอยยิ้มเยือกเย็นแต้มริมฝีปากบางขณะร่างเล็กเดินไปยังรถม้าที่แม้ว่าไม้ที่ล้อจะแตกหักไปบ้าง หากก็ยังมิเสียหายจนใช้การมิได้ ภายในมีกล่องที่ใส่ยาไว้หลายชนิดที่เก้าเทียนรุ่ยก็ยังงุนงงอยู่มิน้อยว่ามันช่วยรักษาอะไร ก็เขาไม่รู้จักสักนิด
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”