เมื่อขึ้นมาบนห้องปราญติญาก็รีบแปรงฟันและบ้วนปากอยู่หลายรอบหญิงสาวไม่คิดเลยว่ารัฐภูมิจะกล้าทำแบบนั้นกับเธอในลานจอดรถจูบของเขามันไม่ได้อ่อนหวานเร่าร้อนหรือประทับใจตรงไหนเลยสักนิด มันมีแต่ความรู้สึกเกลียดขยะแขยง
ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งโกรธยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นรู้สึกผิดที่ไม่ฟังคำเตือนของพรชนกที่บอกว่าผู้ชายคนนี้ดูท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจแต่หญิงสาวก็บอกเพื่อนไปว่าเขาเป็นคนคุยเก่งร่าเริงก็เลยดูเหมือนจะเจ้าชู้ ตอนนั้นเธอเถียงพรชนกและเข้าข้างรัฐภูมิแต่พอมาวันนี้กลับรู้สึกได้เลยว่าถ้าหากเชื่อคำพูดของเพื่อนตั้งแต่แรกตนเองก็ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้
ปราญติญาเอามือจับริมฝีปากของตนเองจากนั้นก็นึกถึงจูบของผู้ชายอีกคนหญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครชื่ออะไรแต่จูบของเขามันทำให้เธอรู้สึกดีมากๆ จูบของเขาเร่าร้อนหนักหน่วงบางครั้งก็อ่อนหวานและมันยังติดอยู่ในความทรงจำของเธอ
แม้จะเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเพราะฤทธิ์ยาและแอลกอฮอล์ทำให้ตาพร่ามัวไปหมดอีกทั้งบริเวณหน้าห้องน้ำแสงก็ไม่สว่างมากเท่าไหร่ แต่เธอจำความรู้สึกทุกอย่างได้ดี กลิ่นกายของเขาน้ำหอมของเขามันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด หญิงสาวพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านแต่เมื่อเผลอทีไรก็กลับคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงร่านรักที่คิดถึงความทรงจำในคืนนั้นอยู่ตลอดถ้าหากมีคนอื่นรู้คงได้หัวเราะเยาะเธอแน่ๆ
ปราญติญาเริ่มเป็นกังวลกับการไปงานเลี้ยงของโรงเรียนเพราะถ้าหากไปเจอกับเขาแล้วเธอจะทำหน้ายังไง แต่บางทีรูปถ่าย ที่อยู่ในห้องนั้นอาจจะไม่ใช่รูปถ่ายของเขาก็ได้เพราะห้องนั้นค่อนข้างกว้างอาจจะมีผู้อาศัยอยู่ในนั้นหลายคน เธอภาวนาให้ผู้ชายที่นอนด้วยไม่ใช่เพื่อนในชั้นเรียนของเธอ
หญิงสาวนอนคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเผลอหลับและตื่นมาอีกครั้งในเวลาเช้าซึ่งวันนี้หญิงสาวต้องไปขึ้นเวรก่อน 08:00 น.
เธอเดินลงจากหอพักแวะทานข้าวที่ร้านข้าวแกงก่อนจะเข้ามา มาในโรงพยาบาล
“อ้าวคุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะหรือแผลมีเลือดออก” เธอตกใจเมื่อเจอกับผู้ชายคนที่มาเย็บแผลเมื่อวานตอนค่ำ
“เมื่อวานผมจ่ายเงินแล้วลืมเอายา วันนี้ก็เลยรีบมาเอายาแต่เช้า”
“แล้วเมื่อคืนไม่ปวดแผลเหรอคะ”
“ปวดครับแต่ผมมียาแก้ปวดที่ห้อง”
“คุณมียาก่อนอาหารนะคะถ้ายังไงก็อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลาด้วย ยาแก้อักเสบต้องทานให้หมดส่วนยาแก้ปวดก็ทานตอนปวดหรือรู้สึกมีไข้แผลไม่มีเลือดออกใช่ไหม”
“ไม่รู้เหมือนกันคุณช่วยดูให้ผมหน่อยสิ” เขานั่งลงตรงเก้าอี้สำหรับผู้มารอรับบริการ ปราญติญาเดินเข้ามาใกล้และดูแผลให้เขา
“แผลปกติดีไม่มีเลือดซึมหรอกค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ฉันลืมบอกคุณอีกอย่างอย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ” เธอพูดกับเขาแต่ชายหนุ่มก็ยังนิ่งและจ้องหน้าเธอเหมือนกำลังต้องการอะไรสักอย่าง
“เราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ” ภาณุวิชญ์ถามเพราะรู้สึกคุ้นเสียงคุ้นหน้าอีกทั้งกลิ่นน้ำหอมของเธอมันทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อคืนก่อน
“เราเจอกันเมื่อวานไงคะ”
“ผมไม่ได้หมายถึงเจอกันเมื่อคืนผมหมายถึงเจอกันข้างนอก”
“ไม่น่าจะใช่นะคะฉันไม่เคยเจอคุณเลย คุณอาจจะจำคนผิดก็ได้”
ภาณุวิชญ์มองหน้าเธอซึ่งวันนี้ปราญติญาแต่งหน้าอ่อนๆ ต่างจากผู้หญิงที่เจอคืนนั้นมาก ชายหนุ่มก็มั่นใจไปแล้ว 80% ว่าผู้หญิงคนนี้คือคน ที่เขากำลังตามหาและเขาจะต้องพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ บางทีเธออาจจะอายจนไม่กล้ายอมรับหรืออีกกรณีหนึ่งก็คือคืนนั้นด้วยฤทธิ์ของยาทำให้เธอจำอะไรไม่ได้
“ถ้างั้นผมน่าจะจำคนผิด ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแผลให้ คุณบอกว่าแผลห้ามโดนน้ำใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“หัวผมคงเน่าแน่” ชายหนุ่มพูดแล้วยิ้ม
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณก็ไปให้ร้านสระผมสระให้สิคะหรือไม่ก็ให้คนที่บ้านสระให้ก็ได้”
“นั่นสิผมลืมไปเลยว่าคนที่บ้านผมก็น่าจะช่วยสระผมได้”
“ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ อย่าลืมมาตัดไหมตามนัดนะคะ”
“ขอบคุณครับ” ภาณุวิชญ์ยิ้มให้กับหญิงสาวจากนั้นก็ขับรถกลับมาที่บ้าน
พอเดินเข้ามาก็เจอกับมารดาที่กำลังเดินดูคนงานตัดแต่งกิ่งต้นไม้อยู่บริเวณหน้าบ้าน
“ณุมาแต่เช้าเลยวันนี้ไม่ไปทำงานเหรอลูก”
“ไปครับแม่ แต่ผมว่าจะให้มาช่วยสระผมให้หน่อย”
“ทำไมต้องให้แม่สระผมให้โตจนป่านนี้แล้วนะ”
“แม่ครับดูนี่สิผมมีแผลนะ”
“ตายจริงไปโดนอะไรมาเจ็บมากไหม”
“เมื่อวานเกิดอุบัติเหตุที่ไซต์งานนิดหน่อยครับ”
“ไปหาหมอมาแล้วใช่ไหม”
“ผมไปหาหมอมาตั้งแต่เมื่อวานหมอเย็บแผลให้แล้วแต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหัวตัวเองกำลังจะเน่าจะไปให้ร้านสระก็กลัวเขาทำไม่ดีแม่ช่วยสระผมให้หน่อยได้ไหมครับ” ชายหนุ่มทำเสียงอ้อนเพราะรู้ว่ามารดาจะต้องตามใจ
“ว่าแต่มีแผลแค่ที่หัวใช่ไหม” คุณวิภาวีถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“ที่หัวที่เดียวครับแม่”
“เช้านี้แล้วกินข้าวมาหรือยัง”
“ยังเลยพอดีเมื่อวานลืมยาไว้ที่โรงพยาบาลเช้านี้ก็เลยแวะเข้าไปเอายาและว่าจะมาขอข้าวมากินที่นี่วันนี้ในครัวมีอะไรกินบ้างครับ”
“มีกับข้าวหลายอย่างเลยเข้าไปข้างในกันเถอะจะได้รีบกินข้าวและเดี๋ยวแม่จะสระผมให้” มารดาของชายหนุ่มเดินนำลูกชายเข้าไปในครัวจากนั้นก็นั่งดูใช้ลงทานข้าวจนอิ่มก่อนจะพาเขาไปสระผม
“แม่ได้ข่าวว่าโรงเรียนเก่าของลูกจะจัดงานครบรอบ 50 ปีใช่ไหม” คุณวิภาวีถามลูกชายหลังจากสระผมให้เขาเสร็จแล้วและตอนนี้พากันมานั่งในห้องรับแขก
“ใช่ครับแม่”
“แล้วลูกจะไปร่วมงานของโรงเรียนหรือเปล่า”
“ไปครับแม่มีอะไรหรือเปล่า”
“แม่อยากฝากเงินไปบริจาคให้กับโรงเรียนหน่อยบริจาคเป็นชื่อลูกเลยนะ”
“ไม่ดีกว่าครับแม่ผมว่าบริจาคในนามของบริษัทน่าจะดีกว่าคนจะได้รู้จักบริษัทเรามากขึ้นด้วยนะครับ”
“ที่แม่ทำบุญแม่ไม่ได้หวังจะให้ใครรู้จักบริษัทเราหรอกนะใช้ชื่อของลูกไปก็แล้วกัน”
“แม่จะบริจาคเท่าไหร่ครับ”
“แม่ไม่ว่าจะบริจาคแสนหนึ่ง”
“ถ้างั้นผมช่วยแม่อีกหนึ่งแสนดีไหม”
“ดีสิ แต่ลูกลองถามพี่ชายกับพี่สาวของลูกสิว่ามีใครอยากบริจาคไหม”
“สองคนนั้นเขาไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้นะผมไม่อยากรบกวน” พี่ชายและพี่สาวของเขาเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใหญ่กว่าและมีชื่อเสียงมากกว่า
“ลองถามดูนะเผื่อเขาจะบริจาคโรงเรียนของลูกก็จะได้ผลประโยชน์”
“ก็ได้ครับแม่” ภาณุวิชญ์ไม่ได้เรียนโรงเรียนใหญ่เหมือนกับพี่ชายพี่สาวทั้งสองคน เขาเรียนโรงเรียนเล็กๆ เพราะมีเพื่อนสนิทเรียนอยู่ที่นั่นและไม่อยากตื่นเช้าเข้ามาเรียนในตัวจังหวัด แม้มารดาจะพยายามคะยั้นคะยอให้สอบเข้าโรงเรียนใหญ่แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธและบอกกับบิดามารดาว่าเรียนโรงเรียนไหนมันก็เหมือนกันและเขาก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่าถึงแม้จะจบจากโรงเรียนขนาดเล็กแต่พอถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศในคณะที่ตนเองต้องการได้
ปราญติญาขับรถมาส่งพรชนกที่หน้าโรงพยาบาลเพราะใกล้จะถึงเวลาที่แฟนของเธอเลิกงานพอดี“บุ๋มดีใจกับป่านด้วยนะ”“ขอบใจจ้ะ ป่านก็ต้องขอบคุณบุ๋มมากถ้าบุ๋มไม่บอกให้ณุตามป่านไปที่สมุยป่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง”“ป่านโชคดีมากๆ นะที่ณุเข้ามาช่วยไว้”“ใช่ป่านโชคดีมากทั้งเขาช่วยป่านไว้ทั้งคืนนั้นที่ป่านโดนยาปลุกเซ็กซ์และครั้งที่โดนผู้ชายเมาเข้ามาทำร้าย ถ้าไม่ได้ณุเข้ามาป่านคงแย่”“เพราะแบบนี้ป่านถึงยอมใจอ่อนแล้วยกโทษให้เขา”“มันก็มีส่วนอยู่นะแต่ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ป่านห่างจากณุป่านก็ไม่เคยลืมเขาได้เลย บุ๋มว่ามันเร็วไปไหม”“ไม่หรอกนะป่านกับณุไม่ใช่เพิ่งรู้จักกันสักหน่อย ทั้งสองคนรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้วเพียงแต่ว่าแยกย้ายกันไปและกลับมาเจอกันอีกครั้ง บุ๋มบอกแล้วว่าคนเป็นเนื้อคู่กันยังไงวันหนึ่งก็ต้องกลับมาเจอกันอยู่ดี บุ๋มใจด้วยมากๆ บุ๋มไปก่อนนะ”เมื่อพรชนกลงจากรถไปแล้วปราญติญาก็ขับรถกลับมาที่คอนโดมิเนียมของภาณุวิชญ์อีกครั้งเมื่อมาถึงชายหนุ่มก็อาบน้ำสวมชุดนอนรออยู่แล้ว “วันนี้เป็นยังไงบ้างปวดแผลหรือเปล่า”“ไม่ปวดเลย ผมนอนทั้งวันจนจะปวดหลังแล้ว”“อดทนหน่อยนะยิ่งพักผ่อนเยอ
ปราญติญาและพรชนกนั่งคุยกันต่อไม่นานก็มีอุบัติเหตุเข้ามาที่ห้องฉุกเฉินเสียก่อนทั้งสองคนจึงรีบวิ่งออกมาทำงานซึ่งกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ถึงเวลาลงเวรเช้าพอดี“บุ๋มอยากไปเยี่ยมณุมั้ย”“จะดีเหรอ”“ดีสิณุต้องดีใจมากๆ ที่บุ๋มไปเยี่ยม”“จะไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปใช่ไหม”“ไม่หรอกน่าเดี๋ยวป่านขอโทรถามณุก่อนว่าอยากจะกินอะไรเราจะได้ซื้อไปกินที่นั่น ว่าแต่บุ๋มจะไปกับป่านได้หรือเปล่าล่ะ”“ได้สิวันนี้พี่อรรถลงเวรสองทุ่มบุ๋มมีเวลาให้ป่านเยอะเลย ไปเยี่ยมณุหน่อยก็ดีเหมือนกัน”ปราญติญาโทรศัพท์ไปหาภาณุวิชญ์และบอกว่าจะชวนพรชนกมาทานอาหารเย็นด้วยชายหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะพรชนกก็คือเพื่อนของเขาและถ้าไม่มีเธอเขากับปราญติญาก็คงยังไม่เข้าใจหญิงสาวแวะซื้ออาหารที่ร้านด้านหน้าโรงพยาบาลก่อนจะขับรถพาพรชนกไปยังคอนโดมิเนียมของภาณุวิชญ์“เป็นยังไงบ้างเจ็บหนักเลยใช่ไหม” พรชนกทักทายภาณุวิชญ์ที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก“ก็นิดหน่อยนะแต่เจ็บครั้งนี้มันคุ้มมากๆ เลยนะ” เขาพูดแล้วมองหน้าปราญติญาแล้วยิ้ม“บุ๋มดีใจด้วยนะที่ป่านกับณุเข้าใจกันตกลงคบกินจริงใช่ไหม”“ผมต้องขอบคุณบุ๋มมากๆ ถ้าบุ๋มไม่ช่วยผมกลับป่านก็คงไม่เข้าใจกันเร็วแ
“ป่านทำไมถึงนอนห่างผมขนาดนั้นล่ะ ขยับเข้ามาใกล้ๆ ได้ไหม นอนห่างแบบนั้นแล้วผมจะกอดได้ยังไง”“ณุลืมอะไรไปหรือเปล่าณุมีแผลอยู่นะ ป่านกลัวจะดิ้นไปโดนแผลจริงๆ แล้วป่านน่าจะออกไปนอนอีกห้องหนึ่งหรือไม่ก็นอนที่ห้องรับแขกด้วยซ้ำ”“ไม่ได้นะ ป่านต้องนอนกับผมถ้าเกิดผมเป็นอะไรขึ้นมาตอนกลางคืนแล้วใครจะช่วยผมล่ะ”“ณุไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วนอนตอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เอาหมอนข้างกั้นไว้แบบนี้ดีแล้วเกิดป่านดิ้นไปโดนแผลขึ้นมามันจะแย่เอานะ”“ทำไมไม่เห็นใจกันเลยนะ ไม่ได้นอนด้วยกันตั้งเดือนกว่าแล้วนะแล้วจะมานอนห่างกันแบบนี้ได้ยังไง”“ณุอย่างอแงเป็นเด็กสิตัวเองเจ็บอยู่นะ”“ก็อยากนอนกอด”“ถ้าณุยังงอแงพูดไม่รู้เรื่องป่านจะออกไปนอนที่ห้องรับแขกแล้วนะ”“ถ้างั้นขอจับมือได้ไหมนิดเดียวนะ”“ได้สิ” ปราญติญาตอบตกลงและให้ภาณุวิชญ์จับมือไว้จนกระทั่งชายหนุ่มหลับสนิทเธอแกะมือเขาออกแล้วห่มผ้าให้เขาจากนั้นก็กลับมานอนอีกฝั่งของเตียงปราญติญาตื่นนอนตั้งแต่เช้าเธอลงไปซื้อแซนด์วิชกับขนมปังมาให้ภาณุวิชญ์ทานเป็นอาหารเช้า ส่วนอาหารกลางวันจะให้เขาสั่งขึ้นมาทานเองเพราะเธอทำกับข้าวไม่เป็นหญิงสาวให้เขาทานยาก่อนอาหารและทาน
“ผมขอโทษนะป่านที่ทำให้การมาเที่ยวสมุยของคุณต้องอุดอู้อยู่แต่ในโรงพยาบาล”“ไม่เป็นไรหรอกอย่างน้อยป่านก็ได้เที่ยวก่อนหน้าที่ณุจะมาแล้ว ว่าแต่ณุเถอะไหวแน่นะที่จะต้องออกโรงพยาบาลวันนี้”“ไหวสิผมไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียวหรอกนะ ป่านกลับกรุงเทพผมก็จะกลับด้วย หมอก็บอกแล้วว่าแผลของผมไม่ได้เป็นอะไรมากกลับไปรักษาตัวที่บ้านหรือโรงพยาบาลที่กรุงเทพก็ได้”“แล้วณุจะเอายังไงต่อจะไปนอนโรงพยาบาลไหมป่านจะได้ให้คุณหมอที่นี่เขาประสานงานให้”“ผมว่าไม่ดีกว่าตอนนี้ผมก็ดีขึ้นมากๆ แล้ว”“แต่ณุต้องกินยาแก้อักเสบให้ตรงเวลาและครบตามที่คุณหมอสั่งให้เข้าใจไหม”วันนี้เธอต้องกลับกรุงเทพตามกำหนดเดิมและภาณุวิชญ์ก็ไม่ยอมอยู่โรงพยาบาลต่อ เมื่อปรึกษาคุณหมอแล้วท่านก็อนุญาตให้เขาออกจากโรงพยาบาลได้แต่ต้องระวังเรื่องแผลและทานยาให้ครบคุณหมอให้ประวัติการรักษาไปด้วยเพราะเขาต้องไปให้หมอที่กรุงเทพตัดไหมให้ตอนนี้เธอเก็บของใช้ของตัวเองลงกระเป๋าเสร็จแล้วส่วนกระเป๋าเดินทางของภาณุวิชญ์ทางรีสอร์ทก็เอามาให้ตั้งแต่วันที่พาตำรวจมาสอบปากคำโรงพยาบาล เรื่องคดีเธอก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจและทางรีสอร์ทจัดการเพราะถึงเวลาแล้วที่หญิงสาวจะต้องบิน
ปราญติญาระบายความรู้สึกของตัวเองออกมาโดยที่หญิงสาวไม่รู้เลยว่าภาณุวิชญ์นั้นรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่เธอกลับมาจากห้องน้ำ ภาณุวิชญ์รู้สึกดีมากที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาว เขาเองก็รู้สึกไม่ได้ต่างจากปราญติญาเลยระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกันหนึ่งเดือนนั้นทำให้เขารู้ใจตัวเองมากขึ้น เขาไม่สามารถลืมเรื่องราวระหว่างตนเองกับหญิงสาวได้เลย เขาตั้งใจไว้ว่าจะตามมาขอโทษเธออย่าจริงจังและขอโอกาสกับปราญติญาอีกครั้ง เขาจะบอกความรู้สึกที่มีกับเธอทั้งหมดเพราะกลัวว่าจะเสียเธอไปภาณุวิชญ์มาถึงสมุยในเย็นวันศุกร์หลังจากเช็กอินที่รีสอร์ทเดียวกับปราญติญาแล้วก็ไปหาเธอที่บ้านพักซึ่งรู้มาจากพรชนกว่าหญิงสาวพักอยู่ที่บ้านหลังไหนเมื่อไปถึงก็ยืนเคาะประตูอยู่นานแต่ทั้งบ้านก็เงียบสนิทชายหนุ่มจึงเดินไปหาเธอบริเวรชายหาดเพราะคิดว่าหญิงสาวน่าจะไปเดินเล่นเขาเดินไปเรื่อยๆ จนเห็นเธอเดินอยู่ที่ชายหาด แต่ก็ไม่ได้ตามเธอในระยะใกล้เพราะกลัวจะรบกวนเวลาของหญิงสาว แต่ก็ไม่คิดเลยว่าการที่เขาทิ้งระยะห่างจากเธอมากนั้นมันจะทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ถ้าหากปราญติญาเป็นอะไรไปเขาคงรู้สึกผิดและให้อภัยตัวเองไม่ได้อย่างแน่นอน“คุณจะหลับแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนนะ น
เพราะมัวแต่ตกใจปราญติญาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าผู้ชายที่เข้ามาช่วยเธอนั้นคือใคร แต่พอพาเขาขึ้นมาบนรถพยาบาลและกำลังตรงไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดพยาบาลที่มาด้วยก็เริ่มซักประวัติชายหนุ่มเพราะกลัวว่าถ้าไปถึงที่โรงพยาบาลแล้วเขาจะหมดสติไปเสียก่อน“คนเจ็บชื่ออะไร อายุเท่าไหร่คะ เคยมารักษาที่นี่ไหม คุณมีบัตรประจำตัวหรือบัตรประกันติดตัวมาหรือเปล่า”“ผมชื่อภาณุวิชญ์อายุ 27 ปี บัตรประจำตัวบัตรประชาชนผมอยู่ในกระเป๋าครับ” เสียงที่ตอบนั้นฟังดูเบาแต่มันก็ทำให้ปราญติญารีบหันหน้าไปมองเธอตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าคนที่นอนเจ็บอยู่ตรงหน้าคือภาณุวิชญ์“ณุมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”ภาณุวิชญ์ยิ้มก่อนจะตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา“ผมมาหาป่าน” เขาตอบเบาๆ เพราะตอนนี้เริ่มเจ็บแผลมากขึ้นเรื่อยๆ“คุณรู้จักกับคนเจ็บเหรอคะ” พยาบาลที่นั่งมาถามขึ้น“ค่ะฉันรู้จักเขา”“ถ้ายังงั้นเดี๋ยวไปถึงโรงพยาบาลคุณช่วยทำประวัติคนไข้ให้ฉันด้วยนะคะ เราอาจจะต้องรีบพาเขาเข้าไปผ่าตัดด่วนเพราะตอนนี้เลือกเขาออกเยอะมาก”“ที่นี่มีคุณหมอประจำห้องผ่าตัดใช่ไหมคะ”“มีค่ะคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ แต่คนไข้ค่อนข้างเสียเลือดมาก คุณเลือกกรุ๊ปอะไรคะพอจะจำได้ไหม” พยาบ