“ก็ได้ หากแม่นางมีน้ำใจเพียงนี้ข้าก็ไม่ขัด”
“วีระบุรุษช่วยสาวงามอันนี้เข้าใจได้ (ใครไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ เคลมว่าตัวเองสวยเถอะ) ท่านช่วยข้าก็ควรตอบแทน”
เสี่ยวหนี่เดินนำตงเจี้ยนไปที่ประตูทางเข้าสกุลโจว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวจี้เหยานางหูตาไวหรือว่านางว่างกันแน่จึงมาคอยจ้องตามหาเสี่ยวหนี่พอรู้ว่าออกไปข้างนอกก็มารอต้อนรับกลับรอบ่นรอแซะ รอบนี้เห็นเสี่ยวหนี่มีตงเจี้ยนเดินตามมาด้วยก็ปากยื่นปากยาวเสียงแหลมมาทันที
“อีกแล้วหรือ หญิงเช่นเจ้าที่ชอบนำพาบุรุษ เข้าบ้านต้องเป็นหญิงเช่นไรกันนะ”
“วาจาลื่นไหลไร้แก่นสารจริงๆ ท่านแม่ใหญ่ ท่านไม่พูดเสียบ้างคนที่เขามาใหม่ก็ไม่คิดว่าท่านเป็นใบ้หรอกนะ”
“นี่เจ้า เสี่ยวหนี่!”
“ข้ารู้แล้วว่าข้าชื่อเสี่ยวหนี่ ถึงก่อนหน้านั้นจะชื่อข้าวนึ่งก็เถอะท่านก็ไม่ต้องเรียกบ่อยๆ ราวกับกลัวว่าข้าจะลืมชื่อตัวเองก็ได้” จี้เหยาเชิดหน้า
“ท่านป้า” ตงเจี้ยนประสานมือ
“ท่านป้าหรือ ข้าเคยเป็นญาติเจ้าหรือไร”
คนผู้นี้มองคนภายนอกให้การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึมไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยที่ข้างกายก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย ฮูหยินโจวจี้เหยาเชิดหน้าขึ้นสูงไม่แม้แต่จะมองให้นานกว่านี้
“อย่างไร ไม่ให้เรียกท่านป้าจะให้ให้เรียกท่านยายหรือเจ้าค่ะท่านแม่ใหญ่ หรือจะให้เรียกท่านพี่เรียกพี่ได้ไหมมมมม”
“นี่เจ้า” ยกมือขึ้นมาชี้หน้าเสี่ยวหนี่
“ไปกันเถอะบ้านนี้ข้าคุมได้อยู่หมัดแล้ว ข้าให้เสี่ยวอี้ทำแผลให้ท่านส่วนข้าตอนนี้ได้เวลาอาหารเย็นของท่านพ่อข้าแล้ว อือ ท่านอยู่ทานข้าวเย็นกับข้าก่อนก็ได้นะวันนี้ข้าได้ปลามาเยอะเชียว นี่ขนาดแบ่งให้คนจรไปแล้วตัวหนึ่งนะเนี๊ยะ”
“บ้านโจวนี่ครึกครื้นจริงเชียว ตั้งแต่เจ้าฟื้นขึ้นมา คนแบบไหนเจ้าก็คบหาแม้กระทั่งคนจร”
“ท่านแม่ใหญ่เจ้าขาาา แต่เขาเป็นคนจรที่แต่งตัวดูดีมากนะเจ้าค่ะ เสื้อผ้าที่ใส่นี่เนื้อดีกว่าของท่านแม่ใหญ่เสียอีกถึงจะดูผอมไปหน่อยก็เถอะ”
เสี้ยวหนี่ดึงมือตงเจี้ยนวิ่งเข้าไปในเรือนคหบดีเสี้ยวอี้ตามไปติดๆ จี้เหวินที่ออกมาที่หลังมองตามร่างสูงของตงเจี้ยน
“ท่านแม่เจ้าขานางพาใครมาบ้านเรา ท่านแม่ไม่ดุด่านางหรือ ท่านแม่ชักจะดีกับนางมากไปแล้ว พักหลังๆ มานี้นางเหิมเกริมคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าบ้านหรือไร “จี้เหวินพูดขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความขัดใจอย่างที่สุด
"ปล่อยนางไปก่อน"
"ท่านแม่นี่ท่านยอมแพ้นางหรือ เราสองคนเคยข่มเหงนางมาตลอดทำไมตอนนี้ท่านแม่ถึงยอมง่ายดาย"
” ข้าไม่กล้ากับนางแล้ว เจ้ารู้ไหมท่านพ่ออาการดีขึ้นตั้งแต่นางทำอาหารและดูแลใส่ใจกว่าเมื่อก่อนหนี่ฮวาที่เอาแต่เย็บปักถักร้อยและเก็บตัวเงียบ ทำอาหารแล้วก็หลบเข้าห้องของนาง ผีเข้านางหรือไรนางจึงเปลี่ยนไปเพียงนี้ ขืนไปกล้ากับนางไม่ใช่แค่นางฟ้องพ่อนาง นางอาจจะจัดการกับเราสองคนแม่ลูกครั้งนี้จะต้องวางเแผนมิใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ"ทนกล้ำกลืนสักพีก ยอมรับว่าเสี่ยวหนี่ที่กลับมาจากความตายในครั้งนี้นางร้ายกาจไม่น้อย
“มาๆ นั่งก่อน นั่งก่อน เสี้ยวอี้เจ้ามาทำแผลให้จอมยุทธ์หนุ่มผู้นี้”
“คุณหนูเจ้าขาไม่มีแล้วค่ะจอมยุทธ์”
“อ้าวเหรอน่าเสียดายนะเนี้ย ของดีๆ แบบนี้ปล่อยให้หายไปได้ยังไงทำไมไม่สืบสานไว้ ช่างเถอะช่างเถอะ ในสายตาข้าบุรุษผู้นั้นเป็นคนจร ท่านก็คงเป็นคนเร่ร่อน แต่ก็เป็นคนเร่ร่อนที่หน้าตาดีนะ เพียงแค่ไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยข้างกายเหมือนเขาเท่านั้น”
เสี่ยวอี้ยกหลวมยามาทำแผลให้กับตงเจี้ยนพลิกข้อมือดูแล้วหันไปหยิบยาสมานแผลมาโรย
” คุณหนูเจ้าขาวันนี้เราจะทำอะไรให้นายท่านกินดีเจ้าค่ะ “
“สองเมนูจากปลาตัวโตของเราไง เจ้าไปต้นน้ำร้อนหน่อย “
“ซุปปลาน้ำนม กับปลาสามรสแบบโบราณ” เสี่ยวอี้ทำเสียงอู้หู้
“แค่ฟังชื่อน้ำลายก็ไหลแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่ยิ้มสดใส
“ท่านคนเร่ร่อนหิวหรือยัง รอข้าสักประเดี๋ยวข้ารับรองว่าจะต้องแซ่บแน่นอน”
ตงเจี้ยนยิ้มอ่อนโยน
หัวปลาเป็นส่วนที่ดีสำหรับใช้ทำซุป เสี่ยวหนี่จึงใช้มีดคมแล่ส่วนหัวออก ขอดเกล็ดออกและล้างให้สะอาด สองถึงสามน้ำ ก่อนจะนำลงไปลวกในน้ำร้อนที่กำลังเดือด เพื่อกำจัดเมือกและกลิ่นคาว เมื่อตักขึ้นจากน้ำเดือด ผิวปลาดูสะอาดขึ้นเป็นอย่างมาก ตงเจี้ยนนั่งมองหนี่ฮวาที่กำลังขอดเกล็ดปลาด้วยความชำนาญ เขาไม่เคยเห็นว่าใครจะปรุงอาหารได้เป็นธรรมชาติราวกับเป็นเรื่องสนุก
"จากนี้ไป ข้าจะทำน้ำซุปที่ขาวข้นเหมือนน้ำนม"
เสี่ยวหนี่กล่าว พลางหยิบกระทะใบใหญ่ขึ้นมาตั้งไฟให้ร้อนจัด ใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย แล้วนำหัวปลาลงทอดให้หนังข้างนอกพอเหลืองหอม
เสียง "ฉ่า" ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งไปทั่วครัว เสี่ยวหนี่รีบเติมน้ำเดือดลงไปในกระทะ เสียงน้ำกระทบความร้อนพวยพุ่งขึ้นเป็นไอขาว
“คุณหนูเจ้าขาทำอย่างไรน้ำซุปจึงจะเป็นสีขาวหรือเจ้าคะ”
"ไม่อยากๆ ดูนี่เจ้าต้องใช้ไฟแรง เคี่ยวไปเรื่อย ๆ น้ำซุปจะขาวข้นขึ้นมาเอง" เสี่ยวหนี่อธิบายกับเสี่ยวอี้ที่ยืนดูอยู่ เสี่ยวอี้ที่พยักหน้าหงึกหงักพยายามจดจำสิ่งที่เสี่ยวหนี่สั่งสอน
เสี่ยวหนี่ใส่ขิงฝานลงไป ตามด้วยต้นหอมที่มัดรวมกันไว้ ปล่อยให้เดือดพล่านสักพัก ก่อนลดไฟลงใช้ไฟอ่อนในการเคี่ยวต่อไป เสี่ยวหนี่หันมาที่ตัวปลาที่แยกไว้ส่วนลำตัวของปลาที่เหลือถูกนำมาขอดเกล็ด ควักไส้ออก แล้วบั้งเนื้อเป็นแนวเฉียง เพื่อให้ซอสซึมเข้าไปได้ดี
“เสี้ยวอี้เจ้าจำสุราหมักร้อยปีของท่านพ่อที่ข้าแอบชิมวันนั้นได้ไหม”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“หากเรานำมันมาหมักปลา เจ้าคิดดูสิว่ามันจะรสดีแค่ไหน”
“แต่คุณหนูเจ้าคะ สุรานั้นนายท่านเก็บไว้อย่างดีจะเอาออกมาได้หรือเจ้าคะ”
“นี่ กุญแจ ข้าบอกท่านพ่อว่าข้าจะทำความสะอาดห้องเก็บสุราด้วยตัวเองเจ้าไปหยิบมาหนึ่งไห ยังเหลืออีกเยอะไม่มีใครรู้หรอก”
เสี่ยวอี้ยิ้มแห้งๆ รับกุญแจมาโดยดี
ภายในตำหนักเหยียนหลิงที่เงียบสงบ เสี่ยวหนี่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างโต๊ะเล็กมือเล็กๆ เกาะชายเสื้อของหยางลี่แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปจากตรงนั้น สูดหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นดวงตากลมใสที่โศกเศร้าจับจ้องใบหน้าของหยางลี่“ฮองเฮาวันนี้ทำไมออดอ้อนเช่นนี้มีอะไรหรือไม่ อยากให้ข้าทำอะไรให้เป็นพิเศษไหม”หยางลี่ถามยิ้มๆ ยกมือขึ้นเชยคางมนขึ้นสบตาค้นหาความจริงในดวงตากลมเสี่ยวหนี่ส่ายหน้าไปมา“ไม่เพคะ แค่รู้สึกว่าทุกอย่างที่กำลังดำเนินไปมันยุ่งเหยิงเหลือเกินหรือว่าข้าจะไม่เหมาะกับที่นี่”“หือออใครบังอาจทำให้ฮองเฮาของข้าไม่สบายใจกันนะ บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอไม่ว่าอย่างไรให้วางใจข้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”"ฝ่าบาท...เสี่ยวหนี่รักการทำอาหาร รักที่จะทำอาหารอร่อยๆ ให้ผู้คนได้กินอย่างมีความสุข ข้าไม่มีทางเอาอาหารไปทำร้ายผู้ใดแน่นอน ข้าจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเด็ดขาด"หยางลี่มองเสี่ยวหนี่เงียบๆ แววตาอ่อนโยนอย่างที่สุด คำพูดนั้นตรงไปตรงมา ไร้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ เหมือนดวงใจของเสี่ยวหนี่ที่สะอาดและจริงใจ เขาเองก็รู้ดี ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักในฐานะคนเร่ร่อนและพ่อค้าหลี่เขาก็เห็นความใสซื่อที่น่ารัก ความดื้อรั
ในคุกหลวงเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและเงียบสงัด เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินเข้ามานั้นดังแหวกอากาศที่เงียบงัน ทำให้ทุกสายตาต่างหันมาจับจ้อง เมื่อทหารยกมือชี้ไปที่ห้องขังที่ตั้งอยู่ลึกสุดในคุกหลวง นั่นคือห้องที่ใช้สำหรับคุมตัวผู้ที่ต้องโทษร้ายแรงกุ้ยเฟยชวีหยาที่ถูกคุมตัวมานั้นถูกมัดมือและล่ามเท้าอย่างแน่นหนาใบหน้าแสดงอาการหวาดวิตกและหมดอาลัยตายอยาก ชวีหยาเองไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ก้มหน้านิ่งและไม่พยายามจะดิ้นรนหลีกหนีการจับกุมใดๆ แม้ภายในใจนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเสียใจทหารสองคนเดินเข้ามาข้างๆ เสียงตะโกนดังออกมาจากทหารที่นำชวีหยาเข้ามา "ข้าได้รับคำสั่งจากองค์ชายรองอวี่หรง ให้คุมตัวกุ้ยเฟยมาที่คุกหลวงจนกว่าฝ่าบาทจะมีคำสั่ง เปลี่ยนแปลง"ชวีหนยายิ้มหยัน“ไม่ต้องห่วงข้าก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหนหรอก...ก็แค่รู้สึกเหมือนว่าชีวิตนี้มันไร้ค่าก็เท่านั้นไม่มีใครให้ห่วงและไม่มีใครห่วงข้า”“หุบปาก แล้วเข้าไปข้างในเสีย” ทหารคนหนึ่งสั่งเสียงดังชวีหยาไม่ตอบอะไรเพียงแค่ก้าวเข้าไปในห้องขังมืดๆ ท่ามกลางความเงียบ ทุกอย่างที่เห็นคือผนังห้องขังที่สกปรกและมืดมิดจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจนทหารหนึ่งในนั้นเ
เสียงฝีเท้าของคนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องไต่สวน ทุกคนในห้องเงียบกริบ รอฟังสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นถัดไป องครักษ์ที่รีบเร่งมาพบหยางลี่ ถือห่อยาที่ถูกค้นพบมาในมือ สายตาของเขามีแววหลากหลายระหว่างความกังวลและความร้อนรนจากสิ่งที่เขาพบ"ฝ่าบาท..."องครักษ์แล้วยื่นห่อยาให้กับหยางลี่ด้วยท่าทีเคารพ ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง "ห่อยานี้ค้นพบในตำหนักเย็นของกุ้ยเฟยซวีหยา ข้าพบมันหลังจากที่ได้ทำการค้นหาตามคำสั่งขององค์ชายรองอวี่หรง"ทุกสายตาจับจ้องไปที่ห่อยาเล็กๆ ในมือขององครักษ์ผู้นั้น หยางลี่เพียงแต่ยกมือให้เขาวางห่อยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะมองไปที่ทุกคนในห้อง"ซวีหยา อย่างนั้นหรือ" เสียงของหยางลี่ดังก้องไปทั่วห้อง เขาจับจ้องไปที่องครักษ์และถามเสียงเย็นชา "เจ้าแน่ใจนะว่าเจอสิ่งนี้ในตำหนักเย็นของซวีหยา"ผู้คุมพยักหน้าอย่างมั่นใจ "ขอรับ... ข้าทำตามคำสั่งและได้ทำการค้นหาทุกซอกมุมจนพบสิ่งนี้..."คำพูดขององครักษ์ทำให้ทุกคนในห้องเงียบกริบไปชั่วขณะ ทุกคนหันมามองหน้ากันและกัน สีหน้าของหลายคนเริ่มไม่สบายใจ เพราะทุกคนรู้ดีถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างไทเฮากับกุ้ยเฟยซวีหยา หลังจากที่ไทเฮาทรงสั่งลงทัณฑ์ให้กุ้ยเ
บรรยากาศยิ่งเคร่งเครียดขึ้น อวี่หรงที่นั่งเคียงข้างพี่ชายขมวดคิ้วแน่น ตวัดสายตามองเสี่ยวหยูอย่างไม่วางใจ ขณะที่เสี่ยวหนี่ที่นั่งอยู่ใกล้หยางลี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล มองไปยังเซียหยากับเสี่ยวหยูสลับกันหยางลี่ทอดถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ทั้งสองต่างยืนยันว่ามิใช่ฝีมือของตน เช่นนั้น…คงต้องค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมให้กระจ่างกว่านี้ มิอาจตัดสินเพียงคำพูดได้”เสียงทุ้มดังสะท้อนในห้อง ทุกผู้คนต่างสะดุ้งเล็กน้อย ความกดดันถาโถมเข้ามาหนักหน่วงขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะจี้เหวินที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด แววตาสั่นระริกแต่ต้องพยายามฝืนใบหน้าให้เรียบนิ่ง กลัวว่าความลับที่แท้จริงจะถูกเปิดโปงออกมาในไม่ช้าทันใดนั้น เสียงองครักษ์ดังขึ้นจากหน้าประตู “ฝ่าบาท! กระหม่อมพบหลักฐานใหม่พ่ะย่ะค่ะ”ทุกสายตาหันไปทันที องครักษ์ผู้นั้นคุกเข่าลงแล้ววางกล่องไม้เล็กๆ ไว้บนพื้นตรงหน้าหยางลี่ ก่อนเปิดออกเผยให้เห็น เศษห่อยาสีหม่น ที่มีผงขาวติดอยู่บางส่วนเสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วทั้งท้องพระโรง อวี่หรงลุกพรวดขึ้นยืน สีหน้าดุดัน “นี่มันห่อยาที่พบในห้องเครื่องมิใช่หรือ”องครักษ์พยักหน้ารับ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อย
ค่ำคืนนี้ในห้องมืดของตำหนักส่วนตัว จี้เหวินก้มตัวเข้ามาใกล้หยางชินอวี้ ดวงตายังคงวาววับราวกับพยายามชั่งใจความเสี่ยงทุกวินาที“พระสนมเพคะ…ข้าจะเล่าให้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้าได้โยนความผิดไปยังเซียหยาแล้ว กับนางในห้องเครื่องที่ชื่อเสี่ยวหยูคนนั้น แต่ยังมีความกังวลใจอยู่มาก ข้าเหมือนตัวคนเดียวและต้องแก้ตัวเพียงลำพัง พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาไต่สวน” จี้เหวินพูดเสียงแผ่ว “หม่อมฉันเห็นควรให้พระสนมไปที่นั่นด้วย แสดงความบริสุทธิ์ใจให้ฝ่าบาทเห็น จะได้ไม่ถูกสงสัย และพระสนมควรจะช่วยยืนยันว่าข้าอยู่ที่ตำหนักกุ้ยฮวาไม่ได้ไปทำเรื่องร้ายแรงแบบนั้นที่ไหน”หยางชินอวี้หลุบตามองพื้น สีหน้าเงียบสงบ แต่ในดวงตาแฝงความคิดลึกซึ้งคล้ายรอคอยการตัดสินใจ“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้พาดพิงถึงข้า”“จี้เหวินไม่กล้าแล้วที่ผ่านมา เงินทองที่พระสนมให้มาก็ไม่น้อย และพระสนมเองก็ดูแลข้าอย่างดีมาตลอด” ถึงจะพูดแบบนั้นทว่าภายในใจนั่นเล่าต่างออกไป“ก็ได้…ข้าจะไปฟังคำไต่สวนด้วยตัวเอง” เสียงทุ้มต่ำตอบพลางฝ่ามือกำแน่น ความเงียบในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความกดดันจี้เหวินพยักหน้าเบาๆ รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยแต่ก็ยังระวังทุกก้าวหวังว่าการแส
"ข้าน้อยจี้เหวิน…ได้ยินนางกำนัลบางคนกระซิบกัน ว่าเครื่องเสวยบางจานฮองเฮาทรงใส่พระทัยมาก ทำด้วยพระหัตถ์เองทุกขั้นตอน ข้าน้อยไม่กล้าสงสัยไม่กล้าพูด…แต่หากพวกท่านอยากรู้ความจริง คงต้องตรวจสอบอาหารของฮองเฮาอย่างละเอียด"คำพูดนั้นดังเหมือนสายฟ้าฟาด ทุกคนในห้องหันขวับมามองด้วยสายตาแปลกใจ บางคนถึงกับตะลึงอ้าปากค้างอวี่หรงจ้องลึกไปที่จี้เหวิน ดวงตาเข้มกดดันจนจี้เหวินหายใจติดขัด มือเย็นเฉียบไปหมด แต่ในใจกลับหัวเราะ ข้าเพียงโยนความสงสัยออกไป คนที่ต้องเผชิญแรงกดดันแทนข้า…ก็คือเสี่ยวหนี่เสียงตวาดขององค์ชายรองอวี่หรงดังสะท้อนก้องไปทั้งห้อง "จี้เหวิน เจ้าบังอาจนัก กล้าโยนความผิดให้ฮองเฮาอย่างนั้นหรือ"ร่างเล็กสะท้านเฮือก จี้เหวินก้มหน้าจนแทบติดพื้น ตัวสั่นงันงก ปากอ้าพะงาบไร้เสียง คำแก้ตัวใดก็พลันหายวับราวควันไฟเพียงกำมือแน่น หวังให้แรงสั่นสะท้านนี้หยุดลงเสียทีทว่าโชคชะตากลับไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ …"ฝ่าบาท องค์ชายรอง พวกกระหม่อมเจอของสิ่งหนึ่งขอรับ""องค์ชาย! พบห่อยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"ทุกสายตาหันขวับไปยังแถวเครื่องปรุงที่ตั้งเรียงรายอยู่ ร่างองครักษ์สองนายรีบแบกไหใบใหญ่เดินออกมาวางกลางห้อง ตรง