ข้าวนึ่งพาตัวเองกลับมาบ้านด้วยความฉุนเฉียว ไอ้บ้า บังอาจมาไล่ให้ไปตาย มารดาแกสิต้องไปตายแม่ยัดเอ้ย หัวเสียอย่างที่สุด
ที่ที่ดีที่สุดคือบ้าน ที่อบอุ่นที่สุดคือบ้าน ที่สำหรับซับน้ำตาคือบ้าน กลับมาไม่ทันไรได้กลิ่นหอมฉุยลอยมาจากห้องครัว ยังไงที่บ้านก็ยังมีของกินไว้รอมีคนที่รักรออยู่
“กลับมาแล้วค่ะแม่…แม่ พี่หงส์”
เรียกหาแม่กับพี่สะใภ้แต่ไม่มีใครตอบ เดินเข้าครัวหิวจนตาลาย เปิดหม้อซึ้งกลิ่นหอมทะลุเข้าจมูกชวนน้ำลายสอ หยิบเกี้ยวนึ่งแผ่นเกี๊ยวบางเฉียบมองเห็นไส้ล้นทะลักและยังมีไอร้อนลอยวนใส่ปากเคี้ยวงับๆ ไม่ง้อน้ำจิ้ม
“อื้ออร่อยจัง” หยิบยัดใส่ปากอีกสองสามชิ้นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
“อั๊กๆๆๆๆๆๆ หะหะหายใจไม่ออก อย่าบอกนะว่าเกี๊ยวกุ้ง”
ไม่ทันแล้ว แน่นหน้าอกอึดอัดจนเซถลาพยายามพยุงตัวไว้แต่อาการหายใจไม่ออกและดวงตาพร่ามัวยังเล่นงานไม่หยุด ลมหายใจติดขัดเหมือนกำลังจะขาดใจและในที่สุดข้าวนึ่งก็ไม่อาจฝืนตัวเองให้ยืนได้อีกแล้วไม่อาจทรงตัวร่างเล็กกลิ้งหลุนๆ ลงจากบันไดพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคุณสุคนธ์ แม่ของข้าวนึ่ง
ทุกอย่างดับวูบ
“ฟาดเข้าไป ฟาดอีก” เสียงดังราวกับปีศาจตวาดลั่น บอกคนรับใช้ร่างกายกำยำให้ฟาดไม้ลงบนแผ่นหลังของหนี่ฮวา
“นายหญิงเจ้าขา นางนิ่งไปแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่จี้เหยาแสยะยิ้ม
“บังอาจ รู้ทั้งรู้ว่าจี้เหวินกินกุ้งไม่ได้ นางยังกล้าปรุงอาหารที่มีกุ้งเป็นส่วนผสม ตีนางให้ตาย”
จี้เหวินที่ยืนอยู่ข้างๆ มีใบหน้าบวมแดงจนเห็นได้ชัด ก่อนหน้านั้นก็คงแน่นหน้าอกจนพูดไม่ออก
“นางตั้งใจวางยาข้าแน่ๆ ตั้งใจให้ข้าตาย”
“ตีนางให้ตาย บังอาจคิดร้ายกับคุณหนูใหญ่ นางคิดว่านางเป็นใครกัน” จี้เหยาตวาด คนรับใช้ให้รีบลงมือ
“ผลั๊วะ ผลั๊วะ ผลั๊วะ” ร่างเล็กของหนี่ฮวาสะท้อนขึ้นลงตามแรงตี
“ท่านแม่แล้วถ้าท่านพ่อกลับมาจากค้าขายเล่า จะไม่หาว่าเรารังแกนางจนตายหรือไร” จี้เหวินหวั่นใจ
“ใครกล้าพูด อีกสามเดือนท่านพ่อที่นำเครื่องเทศไปส่งจึงจะกลับจากด่านชายแดน เมื่อนั้นนางคงกลายเป็นขี้เถ้าตามแม่ของนางไปแล้ว ตีอีก ฟาดให้หนักๆ”
คนงานชายแอบยั้งมือเพราะสงสารหนี่ฮวา อย่างน้อยนางก็ปรุงอาหารให้พวกเขากิน ผิดกับสองแม่ลูกที่จ้องแต่จะโขกสับทุกคนตลอดเวลา
“พวกเจ้าไปดูซิ นางหมดลมหายใจหรือยัง”
ฮูหยินใหญ่จี้เหยาชี้นิ้วสั่งการตวาดแวดๆ สาวใช้วัยเดียวกับหนี่ฮวา นามเสี่ยวอี้รีบตรงเข้าจับชีพจรตั้งใจจะช่วยหนี่ฮวา จะให้ออกหน้าแทนนางก็กลัวว่าจะถูกทำโทษไปด้วยอีกคน สีหน้าของเสี่ยวอี้ซีดขาวตื่นตกใจพยายามจะห้ามไม่ให้สองแม่ลูกเห็นว่าเสี่ยวอี้เสียใจที่หนี่ฮวาตาย
“ฮูหยินใหญ่เจ้าขา สิ้นใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าแน่ใจหรือ”
“เจ้าค่ะ คุณหนูรองสิ้นใจแล้ว”
ฮูหยินจี้เหยาแย่งเอาไม้ในมือคนรับใช้ฟาดลงบนร่างแน่นิ่งอย่างแรง
“ตายเสียได้ก็ดี” ร่างของหนี่ฮวาไม่ไหวติง
ข้าวนึ่งลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกตัวอีกครั้งกวาดตามองห้องที่มืดสลัวรกเรื้อ ห้องเก็บฟืนหรอกหรือ มองเห็นเพียงแท่นนอนไม้ไผ่เก่าครำคราแต่สะอาดสะอ้านบนนั้นที่นอนพับไว้เรียบร้อย ผ้าห่มหมอนล้วนเป็นระเบียบ ฮูหยินใหญ่จี้เหยาเงื้อไม่ในมือฟาดลงไปอีกครั้ง
“ผลั๊วะ อึกๆๆๆๆ” ข้าวนึ่งสะดุ้งเฮือก ฮูหยินใหญ่ผงะทิ้งไม้ในมือก่อนจะถอยหนีวิ่งไปหลบด้านหลังเสี่ยวอี้ด้วยความที่คิดว่าเป็นผี
“ไหนเจ้าบอกว่านางตายแล้ว ทำไมยังสะดุ้งได้อีก”
“อั๊กกกกก” ข้าวนึ่งเหลือบตาที่กำลังจะปิดจ้องใบหน้าที่งดงามของจี้เหวินกับใบหน้าอ้วนของจี้เหยาคู่แม่ลูกตาไม่กะพริบ ใบหน้างดงามแต่งกายแปลกประหลาดทว่าข้าวนึ่งสัมผัสได้ในทันทีว่าสองคนนี้ตัวร้ายแน่ๆ
“เจ้า ฟาดนางให้แรงกว่าเดิม” จี้เหยาฮูหยินชี้นิ้วไปยังคนรับใช้ร่างใหญ่สั่งดังๆ คนรับใช้ผู้ชายหยิบไม้ขึ้นมากำไว้เงื้อขึ้นเหนือหัว
“ฟาดให้ตายเสีย” จี้เหยาตะโกนสั่งเสียงดัง
“พวกเจ้าสองคนแม่ลูกรวมหัวกันรังแกเสี่ยวหนี่อีกแล้วใช่ไหม” โจหลิวเยว่เดินเข้ามาในห้องพักที่รกร้างไร้สิ่งอำนวยความสะดวกของเสี่ยวหนี่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าโกรธอย่างที่สุด
“ทะทะท่านพี่”
“เสี่ยวอี้พยุงคุณหนูรอง ใครก็ได้ตรงนั้นตามท่านหมอไป๋”
ข้าวนึ่งสะลึมสะลือก่อนที่สติจะดับวูบ
สามวันผ่านไปเสี่ยวหนี่ที่นั่งอยู่บนแท่นนอนมองรอบๆ บริเวณหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาเสี่ยวอี้นั่งโบกพัดไปมา นี่ฉันคงอ่านนิยายจีนมากไปใช่ไหม หลุดเข้ามาในซีรีส์จีนสินะตายแล้วเรื่องอะไรดังหรือเปล่านี่ ไม่มีหน้าต่างระบบคอยให้เควสหรอกหรอ “คุณหนูรองเจ้าขา อย่าเพิ่งลุกเจ้าค่ะ” น่านไงคุณหนูรอง เจ้าคะเจ้าขาพูดซะเพราะเลย เป็นคุณหนูรองสินะทำไมไม่เป็นคุณหนูสามจะได้พูดได้ว่าข้านี่แหละคุณหนูสามฮ่าาาา “บัณทิตย่อมมีมือมีตีน (ไม่เป็นไรฉันลุกเองได้) ” อย่ามาลองภูมิแหมภาษาจีนนี่คล่องเคยดูมาเยอะเสี่ยวอี้รีบเข้ามาพยุง ฮูหยินใหญ่จี้เหยากับจี้เหวินเข้ามาในห้องท่าทีหยิ่งผยองเชิดหน้าเบ้ปากชัดเจนว่าตั้งใจมาหาเรื่องต่อ เสี่ยวหนี่จ้องมองอ้าปากค้างยิ่งตอกย้ำว่านี่คือซีรีส์จีน สองสาวแต่งกายพีเรียดจีนขนาดนี้ นี่ไม่ใช่อโยธยาเป็นแน่แท้“เหอะยังไม่หายใช่ไหม” จี้เหยาเบ้ปาก“เป็นท่านเองนับถือมานาน (อีเ-ี้ยนี่ใคร) ” อดไม่ได้ยิ้มอย่างภูมิใจที่จำคำพูดแบบจอมยุทธ์ได้แม่นยำ ฮูหยินใหญ่จี้เหยาส่ายหน้าไปมากับคำพูดของเสี่ยวหนี่“เป็นอย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าเอาใจท่านพ่อจนพวกเราเข้าไม่ถึง วันนี้กลับมาทำทีลุกไม่ไหว เฮอะ” จี้เหยาฮูหยินใหญ่พ
กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล นี่มันกลิ่นอาหารชนิดไหนกัน“กงกงกวงซุนท่านได้กลิ่นอะไรไหม” ขันทีกวงซุนใช้จมูกสูดดมหากลิ่นที่ว่า หันซ้ายหันขวามองหาที่มา“ไม่ได้กลิ่นพ่ะย่ะค่ะ”“กงกงท่านคงต้องไปพบหมอหลวงแล้วหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะตามกลิ่นหอมนั่นไป”“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ นั่นอาจเป็นปีศาจที่ใช้อุบายล่อหลอกให้ฝ่าบาทไปติดกับพวกมัน” หยางลี่ส่ายหน้าไปมากับความคิดพิเรนทร์ของขันทีกวงซุน ปีศาจหรือจะมีได้อย่างไรกันในเมื่อท้องร้องเพียงนี้กลิ่นหอมนั่นได้กลิ่นแล้วยั่วน้ำลายไม่น้อย“ไม่ไปก็อยู่รอที่นี่ ข้าไปเพียงลำพัง”ด้านหลังเนินเขาที่หมู่บ้านใหญ่เร้นกายมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคหบดีที่ยิ่งใหญ่อย่างโจหลิวเยว่ ทั้งยังมีฮูหยินน้อยใหญ่อีกถึง12คน แต่มีบุตรีเพียงสองจากฮูหยินใหญ่และอนุคนโปรด “เสี่ยวหนี่ดูเจ้าสิ ทำอะไรกินกลิ่นถึงได้โชยไปจนข้าคลื่นเหียน” จี้เหยากับจี้เหวินแม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาของเสี่ยวหนี่ พาตัวเองเข้ามาหยุดยืนเอามืออุดจมูกเมื่อได้กลิ่นอาหารของเสี่ยวหนี่ที่มีหน้าที่ทำเป็นประจำ “อาหารชนิดนี้เรียกว่าอะไร ทำไมกลิ่นเหม็นสิ้นดี”“แกงสมุนไพรหรือแกงแค หรือจะเรียกแกงอ่อมไม่สิแกงใส่ผักน้อยกว่า ข้าไม่ได้ทำให้พวกท่
“นายหญิงเจ้าขามีคนผู้หนึ่ง ท่าทีราวกับ ราวกับ…เอ่อ” โจวจี้เหยาพยักขมวดคิ้วจนไฝกระตุก“รีบพูดมาเอาแต่อ้ำอึ้งเจ้ายังอยากจะได้เบี้ยหวัดของเดือนนี้ไหม” โจวจี้เหวินตวาดดังๆ มารยาทยามโมโหช่างไม่ต่างจากโจวจี้เหยามารดาของนาง“จะจะเจ้าค่ะ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งองอาจหล่อเหลา อีกผู้หนึ่งเดินตามราวกับขันที” จี้เหวินยิ้มมุมปาก“จะต้องเป็นคหบดีที่ร่ำรวยแน่ แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าหรือต้องการอะไรกับบ้านโจวของเรา” จี้เหยาพูดขึ้นยิ้มๆ“เอ่อ เอ่อเขาบอกว่ากำลังหิวพอดี เดินตามกลิ่นอาหารที่หอมกระจายออกไปรอบๆ บริเวณ เขาถามข้าว่าพอจะให้เขาได้อิ่มท้องสักมื้อไหม ทั้งสองท่านยังมอบทองให้ข้าน้อยเพื่อมาขออนุญาตท่านเจ้าบ้าน”“ทองจริงหรือไม่เอามานี่ โง่อย่างเจ้าดูไม่ออกหรอกว่าจริงหรือปลอม ในป่าเขาเช่นนี้ใครจะมีทอง” จี้เหวินคว้าทองจากมือคนรับใช้ไปพิศดู“ทองจริงๆ ด้วยท่านแม่ ไปเชิญเขาเข้ามา เขาต้องการอะไรถึงนำเอาทองมาแลก ท่านแม่ท่านให้ข้าไปรับแขกดีไหม”“ได้เลยลูกแม่แล้วอย่าลืมท่าทีอ่อนหวานงดงามที่เจ้าฝึกฝนมาเสียล่ะ ว่าแต่เขาอยากได้อะไรเจ้าได้ยินเขาบอกว่าอย่างไร”“เอ่อ เอ่อ…ข้าน้อยได้ยินเขาพูดถึงกลิ่นอาหารที่คุณหนูรองหนี่ฮวาท
“ขอให้ท่านทั้งสองเดินทางราบรื่น”ฮูหยินจี้เหยากล่าวคำลากวงซุนขันทียื่นถุงเงินให้กับฮูหยินโจวอีกครั้งจี้เหวินที่ย่อการลงงดงามอย่างที่สุดหยางลี่กับกวงซุนขันทีจากไปแล้ว จี้เหวินถอนหายใจ ปล่อยมือที่ยกขึ้นมาระดับเอวให้ดูมีกิริยาดีลงข้างตัวพูดด้วยเสียงอันดังไม่สะกดกลั้นความรู้สึกแม้แต่น้อย“ข้าแทบจะกระอักเลือดตายกับการที่ต้องวางท่าให้ดูสง่างามราวกับหญิงสาวชาววัง”“ทนเอาหน่อย เจ้าปีนี้20แล้วยังไม่ได้ออกเรือนแขกไปใครมาเจ้าวางท่าตามอย่างที่แม่สอน ไม่นานจะต้องมีคนมาตกหลุมพลางที่เราขุดขึ้นมากับมือ”“ท่านแม่แล้วคนเขาจะไม่รู้หรือว่าเราหลอกลวง”“จะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วถึงเวลานั้นก็ช่างมันเถอะ”ฮูหยินโจวยิ้ม มุมปาก“นายหญิงเจ้าขา นายท่านเรียกนายหญิงกับคุณหนูใหญ่เข้าพบเจ้าค่ะ”“น่าเบื่อจริงข้านะน่ะไม่อยากต้องมาหาคำแก้ตัว”โจวจี้เหยาบ่นงึมงำ“ก็พูดความจริงไปสิเจ้าค่ะท่านแม่ท่านพ่อไร้เรี่ยวแรง แม้กระทั่งแรงจามยังไม่มีจะทำอะไรพวกเราได้”โจวจี้เหยาเดินนำจีเหวินเข้าไปข้างในห้องนอนของดจวหลิ่วเยว่ ยังไม่ทันจะถึงตัวด้วยซ้ำเสียงเข้มก็พูดดังๆขึ้นมา“พวกเจ้ากำลังทำอะไร พวกเจ้าคิดว่าจะหลอกลวง
ใบหน้าหล่อเหลาของหยางลี่ที่ตอนนี้ดูมีราศีสดชื่นมากกว่าเก่าเลิกคิ้วขึ้นมองซ้ายมองซ้ายมองขวาหาที่มาของกลิ่นหอมของปลาย่างที่ลอยมาตามลม หันไปทางกวงซุนที่กระตุกม้าตามมาข้างๆ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า“เดิมที่นึกว่าได้ออกมาข้างนอกจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ที่ไหนได้เขาลูกนี้คงเป็นแหล่งรวมอาหารหรือว่าหอโอชารส ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมที่ลอยมาเป็นทหารของเราแอบออกมาย่างปลากินรึป่าว”หยางลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พาม้าเหยาะย่างลัดเลาะตามกลิ่นหอม เมื่อเข้าใกล้ริมน้ำก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเสี่ยวหนี่กระชากปลาตัวใหญ่ขึ้นมาจากน้ำ เป็นคุณหนูจากที่ไหนสักแห่งกำลังจับปลาอย่างเมามันไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอน ท่าทางทะมัดทะแมง ภาพที่หยางลี่เห็นจึงชวนขัดตาขบขันไม่น้อย หยางลี่ลงจากหลังม้า กวนซุนขันทีที่รีบตามมากำลังจะกล่าวทักแต่เสี่ยวหนี่หันขวับมองเสี่ยวอี้ทำปากพูดอย่างไร้เสียงว่า “ใครวะ?” เสี่ยวอี้รีบส่ายหัวทันทีทำปากขมุบขมิบว่า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่หันกลับมาฉีกยิ้มหวานยกมือขึ้นประสานตรงหน้า“เป็นท่านนี่เองเลื่อมใสมานาน นับถือๆ วันนี้ได้พบหน้าช่างเป็นโชควาสนาอย่างยิ่ง มิคาดว่าฟ้าลิขิตให้เราได้มาพบกันในวันนี้”
“ปลาชนิดนี้ปกติแล้วในวังหลวงจะไม่นิยมกินเพราะมีก้างมาก แต่ข้าจำได้ว่าปลาตะเพียนมีรสหวานหอมต่างจากปลาชนิดอื่น แม้จะคาวน้อยกว่าแต่ก็ยังถือว่ามีก้างมากจึงเป็นจุดด้อยของปลาชนิดนี้ ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่ของปลาเนื้อแน่นเช่นนั้นการนำมาประกอบอาหารจึงรู้สึกด้อยลงไปไม่เหมือนปลาชนิดอื่นแต่ในวันนี้แม่นางน้อย นำพริกเสฉวนมาปรุงรสทำให้เนื้อปลามีความโดดเด่นแม้ปลาจะกินยากไปหน่อย แต่ความยากของการเลาะเอาก้างออกเพื่อที่จะได้ชิมรสชาติของปลาสดๆ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านี่เองคือหัวใจของอาหารอร่อย “หยางลี่พยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยคำพูดของขันทีกวงซุน เสี่ยวหนี่ตะลึงตาค้างตบมือดังๆ ให้กับคำพูดของขันทีกวงซุน“โห่ หลักการสุดๆ เป็นกรรมการมาสเตอร์เชฟป่าวนี่ นับถือๆ แบบนี้เชิญกินได้ตามสบายข้าละชอบจริงๆ คนที่รู้คุณค่าของอาหารและสามารถพูดชมได้อย่างมีศิลปะ ““จริงๆ นะเจ้าค่ะคุณหนู หือปลานี่อร่อยจริงๆ เสี่ยวอี้ไม่เคยกินปลาที่ไหนอร่อยเท่ากับปลาย่างฝีมือคุณหนูมาก่อน”“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เท่าไหร่ๆ พูดแบบนี้ข้าก็เขินสิ “คนทั้งหมดล้อมวงกินปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่หยางลี่จะขอตัวกลับเสี่ยวหนี่ยังแบ่งปลาตะเพียนตัวใหญ่ เสี่ยวหนี่ดึงปลาอ
“ก็ได้ หากแม่นางมีน้ำใจเพียงนี้ข้าก็ไม่ขัด”“วีระบุรุษช่วยสาวงามอันนี้เข้าใจได้ (ใครไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ เคลมว่าตัวเองสวยเถอะ) ท่านช่วยข้าก็ควรตอบแทน” เสี่ยวหนี่เดินนำตงเจี้ยนไปที่ประตูทางเข้าสกุลโจว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวจี้เหยานางหูตาไวหรือว่านางว่างกันแน่จึงมาคอยจ้องตามหาเสี่ยวหนี่พอรู้ว่าออกไปข้างนอกก็มารอต้อนรับกลับรอบ่นรอแซะ รอบนี้เห็นเสี่ยวหนี่มีตงเจี้ยนเดินตามมาด้วยก็ปากยื่นปากยาวเสียงแหลมมาทันที“อีกแล้วหรือ หญิงเช่นเจ้าที่ชอบนำพาบุรุษ เข้าบ้านต้องเป็นหญิงเช่นไรกันนะ”“วาจาลื่นไหลไร้แก่นสารจริงๆ ท่านแม่ใหญ่ ท่านไม่พูดเสียบ้างคนที่เขามาใหม่ก็ไม่คิดว่าท่านเป็นใบ้หรอกนะ”“นี่เจ้า เสี่ยวหนี่!”“ข้ารู้แล้วว่าข้าชื่อเสี่ยวหนี่ ถึงก่อนหน้านั้นจะชื่อข้าวนึ่งก็เถอะท่านก็ไม่ต้องเรียกบ่อยๆ ราวกับกลัวว่าข้าจะลืมชื่อตัวเองก็ได้” จี้เหยาเชิดหน้า“ท่านป้า” ตงเจี้ยนประสานมือ“ท่านป้าหรือ ข้าเคยเป็นญาติเจ้าหรือไร”คนผู้นี้มองคนภายนอกให้การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึมไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยที่ข้างกายก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย ฮูหยินโจวจี้เหยาเชิดหน้าขึ้นสูงไม่แม้แต่จะมองให้นานกว่านี้ “อย่างไร ไม่ให้เรียกท
” หากบิดาเจ้ารู้ว่าเจ้าขโมยสุราจะไม่ถูกตำหนิหรือไร “” แค่สุราร้อยปี ที่บ้านโจวของเรามีสุราพันปี หมื่นปีมากมายเหลือคณานับ อีกอย่างข้าหยิบมาแค่ไหเดียวไม่มีใครรู้หรอกฮ่าฮ่าฮ่า “เสี่ยวอี้ถือไหสุราเข้ามาในครัวส่งให้เสี่ยวหนี่หมักปลาด้วยสุราร้อยปี เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย"ปลาต้องทอดให้ผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่ม" เสี่ยวหนี่กล่าวเสี่ยวหนี่ใช้ผ้าป่านซับปลาให้แห้ง ก่อนคลุกแป้งที่ทำจากข้าวสาลีบาง ๆ แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนจัด เสียงน้ำมันแตกดัง "ฉ่า"อีกครั้ง ไม่นานต่อจากนั้น ปลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อเสี่ยวหนี่ตักปลาขึ้นมาพักไว้ ผิวนอกกรอบกรุบ แต่เนื้อข้างในยังดูฉ่ำขาวคราวนี้เสี่ยวอี้ถึงกลับลอบกลืนน้ำลายและสองคนแม่ลูกข้าวจี่พากันย้ายก้นเข้ามาในครัวคงได้กลิ่นหอมของปลาทอด“ปลาทอดหรอกรึ วันนี้เจ้าทำปลาทอดหรอกรึ” ฮูหยินโจวพูดขึ้น“ไม่ใช่สำหรับพวกท่านและนี่คือปลาสามรสแบบโบราณ และข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านนี้สำรับท่านพ่อและข้ากับเสี่ยวอี้ที่ไปตกปลามาเท่านั้น” จี้เหวินกัดฟันแน่นเสี่ยวหนียิ้มของดีดีเหมาะกับคนที่ควรคู่เท่านั้น และคนที่ควรคู่หรือไมเสี่ยวหนี่เป็นคนคัดสรร“เจ้าไม่ใ
จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังมาเร็วๆ จากข้างใน แล้วร่างสูงโปร่งในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ท่าทางรีบร้อน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ว่าแล้วเชียวทำไมท่านตงเจี้ยนจึงให้เอาเงินไปให้ที่โรงเตี๊ยมอวี้ฮวาถังที่แท้ก็เอาไปเลี้ยงหญิงงามนี่เอง“อ้าวพี่ตง! ท่านกลับมาแล้วรึ ข้า... เป็นห่วงแทบแย่! ได้ข่าวว่าท่านออกเวรกลางคืนแล้วหายไปนาน! ดูสิกลิ่นสุราหึ่งเลยทำไมท่านไม่เอากลับมาฝากข้าบ้างเล่า อ้อ ข้าจำได้แล้วแม่นางน้อยจากนางในห้องเครื่องฝึกหัดนี่เอง แหม๋มมม ช่างร้ายจริงๆนะ ข้าบอกปุ๊บท่านก็ไปพานางมาปั๊บ ไม่ต้องห่วงๆ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เฉิงอวี้ผู้นี้เก็บความลับเก่งที่สุด”เสียงเฟิงอวี้เฉิงดังลั่น ราวกับเด็กน้อยที่ดีใจเห็นพี่ชายกลับมาจากเดินป่า ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เฟิงอวี้เฉิงรู้ โลกรู้ ส่งซิกด้วยสายตา จ้องตาเฟิงอวี้เฉิงและยกมือขึ้นลูบจมูกสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณว่า….หุบปาก….ที่รู้กันเฉพาะตงเจี้ยนกับเฟิงเฉิงอวี้เฟิงอวี้เฉิงรับรู้ทันที พยักหน้าหงึกๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อย หันมาเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็หน้าซีดไปแวบหนึ่งรีบกล่าวกับหยางลี่อย่างนอบน้อม“ท่าน...แขกของพี่ตงหรือขอรับ? ขออภัยที่ข้าเสียงดั
ยามชวีคล้อยไปแล้ว ดวงจันทร์สูงลิบเหนือฟ้า เรือนพักของนางในฝึกหัดสกุลโจวตั้งอยู่ชานพระตำหนักด้านในสุดเงียบงัน ไม่มีเสียงขานรับ ไม่มีแสงไฟใดเล็ดลอดออกมา นอกจากแสงตะเกียงเล่มน้อยในมือของหรูซินสาวใช้คนสนิทของกุ้ยเฟยชวีหยา“เงียบเกินไปไม่แน่ว่าจะมีคนหรืออาจ…กำลังกกกอดกันอยู่” ชวีหยาพูดเบาๆ พลางทอดสายตามองแสงเงาของต้นหม่อนที่ทอดทับบนพื้นอิฐสะกดอารมณ์ขุ่นมัวในใจ“ไปเคาะประตู” นางเอ่ยเสียงนุ่มสาวใช้เดินเข้าไปเคาะเบา ๆ ที่ประตูไม้ก๊อก ๆ ๆสักพักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้เข้ามา บานประตูเปิดออกอย่างระวัง เผยให้เห็นจี้เหวินในชุดนอนบางเบา ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มแต่กระนั้นก็งดงามสดใสมีส่วนคล้ายเสี่ยวหนี่ไม่น้อย ดวงตายังพร่ามัวเล็กน้อยจากการถูกปลุกจากการหลับใหลกะทันหัน“ท่านเป็นใคร...? มาเคาะประตูอยู่ได้ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่คือเรือนพักของนางในฝึกหัดยามนอนห้ามใครรบกวน” จี้เหวินเอ่ยถามอย่างงุนงง ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นเครื่องประดับมุกทองบนศีรษะของอีกฝ่าย สีหน้าก็เปลี่ยนวูบ ร่างกายรีบโค้งต่ำแทบจะคุกเข่า“ขะ…ขอประทานอภัยเพคะกุ้ยเฟย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านจะแวะมาในยามดึกดื่นเช่นนี้”“ยามชวี” ชวีหย
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ
“ข้าขอตัว” เดินลงมาด้านล่างสั่งคนลากรถให้กลับไปที่จวนอารักขานำเงินจาก อวี้เฉิงมาเพิ่ม สองคนนั้นกินเหมือนงานเลี้ยงฉลองรับตำแหน่งใหม่ทั้งๆ ที่ผ่านมื้อเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอทำราวกับล้างท้องมากระนั้น…ท่านน้าเหม่ยซูเข้มงวดจนพวกนางต้องอดอยากเพียงนี้เชียวหรือมองภาพฝ่าบาทที่ยกสุราให้เสี่ยวหนี่ตรงหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ตงเจี้ยนก็ได้แต่ถอนใจเงียบ ๆ อีกครั้ง ฝ่าบาทผู้ไม่พกเงินพรุ่งนี้เขาจะกล้าไปทวงเงินที่ต้องจ่ายวันนี้ไหม คงต้องคุยกับกรมคลังขอเบิกงบสำหรับสนับสนุนด้านนันทนาการกับฝ่าบาทเสียแล้วอาหารทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะในถาดไม้ กลิ่นหอมของอาหารจาง ๆ ลอยมาพร้อมกับไอร้อนจากซุปกระดูกไก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อถูกวางลงในเข่งไม้ไผ่ร้อน ๆ ด้านบนมีน้ำซุปรสกลมกล่อมซึมซาบถึงใจปลาหิมะย่างใบเก๋ากี้มีกลิ่นหอมของชาไหม้จางๆ จากถ่านชา เนื้อปลาสีขาวนวลทาเคลือบด้วยซอสใสหวานเค็ม เนื้อวัวตุ๋นถูกวางบนถาดเหล็กร้อนฉ่า กลิ่นพริกหอมผสมพุทราเคี่ยวส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ ทำให้จินตนาการรสชาติว่าคงหวานหอมเนื้อวัวตุ๋นก็คงนุ่มจนละลายในปากเสี่ยวหนี่กัดคำแรกของเกี๊ยวทอดไส้ปู แล้วตาโต“อืมมม! ไส้แน่นมากกกก กลิ่นปูชัด ซอสไข่เค็มเค
“วันนี้ข้าจะเลี้ยงนางเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีได้พกเงินปกติทุกครั้งไปไหนจะมีขันทีกวงซุนคอยจ่ายให้ เจ้าพกเงินมาไหม เอาเงินของเจ้าเลี้ยงนางแต่บอกว่าข้าเลี้ยงจะได้หรือเปล่า”ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆจะบอกว่าไม่ได้ก็จะได้หรือบัญชาฝ่าบาท“พ่ะย่ะค่ะ”“พาไปที่ร้านประจำของข้าที่เมืองหลวง… เจ้ารู้ใช่ไหม ร้านที่อยู่ฝั่งทิศใต้ตรงข้ามโรงเตี๊ยมสกุลหลิน”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ตงเจี้ยนยิ้มมุมปาก“เจ้าสองคนนี่แปลกจริง ๆ หายไปทีเดียวสองคน นึกว่าจะลุกไปหนีหนี้เสียแล้วหรือว่าแอบไปนินทาข้า” เสี่ยวหนี่ว่าพลางกระดกถ้วยสุรา สองข้างแก้มแดงระเรื่อจากแอลกอฮอล์อ่อน ๆ หยางลี่เดินเข้ามาพลางส่งสายตาขำ ๆ“ถ้าเราจะหนีหนี้ คงไม่ชวนเจ้าไปกินอาหารที่แพงกว่านี้หรอก”ทั้งสองคนอมยิ้มพร้อมกัน“พวกท่านจะเลี้ยงข้าหรือแหมลาภปากใจดีที่สุดสหายร้ากกกกก” เสี่ยวหนี่ทำตาโต “คืนนี้…ร้านที่เราจะไป เป็นร้านที่คนธรรมดายังต้องจองล่วงหน้าหลายวันนะ” ตงเจี้ยนยิ้ม “จริงรึ อย่างนั้นเราก็คนพิเศษสินะ ข้าไป! สุราดี ๆ กับอาหารเลิศรส ข้าไม่เคยปฏิเสธหรอก” เสี่ยวหนี่แทบลุกพรวดทันที “คุณหนูเจ้าขาไหนบอกว่าออกมาไม่นานเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้ท้วง“น่าไม่เป็นไรหรอก ข้าด
เสี่ยวอี้ยิ้มแห้งๆ“ไปก็ไป แต่คุณหนูสัญญานะเจ้าค่ะว่าจะรีบกลับและจะไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย” เสี่ยวหนี่เขย่ามือเสี่ยวอี้อย่างแรง“ข้าสัญญา”ไม่นานนัก ร่างสองร่างก็แอบลอบลอดเงาไม้อาศัยเงามืดพรางตัว พ้นจากเรือนฝึกหัดออกมาได้อย่างคล่องแคล่วประหนึ่งมืออาชีพวังหลวงกลางคืนแม้จะสงบ แต่ตรอกเล็กข้างนอกก็ยังมีแสงไฟสลัว ๆ ลอดออกมาจากร้านรวง พ่อค้าบางเจ้ายังไม่ยอมเก็บร้าน กลิ่นหอมของหมูย่าง น้ำซุปเคี่ยว เครื่องเทศอบอวลผสมกลิ่นสุราอุ่น ๆ ลอยเข้าจมูก“อือหือ… กลิ่นนี้! สวรรค์บนดินชัด ๆ” เสี่ยวหนี่ทำตาโต“คุณหนูเจ้าขามื้อเย็นก็กินไม่น้อยมาถึงตอนนี้ยังกินได้อีกหรือเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้อดบ่นไม่ได้ เสี่ยวหนี่ถอนหายใจปกติแล้วยามเลิกงานจากร้านอาหารเสี่ยวหนี่มักจะออกมาหาอะไรกินกับเพื่อนและพี่ที่ทำงานจนกลายเป็นเคยตัวทั้งกินทั้งดื่มแล้วกลับไปนอนทั้งสองเดินดุ่มเข้าไปในร้านแผงลอยที่ตั้งเรียงกันใกล้ทางสี่แยกเล็ก ๆ มีทั้งซาลาเปาสอดไส้หอมกรุ่นไอร้อนยังลอยวน บะหมี่สดต้มในน้ำซุปกระดูกไก่ใส่หัวไช้เท้า ต้มจนน้ำใสเส้นบะหมี่เองก็ใสแจ๋ว ข้าวต้มปลา และขาหมูทอดราดน้ำซอสปรุงหวานเค็มแต่ก่อนที่เสี่ยวหนี่จะทันนั่งลง ร่างของคนสอง
ใต้ต้นหลิวอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ไกลจากแสงไฟนัก เงาร่างระหงของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนสงบเงียบเหม่ยซู หัวหน้าผู้ฝึกสอนประจำตำหนักห้องเครื่อง สวมชุดคลุมผ้าสีทึบทาบทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นางยืนพิงต้นหลิวแสงจันทร์ยามค่ำเสียงลมเย็นพัดผ่าน.สายตาของเหม่ยซูทอดมองไปยังโต๊ะอาหารใต้แสงไฟตรงกลางลาน หญิงงามวัยแรกรุ่นเจ็ดคนล้อมวงอย่างอบอุ่น เสียงหัวเราะสลับกับเสียงตะเกียบกระทบชามดังเป็นจังหวะเบา ๆ ปะปนไปกับกลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาเป็นระยะ เมื่อสายตาของเหม่ยซู่ตกมายังร่างเล็กที่กำลังยิ้มกว้างขณะคีบข้าวให้เพื่อน คือ เสี่ยวหนี่ เหม่ยซูก็เผลอยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเรือนอารักขาตงเจี้ยนนั่งจิบชาเดินหมากกับองค์หญิงสิบสี่ถังเจี้ยนอันหรู ที่สวมอาภรณ์ราวกับบุรุษ อีกทั้งผมที่รวบเหล้าไว้กลางหัวก็ยังเกล้าจนสูงข้างกายมีกระบี่ที่ประทานให้ด้วยมือของหยางลี่ฮ่องเต้“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะแล้ว องค์หญิงเลิกกวนใจข้าได้แล้ว ท่านต้องไปเสียที ข้าชนะถึงสามตารวดตามที่สัญญาแล้วข้ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการฝึกขี่ม้าให้ทำมากมายไม่มีเวลาเล่นสนุกกับท่านหรอก” อันหรูทำหน้าเง้าดวงตากลมโตมีแววตาสลดลง“ท่านขี้โกงนี่ คนเช่นไรจึงเดินหม
ข้างหน้านั้น ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ของเฟิงหราน เมื่อเสี่ยวหนี่ใช้ตะเกียบในมือคีบเนื้อไก่ขึ้นมาเคี้ยว เสี่ยวหนี่ก็ต้องซดน้ำซุปตามทันทีด้วยความเผ็ดร้อนของพริกแกงจากแดนใต้“โอ๊ย! เผ็ดแสบปลายลิ้น!”“นี่ข้ายังใช้พริกแค่ครึ่งกำมือเองนะ ถ้ากินที่บ้านข้า ต้องเหงื่อตกตลอดมื้อ นี่ข้าลดจำนวนพริกลงไปบ้างเพราะรู้ว่าพวงเจ้าอ่อนหัดยังไงล่ะ” เฟิงหรานหัวเราะเบาๆ “รสจัดจ้านจริงๆ! แต่ก็อร่อยแบบแปลกใหม่… มีกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้น”“พริกเขียวดองกับถั่วหมัก ข้าใส่ผสมเข้าไปด้วย” เฟิงหรานตอบเรียบๆ ขณะตักข้าวเข้าปากไม่หยุดหยางชินอวี้ยื่นชามเล็กใส่ เต้าหู้สอดไส้หมูสับกับเห็ดหอม มาให้อย่างมีมารยาท เสี่ยวหนี่รับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลองชิมอย่างช้าๆ เพื่อซึมซับเอารสชาติให้ได้มากที่สุดเพราะเป็นอาหารรสอ่อนเนื้อเต้าหู้เนียนนุ่มละลายในปากจริงอย่างนางว่าเลย กลิ่นหมูสับละเอียดผสมเห็ดหอม เมื่อกินพร้อมซอสราดบางๆ ที่มีกลิ่นน้ำมันงา กลับให้รสหรูหรานุ่มนวล “เหมือนกินอาหารเปิดงานในงานเลี้ยงเลย… มีกลิ่นแบบพิเศษที่อบอุ่นดี”“เต้าหู้ชั้นยอดก็ต้องอร่อยเป็นธรรมดา วัตถุดิบพวกนี้ข้านำมาจากบ้านหยางเป็นมรดกตกทอดของเรา หากไม่ใช