” หากบิดาเจ้ารู้ว่าเจ้าขโมยสุราจะไม่ถูกตำหนิหรือไร “
” แค่สุราร้อยปี ที่บ้านโจวของเรามีสุราพันปี หมื่นปีมากมายเหลือคณานับ อีกอย่างข้าหยิบมาแค่ไหเดียวไม่มีใครรู้หรอกฮ่าฮ่าฮ่า “
เสี่ยวอี้ถือไหสุราเข้ามาในครัวส่งให้เสี่ยวหนี่หมักปลาด้วยสุราร้อยปี เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย
"ปลาต้องทอดให้ผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่ม" เสี่ยวหนี่กล่าว
เสี่ยวหนี่ใช้ผ้าป่านซับปลาให้แห้ง ก่อนคลุกแป้งที่ทำจากข้าวสาลีบาง ๆ แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนจัด เสียงน้ำมันแตกดัง "ฉ่า"อีกครั้ง ไม่นานต่อจากนั้น ปลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อเสี่ยวหนี่ตักปลาขึ้นมาพักไว้ ผิวนอกกรอบกรุบ แต่เนื้อข้างในยังดูฉ่ำขาว
คราวนี้เสี่ยวอี้ถึงกลับลอบกลืนน้ำลายและสองคนแม่ลูกข้าวจี่พากันย้ายก้นเข้ามาในครัวคงได้กลิ่นหอมของปลาทอด
“ปลาทอดหรอกรึ วันนี้เจ้าทำปลาทอดหรอกรึ” ฮูหยินโจวพูดขึ้น
“ไม่ใช่สำหรับพวกท่านและนี่คือปลาสามรสแบบโบราณ และข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านนี้สำรับท่านพ่อและข้ากับเสี่ยวอี้ที่ไปตกปลามาเท่านั้น” จี้เหวินกัดฟันแน่น
เสี่ยวหนียิ้มของดีดีเหมาะกับคนที่ควรคู่เท่านั้น และคนที่ควรคู่หรือไมเสี่ยวหนี่เป็นคนคัดสรร
“เจ้าไม่ให้เรากินแต่ให้คนเร่ร่อนคนนี้ได้ชิมอย่างนั้นหรือ” ตงเจี้ยนขยับตัวด้วยความอึดอัด
“เขาคือแขกของข้า ถอยไปหน่อย จวนจะได้เวลาอาหารของท่านพ่อแล้วข้าจะปรุงซอสสำหรับราดบนเนื้อปลาทอด พวกท่านหากอยากลองชิมก็ควรพูดกับข้าดีๆ ไหม” ตงเจี้ยนถอนหายใจรู้สึกขอบคุณเสี่ยวหนีที่เห็นเขาเป็นแขกและปกป้องเขา
ฮูหยินโจวกัดฟันแน่น
“ข้าเป็นแม่ใหญ่ของเจ้าและนี่คือพี่สาวเจ้า เป็นเจ้าที่ต้องวปฏิบัติกับเราดีดหน่อยมิใช่หรือ” เสี่ยวหนี่ส่ายหน้าไปมา
“นั่นมันปัญหาของท่านข้าไม่ได้อยากจะให้ท่านทำอะไรให้ข้ากินเสียหน่อย จำเป็นด้วยหรือ” เสี่ยวเหวินมองสบตากับมารดาสายตาแค้นเคือง
เสี่ยวหนี่ที่ตอนนี้ใช้สมาธิและจดจ่ออยู่กับการทำอาหาร ตั้งกระทะใหม่ ใส่น้ำมันเล็กน้อย ลงมือผัดขิงและกระเทียมให้หอม จากนั้นเติมน้ำตาลกรวด ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชูดำ และน้ำซุปเล็กน้อย เคี่ยวจนน้ำซอสเริ่มข้นเหนียว
"สีเข้มสวยกำลังดี" เสี่ยวหนี่พยักหน้าก่อนนำปลาที่ทอดแล้วลงไปคลุกเคล้ากับซอส ให้ซอสเคลือบทั่วตัวปลา
"สุดท้าย โรยต้นหอมและพริกชี้ฟ้าแดงหั่นเส้น ทาด๊า! “
ปลาสามรสราดซอสเปรี้ยวหวานในจานสวยไม่ใช่แค่รสชาติหน้าตาของอาหารก็สำคัญ จี้เหวินกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่ก็ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงยั่วน้ำลายสิ้นดี แต่ต้องทำใบหน้าเชิดหยิ่งและเดินออกจากห้องครัวทั้งแม่ทั้งลูก
“ข้าจะไม่ทนกับนางลูกอนุคนนี้อีกแล้ว” ฮูหยินโจวที่พูดขึ้นก่อนทั้งๆ ที่จี้เหวินอยากจะพูดประโยคนี้ก่อนด้วยซ้ำ
“รอโอกาสงามๆ เราค่อยจัดการนางเสีย ตอนนี้รอให้ท่านพ่อตายใจ” สองแม่ลูกจากไปแล้วพร้อมกับความแค้นแคือง
เสี่ยวหนี่หันหน้ามาดูเสี่ยวอี้ที่รับหน้าที่เคี้ยวน้ำซุปแทนมาตลอด เห็นน้ำซุปค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวข้นเหมือนน้ำนมอย่างที่ตั้งใจ
เสี่ยวหนี่ยิ้มแป้นจากนั้นจึงใส่เต้าหู้ขาวที่เสี้ยวอี้หั่นเต๋าเตรียมไว้ลงไป เคี่ยวต่อให้เต้าหู้ดูดซับรสชาติของน้ำซุปในเนื้อ สุดท้ายเติมเกลือและพริกไทยขาวเล็กน้อย ก่อนโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยเพื่อตกแต่งสีสันเหมือนเดิม
"เสร็จแล้ว ซุปนี้ช่วยบำรุงกำลังและอบอุ่นร่างกาย ท่านพ่อต้องชอบแน่" เสี่ยวอี้ยกนิ้วให้ ส่วนตงเจี้ยนเข้ามาชะโงกมองน้ำซุปปลาน้ำนมสีขาวขุ่นเหมือนน้ำนมแต่ไร้กลิ่นคาวแล้วยังหอมยั่วน้ำลายอย่างประหลาด อีกจานคือปลาสามรสที่เนื้อปลาทอดสีเหลืองทองที่ถูกคลุกเคล้าด้วยซอสที่เคี่ยวจนเข้มข้น ทั้งกลิ่นหอมและหน้าตาอาหารชวนลิ้มลอง หันไปวางสำหรับที่จัดเตรียมไว้สำหรับคนสามคนนั้นคือตัวเองเสี่ยวอี้และตงเจี้ยน
“ท่านคนเร่ร่อนรอข้าที่นี่เราจะได้กินพร้อมกันอย่าแอบชิมก่อนน้า ข้าจะมาเมื่อเสิร์ฟสำหรับอาหารให้กับท่านพ่อเรียบร้อยแล้ว” พูดยิ้มๆ พยักหน้ากับเสี่ยวอี้ยกสำรับอาหารยังห้องนอนของโจวหลิวเยว่
ตงเจี้ยนกอดอกหลับตาคาดเดารสชาติอาหารว่าจะรสดีเพียงใดในเมื่อหน้าตาของอาหารและกลิ่นหอมของอาหารที่วางข้างหน้าช่างยั่วใจ ราวกับว่าเสี่ยวหนี่เดาใจเขาถูกนางจึงปรามเขาทีเล่นทีจริงว่าไม่ให้แอบชิม
ที่โต๊ะอาหารเสี่ยวหนี่และเสี่ยวอี้จัดสำรับอาหารวางบนโต๊ะให้เรียบร้อย ซุปปลาน้ำนมในถ้วยเคลือบขาวไอร้อนสีขาวขุ่นลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากถ้วยเคลือบงาม น้ำซุปข้นดุจน้ำนม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของขิงลอยแตะปลายจมูก เต้าหู้ขาวนวลเนียนลอยเด่น ตัดกับสีเขียวของต้นหอมที่โรยประดับอย่างลงตัว
:transparent;color:#000000;">และยังมีปลาสามรสโบราณในจานลายมังกร ปลาทอดตัวใหญ่ทอดจนเหลืองทอง เนื้อกรอบนอกนุ่มในที่ถูกชโลมด้วยซอสสีอำพันข้นเหนียวจนเนื้อปลาขึ้นเงาราวกับหยาดน้ำผึ้งต้องแสงอาทิตย์ กลิ่นหอมของซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำผสมกันอย่างลงตัว ท่านพ่อยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นอาหารตรงหน้าทั้งยังมีอาหารเครื่องเคียงอื่นๆ อีกมาก พยุงโจวหลิวเยว่ยังโต๊ะอาหารที่จัดวางไว้แล้ว
ในห้องที่เต็มไปด้วยความหรูหราและอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้สด ผ้าม่านสีทองยาวสลวยตกลงมาจากเพดานจนถึงพื้น ปูพื้นด้วยพรมแดงเนื้อนุ่ม นั่งอยู่บนแท่นนอนอันใหญ่โต หยางชินอวี้ในชุดอาภรณ์สีทองที่สวมใส่ในพิธีแต่งตั้งสนมอันดับหนึ่งของพระองค์ ดูสง่างามอย่างที่สุด แต่ภายใต้สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงบและความสง่างามนั้น กลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลที่ไม่สามารถปิดบังได้“ฝ่าบาทกำลังจะมาถึงแล้วเพคะ” เสียงนางกำนัลคนหนึ่งบอกดังๆ ออกมาจากนอกห้องหอสีแดงมีริ้วผ้าสีแดงมงคลในห้องที่เต็มไปด้วยความหรูหราและอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้สด ผ้าม่านสีแดงสลวยตกลงมาจากเพดานจนถึงพื้น ปูพื้นด้วยพรมแดงเนื้อนุ่ม หยางชินอวี้ค่อยๆ นั่งลงบนแท่นนอนกว้าง มองผ่านผ้าแดงคลุมหน้าไปรอบๆ เฝ้ารอการมาของเจ้าบ่าวหรือหยางลี่เวลาผ่านไปนานอย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าหยางชินอวี้จะได้ยินเสียงฝีเท้าของขันทีหรือใครก็แล้วแต่ด้านนอกแต่หยางลี่ก็ยังไม่มา ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของหยางลี่หยางชินอวี้ขยับตัวบนแท่นนอน มือกำผ้าคลุมเตียงแน่นจนกลายเป็นสีขาวซีด เรียวแขนสั่นเล็กน้อย หยางชินอวี้นั่งนิ่งทั้งที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร้าวลึกลงไปในหัวใจ ความรู้สึกข
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ขันทีกวงซุนเดินเข้ามาพร้อมกับหยางชินอวี้ที่ถือบัวลอยน้ำขิงเข้ามาในห้อง ดวงตาของหยางชินอวี้ส่องแสงสดใสเหมือนต้องการแสดงความห่วงใย“ฝ่าบาท ข้าทำบัวลอยน้ำขิงมาให้ลองชิมดูหน่อยดีไหมเพคะ” เสียงของหยางชินอวี้ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แสนหวานหยางลี่เหลือบตามองมาที่หยางชินอวี้ แต่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกที่พยายามยับยั้งไว้ได้ บนใบหน้าของหยางลี่มีเพียงสีหน้าเรียบเฉย พยายามไม่ให้ความโกรธที่มีในใจแสดงออกมาหยางลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างนิ่งเฉยไร้อารมณ์“กวงซุน ข้าไม่ได้เรียกให้ใครยกของหวานเข้ามา พานางออกไป”ขันทีกวงซุนที่ยืนอยู่ข้างๆ รับรู้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างสองคน จึงรีบพูดขึ้นด้วยความเกรงกลัว “คุณหนูหยาง โปรดทำตามที่ฝ่าบาท...”หยางชินอวี้ไม่ได้สนใจคำพูดแต่เดินเข้าใกล้โต๊ะหยางลี่ มองเห็นจดหมายที่วางอยู่ใกล้ๆ มือของหยางลี่ รอยยิ้มในดวงตาของหยางชินอวี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป“ฝ่าบาท... ดูสิเพคะ... ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงชอบนะเพคะของหวานยามค่ำที่ฝ่าบาทเคยชอบ” หยางชินอวี้พยายามพูดด้วยเสียงที่อ่อนหวานอีกครั้ง หยางลี่มองหยางชินอวี้ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกด้วยเสียงที่ค่อน
ท่ามกลางความเงียบสงบในห้อง อวี่หรงยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของหยางลี่ อวี่หรงมองมองหยางลี่ที่กำลังพิจารณาจดหมายจากเสี่ยวหนี่ที่เขานำกลับมาจากเมืองโจวแต่ยังไม่ยอมเปิดออกดู มันเหมือนกับการเฝ้าดูการพบปะระหว่างความคิดถึงและความเศร้าโศกที่ซ่อนไว้ลึกภายในของทั้งสองอวี่หรงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มๆ"เสี่ยวหนี่ตอนนี้นางกลายเป็นเฒ่าแก่เนี๊ยะไปเสียแล้ว นางอะนะทำทุกอย่างเพื่อตระกูลโจวและกำลังไปได้สวยทีเดียว นางยังฝากคำพูดให้ข้ามาพูดกับฝ่าบาท… ขอให้ฝ่าบาท...มีความสุขกับชีวิต…'"คำพูดที่ออกมาจากปากของอวี่หรงทำให้หยางลี่เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทอแสงเศร้าราวกับแสงไฟที่เริ่มริบหรี่ จ้องไปที่จดหมายในมือของตัวเอง ท่ามกลางความเงียบที่แผ่ไปรอบๆ หยางลี่ยิ้มออกมา... แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้า เหมือนกับการทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ข้างหลังอวี่หรงมองไปยังหยางลี่ด้วยแววตาที่เข้าใจ ก่อนจะพูดต่อไป"อาจจะเพราะเสี่ยวหนี่กลัวว่า...ฝ่าบาทจะรอไม่ไหวนางจึงพูดแบบนี้ การที่จะฟื้นฟูบ้านโจวให้รุ่งเรืองเหมือนครั้งที่บิดานางยังไม่ล้มป่วย มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับสตรีตัวเล็กๆ อย่างเสี่ยวหนี่ แต่นางก็พ
ไทเฮาจากไปแล้วตงเจี้ยนขยับตัวอีกครั้งอย่างผ่อนคลาย“ฝ่าบาท” ตงเจี้ยนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง“ตงเจี้ยนขอถามคำถามสักข้อ... เรื่องการแต่งตั้งหยางชินอวี้เป็นสนมนั้น...ท่านไม่คิดที่จะคัดค้านหรือ”หยางลี่เงยหน้าขึ้นจากช้าๆ ตาคมที่เคยแสดงความเย็นชาไม่ได้เผยความรู้สึกใดออกมาแต่ในใจรู้ดีว่าตงเจี้ยนคงจะคิดเรื่องนี้มาตลอด มันเป็นคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนรอบๆ กายหยางลี่รู้ว่าเสี่ยวหนี่คือคนที่หยางลี่ใส่ใจมากที่สุด แล้วการที่เขายินยอมในเรื่องนี้อย่างง่ายดายนั้น…“เจ้าคิดว่าข้าควรคัดค้านหรือ คัดค้านแล้วไม่ต้องทำได้หรือ” หยางลี่ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความนิ่งเฉย ตงเจี้ยนทำท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าน้อยรู้ดีว่า... ฝ่าบาทมีใจให้เสี่ยวหนี่คนเดียวแต่เหตุใดฝ่าบาทถึงยอมให้หยางชินอวี้ได้ตำแหน่งนี้ไป ทั้งที่มันจะทำให้เสี่ยวหนี่ต้องเจ็บปวดหากนางรู้เข้า...”คำถามของตงเจี้ยนสะท้อนให้เห็นถึงความห่วงใยที่ตงเจี้ยนมีต่อหยางลี่และเสี่ยวหนี่ ความห่วงใยที่ใครๆ ก็พอจะเข้าใจได้ แต่สำหรับหยางลี่แล้วมันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาระหน้าที่ที่ท่านต้องทำหยางลี่มองไปที่ตงเจี้ยนอย่าง
ในตำหนักชิงหลานที่บัดนี้เงียบงันอย่างน่าใจหาย กุ้ยเฟยชวีหยากำมือแน่นเมื่อได้ยินข่าวจากขันทีที่มารายงานเรื่องการแต่งตั้งหยางชินอวี้เป็นสนมอันดับหนึ่งของฝ่าบาท หัวใจหนักอึ้งรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ทิ้งลงมาทับบนอกทำให้หายใจไม่ออก"อะ…อะไรนะ ทำไมเป็นแบบนี้ ไหนฝ่าบาทเคย…เคยบอกว่าไม่ให้หยางชินอวี้ถวายตัว…" กุ้ยเฟยถามเสียงแหบแห้งแต่ก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้อีกต่อไป ซบหน้าลงบนฝ่ามือปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว"หยางชินอวี้...จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง…สนมอันดับหนึ่งได้อย่างไร ฮือออออ" น้ำเสียงของชวีหยาสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรูซินยืนอยู่ข้างๆ รีบเขามาโอบกอด ด้วยความสงสารมองกุ้ยเฟยที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตนอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพูดเสียงนุ่มกับชวีหยา"หยางชินอวี้เพียงแค่สนมที่ไทเฮายัดเยียดให้ฝ่าบาทเท่านั้นเจ้าค่ะ กุ้ยเฟยอย่าได้กังวลไปเสียก่อน"ชวีหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ น้ำตายังคงไหลรินแต่ท่าทีของชวีหยากลับแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย"เจ้าบอกว่าอย่างไรนะ เจ้า...บอกว่าไทเฮาทำให้ฝ่าบาทยอมรับหยางชินอวี้เป็นสนมหรือ" เสียงของชวีหยายังสั่นสะท้าน แต่แววตา
โรงเตี๊ยมบ้านโจวเสี่ยวหนี่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารในครัวของโรงเตี๊ยมบ้านโจว ความร้อนอบอ้าวจากเตาและกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ทำให้เหงื่อไหลรินจากหน้าผากไปจนถึงคาง แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจและดีใจ ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้กำลังสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี“สำเร็จแล้ว!” เสี่ยวหนี่พูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมยิ้มออกมาอย่างพอใจในความพยายามที่ผ่านมา เมื่อได้ยินเสียงน้ำเดือดในหม้อเครื่องเทศที่ต้องปรุงรสก็รีบหยิบชามใบใหญ่ขึ้นมารินน้ำซุปใส่ในถ้วย ราดด้วยซอสที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะจัดจานออกไปยังโต๊ะลูกค้า ที่กำลังรอคอยความอร่อยอยู่“ยกไปเลยใช่ไหมเจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวอี้ถาม “ยกไปได้เลยกำลังร้อนๆ หอมๆ โต๊ะริมหน้าต่างทางซ้ายบน”แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวหนี่จะได้พักหายใจหรือทำอะไรเพิ่มเติม เสียงของเหม่ยซูก็ดังขึ้น“เสี่ยวหนี่มีคนอยากจะคุยกับเจ้า” บุรุษสองคนก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสี่ยวหนี่หันไปมองคนของแคว้นซีเป่ยยืนอยู่ที่ทางเข้าพร้อมกับประสานมือนอบน้อม“คุณหนูเสี่ยวหนี่... ข้านำบัญชาของไท่จือโจวชัวมาเพื่อขอซื้อผงปรุงรสโจวรสเด็ดจำนวนมากขอรับ” ชายคนนั้นพูดเสียงเข้มขรึมแต่ก็มีความสุภาพในตัวเสี่ยวหนี่ตาโตด้ว