แต่ก็คงจะไม่มีอะไรให้แปลกใจแล้วล่ะ ก็อยู่ดี ๆ เขาเกิดรู้ว่าผักที่ปลูกไว้หลังเรือน ผลไม้ รวมถึงต้นไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไปสามารถนำมาปรุงตัวยาที่สามารถรักษาผู้คนให้หายได้ หากนั้นก็ยังมิเท่ากับความกล้าที่มิรู้ว่ามันมาจากที่ใด ไม่กลัวว่าจะถูกทำร้ายยามที่เอ่ยปากออกไปว่า สามารถรักษาผู้คนที่ป่วยไข้ให้หายได้ ยังดีที่ทุกคนกินเข้าไปแล้วหายจริง ๆ มิตายอย่างที่ปากพาหาเรื่องให้หัวกับตัวขาดจากกัน
เมื่อได้ยาที่ต้องการแล้วเก้าเทียนรุ่ยก็นำไปมอบให้กับท่านรองแม่ทัพและนายทหารที่เหลืออยู่อีกสองคน “หากอยากพาข้าไปทำการปรุงอาหารให้กับนายของท่าน ก็กินยานี่พร้อมกับผักในรถสักสองสามต้น...มินานเลือดก็หยุด พลังก็จะฟื้นคืนด้วยเช่นกัน ส่วนบุรุษผู้นั้น ข้าจะเป็นคนจัดการเอง...กล้าจับท่านแม่ของข้าไป ฮึ...ต่อให้ร้องอ้อนวอนจนเสียงขาดหาย ก็อย่าหวังว่าข้าจะปรานี”
“ประมาณตนหน่อยคุณชายเอ้อร์ อย่าให้ข้าต้องเป็นคนฝังท่านก่อนจะได้ไปทำการรักษานายของข้า”
หากเก้าเทียนรุ่ยกลับส่งยิ้มหวาน...เพียงแค่ปากมิใช่ดวงตาที่มันร้อนผ่าวไปให้กับท่านรองแม่ทัพ
“ท่านนั่นแหละ เงียบปากไปเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนจะมาดูแลผู้อื่นเถอะ”
เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยกับรองแม่ทัพอย่างเอือมระอา บางคนมิได้แสดงออกว่าตนเองเก่ง หากก็มิใช่ว่าจะไร้ฝีมือ เพียงแค่รู้จักเก็บงำมันเอาไว้เท่านั้นแหละ อย่างเช่นเขานี่ไง...หากฝ่ายตรงหน้ามิจับตัวท่านแม่ไป มีหรือที่เขาจะดึงเอาพลังที่ก็มิรู้ว่ามันมาได้ยังไง อีกทั้งหากมิถึงยามคับขันก็มิอาจเรียกออกมาใช้ได้นั่นออกมาใช้ มิอยากให้ผู้อื่นรู้ว่ามีฝีมือ เพราะนอกจากจะมันมิมีประโยชน์แล้วอาจจะเป็นเรื่องมิดีกับเก้าเทียนรุ่ยด้วย
“ข้าว่าท่านแม่คงมิอยากเห็นเหตุการณ์ที่มันเหมือนครั้งนั้นซ้ำอีกครั้ง...หลับตานะขอรับ เดี๋ยวลูกคนนี้จะไปรับท่านแม่กลับมาเอง” ถึงท่านแม่จะหวาดกลัว แต่เมื่อได้สบกับสายตาบุตรชายผู้นี้ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ใบหน้าที่แม้ตอนนี้ตรงหน้าคือเรื่องร้ายแรงอย่างมากหากก็ยังคงยิ้มได้ กับวาจาที่เอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยน มันจะปัดเป่าความหวัดกลัวที่มีของท่านแม่ออกไปได้
“ข้าให้โอกาสท่านอีกครั้ง ปล่อยท่านแม่ของข้า”
“เจ้าไปค้นพบบุรุษหนุ่มหน้าอ่อนผู้นี้มาจากที่ใดกันชิงชวน วาจาช่างโอหังยิ่งนัก เจ้าคงมิว่านะ หากข้าจะช่วยสั่งสอนว่าสิ่งใดควรกล่าวสิ่งใดมิควรกล่าว”
เก้าเทียนรุ่ยหัวเราะเล็กน้อยพลางยกเรียวปากข้างหนึ่งขึ้น เขามองสบสายตากับท่านแม่อีกครั้งและหลับตาลง...
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ต้องปรับตัว บางอย่างมิเคยเป็นก็ต้องหัดเรียนรู้...ด้วยตนเอง ในพลังยุทธ์อย่างผู้อื่นมิมี ก็ต้องใช้ความคิดเป็นตัวกำหนด...
เก้าเทียนรุ่ยหลับตาลง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเชื่องช้าเพื่อรวบรวมสมาธิที่มันกระจัดกระจายออกไปให้เป็นหนึ่งเดียว...เมื่อลืมตาขึ้น เขามิรู้เลยว่าในดวงตานั้นได้เปลี่ยนจากสีดำเป็นเขียวเข้ม รอบดวงตาก็เช่นกัน
เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบาหากเต็มไปด้วยความหนักแน่นและเว้าวอน... ‘ใบหญ้าน้อยเจ้าเอ๋ย มันผู้นั้นทำร้ายดวงใจของข้า เจ้าจัดการให้ข้าได้หรือไม่’
เขาอดที่จะยกริมฝีปากข้างหนึ่งขึ้นมิได้ เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างคาดมิถึงของบุรุษในชุดขาว
ดูถูกผู้อื่นว่าคงมิมีใครเก่งเช่นตนเอง แล้วเป็นอย่างไรเล่า ถึงมิบาดเจ็บด้วยว่าวรยุทธ์สูง จึงสามารถหนีขึ้นที่สูง เลยมิถูกใบหญ้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเปลี่ยนตัวเองให้มีปลายที่แหลมคมตำเท้า หากนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะผู้ที่เป็นนักปรุงอาหารเลิศรสเช่นเขาผู้นี้ยังมีเรื่องสนุกกับเจ้าได้ลิ้มลองอีกเยอะ!
“เจ้าสั่งให้เถาวัลย์พวกนี้เล่นงานรองแม่ทัพกับทหารที่ติดตามมา ข้ามิว่า แต่ท่านล้ำเส้นจับเอาตัวแม่ข้าไป ตอนนี้ข้าขอท่านแม่ข้าคืน...” เก้าเทียนรุ่ยยื่นมือออกไปแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ และเต็มไปด้วยความอ่อนโยนหากขณะเดียวกันก็...เยือกเย็น “พาตัวท่านแม่มาให้ข้า...จับบุรุษผู้นั้นให้ห้อยหัวลง”
“เจ้า!”
อึ้งละสิ...คิดมิถึงใช่ไหมว่าเขาผู้นี้จะสามารถขอร้องให้เถาวัลย์พวกนี้ช่วยเหลือได้ อย่าว่าแต่บุรุษผู้นั้นเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอึ้งไปเหมือนกัน ใครจะคิดล่ะว่ามันจะเป็นไปได้...มิใช่เพียงแค่คุยกับต้นไม้พวกนี้รู้เรื่อง แต่ยังสามารถขอร้อง...มิได้สั่งเลยนะ แต่เป็นการขอร้องด้วยวาจาที่อ่อนโยนหากก็มีความเข้มแข็งให้พวกเขาช่วยเหลือได้
“ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เก้าเทียนรุ่ยปรายสายตาเข้มดุไปยังบุรุษชุดขาวก่อนจะจับไปตามตัวท่านแม่ดูว่ามีบาดแผลหรือไม่ หากว่าแค่มีรอย...เลือดไหลออกจากตัวแม่หยดเดียว ขาจะมิวันให้อภัยบุรุษตรงหน้าแน่ หากเพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับท่านแม่ เขาก็เลยบอกกล่าวให้เถาวัลย์เหล่านั้นเหวี่ยงบุรุษชุดขาวไปมาอยู่หลายรอบ ที่ล้วนแล้วแต่กระแทกเข้ากับต้นไม้ทุกครั้ง
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ทำไมถึงได้สั่งเถาวัลย์พวกนี้ได้”
“ข้าเป็นผู้ใด มิสำคัญ หากข้าเตือนเจ้าแล้ว หากเจ้าก็มิยอมฟัง ตอนนี้ก็รับกรรมที่ตนเองทำเอาไว้เถอะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างมิสนใจเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและเจ็บใจของบุรุษชุดขาวที่มินานก็เปลี่ยนเป็นอ้อนวอนขอให้เขารีบปล่อย เมื่อเห็นว่ามิอาจสู้ได้
“ท่านรองแม่ทัพไหวแล้วใช่ไหม เช่นนั้นเราก็เดินทางกันต่อเถอะ...เราไปกันเถอะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยรีบประคองท่านแม่ไปยังรถม้าที่น่าจะยังพอให้ท่านแม่นั่งไปได้โดยมิสนใจบุรุษผู้นั้นเลย
“มัวแต่งุนงงอันใดกัน รีบไปกันได้แล้ว...อ๋อ อย่าลืมรถใส่ผักข้าด้วยนะ” เก้าเทียนรุ่ยสั่งความด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงก่อนจะเอนตัวลงนอนวางศีรษะลงบนตักท่านแม่และหลับตาลง หากยังมีสติพอรู้ว่าท่านแม่กล่าวสิ่งใด...
“ท่านรองแม่ทัพ รีบเดินทางเถอะเจ้าคะ ระหว่างนี้เอ้อร์เอ๋อร์จะต้องพักผ่อนเอาแรง” แล้วมือเล็กนุ่มข้างหนึ่งก็วางทาบบนสองมือของบุตรชายที่วางอยู่บนหน้าอก อีกมือก็ลูบขมับเก้าเทียนรุ่ยเบา ๆ
อา...สบายจัง
“ท่านแม่อย่าลืมบอกให้พวกเขาเตรียมอาหารที่อร่อย ๆ มาให้ข้าด้วยนะขอรับ” ตอนนี้เขาขอหลับก่อนละ มิไหวแล้ว...เหนื่อยมากถึงมากที่สุด
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”