ข้าวนึ่งพาตัวเองกลับมาบ้านด้วยความฉุนเฉียว ไอ้บ้า บังอาจมาไล่ให้ไปตาย มารดาแกสิต้องไปตายแม่ยัดเอ้ย หัวเสียอย่างที่สุด
ที่ที่ดีที่สุดคือบ้าน ที่อบอุ่นที่สุดคือบ้าน ที่สำหรับซับน้ำตาคือบ้าน กลับมาไม่ทันไรได้กลิ่นหอมฉุยลอยมาจากห้องครัว ยังไงที่บ้านก็ยังมีของกินไว้รอมีคนที่รักรออยู่
“กลับมาแล้วค่ะแม่…แม่ พี่หงส์”
เรียกหาแม่กับพี่สะใภ้แต่ไม่มีใครตอบ เดินเข้าครัวหิวจนตาลาย เปิดหม้อซึ้งกลิ่นหอมทะลุเข้าจมูกชวนน้ำลายสอ หยิบเกี้ยวนึ่งแผ่นเกี๊ยวบางเฉียบมองเห็นไส้ล้นทะลักและยังมีไอร้อนลอยวนใส่ปากเคี้ยวงับๆ ไม่ง้อน้ำจิ้ม
“อื้ออร่อยจัง” หยิบยัดใส่ปากอีกสองสามชิ้นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
“อั๊กๆๆๆๆๆๆ หะหะหายใจไม่ออก อย่าบอกนะว่าเกี๊ยวกุ้ง”
ไม่ทันแล้ว แน่นหน้าอกอึดอัดจนเซถลาพยายามพยุงตัวไว้แต่อาการหายใจไม่ออกและดวงตาพร่ามัวยังเล่นงานไม่หยุด ลมหายใจติดขัดเหมือนกำลังจะขาดใจและในที่สุดข้าวนึ่งก็ไม่อาจฝืนตัวเองให้ยืนได้อีกแล้วไม่อาจทรงตัวร่างเล็กกลิ้งหลุนๆ ลงจากบันไดพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคุณสุคนธ์ แม่ของข้าวนึ่ง
ทุกอย่างดับวูบ
“ฟาดเข้าไป ฟาดอีก” เสียงดังราวกับปีศาจตวาดลั่น บอกคนรับใช้ร่างกายกำยำให้ฟาดไม้ลงบนแผ่นหลังของหนี่ฮวา
“นายหญิงเจ้าขา นางนิ่งไปแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่จี้เหยาแสยะยิ้ม
“บังอาจ รู้ทั้งรู้ว่าจี้เหวินกินกุ้งไม่ได้ นางยังกล้าปรุงอาหารที่มีกุ้งเป็นส่วนผสม ตีนางให้ตาย”
จี้เหวินที่ยืนอยู่ข้างๆ มีใบหน้าบวมแดงจนเห็นได้ชัด ก่อนหน้านั้นก็คงแน่นหน้าอกจนพูดไม่ออก
“นางตั้งใจวางยาข้าแน่ๆ ตั้งใจให้ข้าตาย”
“ตีนางให้ตาย บังอาจคิดร้ายกับคุณหนูใหญ่ นางคิดว่านางเป็นใครกัน” จี้เหยาตวาด คนรับใช้ให้รีบลงมือ
“ผลั๊วะ ผลั๊วะ ผลั๊วะ” ร่างเล็กของหนี่ฮวาสะท้อนขึ้นลงตามแรงตี
“ท่านแม่แล้วถ้าท่านพ่อกลับมาจากค้าขายเล่า จะไม่หาว่าเรารังแกนางจนตายหรือไร” จี้เหวินหวั่นใจ
“ใครกล้าพูด อีกสามเดือนท่านพ่อที่นำเครื่องเทศไปส่งจึงจะกลับจากด่านชายแดน เมื่อนั้นนางคงกลายเป็นขี้เถ้าตามแม่ของนางไปแล้ว ตีอีก ฟาดให้หนักๆ”
คนงานชายแอบยั้งมือเพราะสงสารหนี่ฮวา อย่างน้อยนางก็ปรุงอาหารให้พวกเขากิน ผิดกับสองแม่ลูกที่จ้องแต่จะโขกสับทุกคนตลอดเวลา
“พวกเจ้าไปดูซิ นางหมดลมหายใจหรือยัง”
ฮูหยินใหญ่จี้เหยาชี้นิ้วสั่งการตวาดแวดๆ สาวใช้วัยเดียวกับหนี่ฮวา นามเสี่ยวอี้รีบตรงเข้าจับชีพจรตั้งใจจะช่วยหนี่ฮวา จะให้ออกหน้าแทนนางก็กลัวว่าจะถูกทำโทษไปด้วยอีกคน สีหน้าของเสี่ยวอี้ซีดขาวตื่นตกใจพยายามจะห้ามไม่ให้สองแม่ลูกเห็นว่าเสี่ยวอี้เสียใจที่หนี่ฮวาตาย
“ฮูหยินใหญ่เจ้าขา สิ้นใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าแน่ใจหรือ”
“เจ้าค่ะ คุณหนูรองสิ้นใจแล้ว”
ฮูหยินจี้เหยาแย่งเอาไม้ในมือคนรับใช้ฟาดลงบนร่างแน่นิ่งอย่างแรง
“ตายเสียได้ก็ดี” ร่างของหนี่ฮวาไม่ไหวติง
ข้าวนึ่งลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกตัวอีกครั้งกวาดตามองห้องที่มืดสลัวรกเรื้อ ห้องเก็บฟืนหรอกหรือ มองเห็นเพียงแท่นนอนไม้ไผ่เก่าครำคราแต่สะอาดสะอ้านบนนั้นที่นอนพับไว้เรียบร้อย ผ้าห่มหมอนล้วนเป็นระเบียบ ฮูหยินใหญ่จี้เหยาเงื้อไม่ในมือฟาดลงไปอีกครั้ง
“ผลั๊วะ อึกๆๆๆๆ” ข้าวนึ่งสะดุ้งเฮือก ฮูหยินใหญ่ผงะทิ้งไม้ในมือก่อนจะถอยหนีวิ่งไปหลบด้านหลังเสี่ยวอี้ด้วยความที่คิดว่าเป็นผี
“ไหนเจ้าบอกว่านางตายแล้ว ทำไมยังสะดุ้งได้อีก”
“อั๊กกกกก” ข้าวนึ่งเหลือบตาที่กำลังจะปิดจ้องใบหน้าที่งดงามของจี้เหวินกับใบหน้าอ้วนของจี้เหยาคู่แม่ลูกตาไม่กะพริบ ใบหน้างดงามแต่งกายแปลกประหลาดทว่าข้าวนึ่งสัมผัสได้ในทันทีว่าสองคนนี้ตัวร้ายแน่ๆ
“เจ้า ฟาดนางให้แรงกว่าเดิม” จี้เหยาฮูหยินชี้นิ้วไปยังคนรับใช้ร่างใหญ่สั่งดังๆ คนรับใช้ผู้ชายหยิบไม้ขึ้นมากำไว้เงื้อขึ้นเหนือหัว
“ฟาดให้ตายเสีย” จี้เหยาตะโกนสั่งเสียงดัง
“พวกเจ้าสองคนแม่ลูกรวมหัวกันรังแกเสี่ยวหนี่อีกแล้วใช่ไหม” โจหลิวเยว่เดินเข้ามาในห้องพักที่รกร้างไร้สิ่งอำนวยความสะดวกของเสี่ยวหนี่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าโกรธอย่างที่สุด
“ทะทะท่านพี่”
“เสี่ยวอี้พยุงคุณหนูรอง ใครก็ได้ตรงนั้นตามท่านหมอไป๋”
ข้าวนึ่งสะลึมสะลือก่อนที่สติจะดับวูบ
ในห้องที่เต็มไปด้วยความหรูหราและอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้สด ผ้าม่านสีทองยาวสลวยตกลงมาจากเพดานจนถึงพื้น ปูพื้นด้วยพรมแดงเนื้อนุ่ม นั่งอยู่บนแท่นนอนอันใหญ่โต หยางชินอวี้ในชุดอาภรณ์สีทองที่สวมใส่ในพิธีแต่งตั้งสนมอันดับหนึ่งของพระองค์ ดูสง่างามอย่างที่สุด แต่ภายใต้สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงบและความสง่างามนั้น กลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลที่ไม่สามารถปิดบังได้“ฝ่าบาทกำลังจะมาถึงแล้วเพคะ” เสียงนางกำนัลคนหนึ่งบอกดังๆ ออกมาจากนอกห้องหอสีแดงมีริ้วผ้าสีแดงมงคลในห้องที่เต็มไปด้วยความหรูหราและอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้สด ผ้าม่านสีแดงสลวยตกลงมาจากเพดานจนถึงพื้น ปูพื้นด้วยพรมแดงเนื้อนุ่ม หยางชินอวี้ค่อยๆ นั่งลงบนแท่นนอนกว้าง มองผ่านผ้าแดงคลุมหน้าไปรอบๆ เฝ้ารอการมาของเจ้าบ่าวหรือหยางลี่เวลาผ่านไปนานอย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าหยางชินอวี้จะได้ยินเสียงฝีเท้าของขันทีหรือใครก็แล้วแต่ด้านนอกแต่หยางลี่ก็ยังไม่มา ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของหยางลี่หยางชินอวี้ขยับตัวบนแท่นนอน มือกำผ้าคลุมเตียงแน่นจนกลายเป็นสีขาวซีด เรียวแขนสั่นเล็กน้อย หยางชินอวี้นั่งนิ่งทั้งที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร้าวลึกลงไปในหัวใจ ความรู้สึกข
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ขันทีกวงซุนเดินเข้ามาพร้อมกับหยางชินอวี้ที่ถือบัวลอยน้ำขิงเข้ามาในห้อง ดวงตาของหยางชินอวี้ส่องแสงสดใสเหมือนต้องการแสดงความห่วงใย“ฝ่าบาท ข้าทำบัวลอยน้ำขิงมาให้ลองชิมดูหน่อยดีไหมเพคะ” เสียงของหยางชินอวี้ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แสนหวานหยางลี่เหลือบตามองมาที่หยางชินอวี้ แต่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกที่พยายามยับยั้งไว้ได้ บนใบหน้าของหยางลี่มีเพียงสีหน้าเรียบเฉย พยายามไม่ให้ความโกรธที่มีในใจแสดงออกมาหยางลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างนิ่งเฉยไร้อารมณ์“กวงซุน ข้าไม่ได้เรียกให้ใครยกของหวานเข้ามา พานางออกไป”ขันทีกวงซุนที่ยืนอยู่ข้างๆ รับรู้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างสองคน จึงรีบพูดขึ้นด้วยความเกรงกลัว “คุณหนูหยาง โปรดทำตามที่ฝ่าบาท...”หยางชินอวี้ไม่ได้สนใจคำพูดแต่เดินเข้าใกล้โต๊ะหยางลี่ มองเห็นจดหมายที่วางอยู่ใกล้ๆ มือของหยางลี่ รอยยิ้มในดวงตาของหยางชินอวี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป“ฝ่าบาท... ดูสิเพคะ... ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงชอบนะเพคะของหวานยามค่ำที่ฝ่าบาทเคยชอบ” หยางชินอวี้พยายามพูดด้วยเสียงที่อ่อนหวานอีกครั้ง หยางลี่มองหยางชินอวี้ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกด้วยเสียงที่ค่อน
ท่ามกลางความเงียบสงบในห้อง อวี่หรงยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของหยางลี่ อวี่หรงมองมองหยางลี่ที่กำลังพิจารณาจดหมายจากเสี่ยวหนี่ที่เขานำกลับมาจากเมืองโจวแต่ยังไม่ยอมเปิดออกดู มันเหมือนกับการเฝ้าดูการพบปะระหว่างความคิดถึงและความเศร้าโศกที่ซ่อนไว้ลึกภายในของทั้งสองอวี่หรงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มๆ"เสี่ยวหนี่ตอนนี้นางกลายเป็นเฒ่าแก่เนี๊ยะไปเสียแล้ว นางอะนะทำทุกอย่างเพื่อตระกูลโจวและกำลังไปได้สวยทีเดียว นางยังฝากคำพูดให้ข้ามาพูดกับฝ่าบาท… ขอให้ฝ่าบาท...มีความสุขกับชีวิต…'"คำพูดที่ออกมาจากปากของอวี่หรงทำให้หยางลี่เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทอแสงเศร้าราวกับแสงไฟที่เริ่มริบหรี่ จ้องไปที่จดหมายในมือของตัวเอง ท่ามกลางความเงียบที่แผ่ไปรอบๆ หยางลี่ยิ้มออกมา... แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้า เหมือนกับการทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ข้างหลังอวี่หรงมองไปยังหยางลี่ด้วยแววตาที่เข้าใจ ก่อนจะพูดต่อไป"อาจจะเพราะเสี่ยวหนี่กลัวว่า...ฝ่าบาทจะรอไม่ไหวนางจึงพูดแบบนี้ การที่จะฟื้นฟูบ้านโจวให้รุ่งเรืองเหมือนครั้งที่บิดานางยังไม่ล้มป่วย มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับสตรีตัวเล็กๆ อย่างเสี่ยวหนี่ แต่นางก็พ
ไทเฮาจากไปแล้วตงเจี้ยนขยับตัวอีกครั้งอย่างผ่อนคลาย“ฝ่าบาท” ตงเจี้ยนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง“ตงเจี้ยนขอถามคำถามสักข้อ... เรื่องการแต่งตั้งหยางชินอวี้เป็นสนมนั้น...ท่านไม่คิดที่จะคัดค้านหรือ”หยางลี่เงยหน้าขึ้นจากช้าๆ ตาคมที่เคยแสดงความเย็นชาไม่ได้เผยความรู้สึกใดออกมาแต่ในใจรู้ดีว่าตงเจี้ยนคงจะคิดเรื่องนี้มาตลอด มันเป็นคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนรอบๆ กายหยางลี่รู้ว่าเสี่ยวหนี่คือคนที่หยางลี่ใส่ใจมากที่สุด แล้วการที่เขายินยอมในเรื่องนี้อย่างง่ายดายนั้น…“เจ้าคิดว่าข้าควรคัดค้านหรือ คัดค้านแล้วไม่ต้องทำได้หรือ” หยางลี่ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความนิ่งเฉย ตงเจี้ยนทำท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าน้อยรู้ดีว่า... ฝ่าบาทมีใจให้เสี่ยวหนี่คนเดียวแต่เหตุใดฝ่าบาทถึงยอมให้หยางชินอวี้ได้ตำแหน่งนี้ไป ทั้งที่มันจะทำให้เสี่ยวหนี่ต้องเจ็บปวดหากนางรู้เข้า...”คำถามของตงเจี้ยนสะท้อนให้เห็นถึงความห่วงใยที่ตงเจี้ยนมีต่อหยางลี่และเสี่ยวหนี่ ความห่วงใยที่ใครๆ ก็พอจะเข้าใจได้ แต่สำหรับหยางลี่แล้วมันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาระหน้าที่ที่ท่านต้องทำหยางลี่มองไปที่ตงเจี้ยนอย่าง
ในตำหนักชิงหลานที่บัดนี้เงียบงันอย่างน่าใจหาย กุ้ยเฟยชวีหยากำมือแน่นเมื่อได้ยินข่าวจากขันทีที่มารายงานเรื่องการแต่งตั้งหยางชินอวี้เป็นสนมอันดับหนึ่งของฝ่าบาท หัวใจหนักอึ้งรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ทิ้งลงมาทับบนอกทำให้หายใจไม่ออก"อะ…อะไรนะ ทำไมเป็นแบบนี้ ไหนฝ่าบาทเคย…เคยบอกว่าไม่ให้หยางชินอวี้ถวายตัว…" กุ้ยเฟยถามเสียงแหบแห้งแต่ก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้อีกต่อไป ซบหน้าลงบนฝ่ามือปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว"หยางชินอวี้...จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง…สนมอันดับหนึ่งได้อย่างไร ฮือออออ" น้ำเสียงของชวีหยาสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรูซินยืนอยู่ข้างๆ รีบเขามาโอบกอด ด้วยความสงสารมองกุ้ยเฟยที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตนอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพูดเสียงนุ่มกับชวีหยา"หยางชินอวี้เพียงแค่สนมที่ไทเฮายัดเยียดให้ฝ่าบาทเท่านั้นเจ้าค่ะ กุ้ยเฟยอย่าได้กังวลไปเสียก่อน"ชวีหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ น้ำตายังคงไหลรินแต่ท่าทีของชวีหยากลับแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย"เจ้าบอกว่าอย่างไรนะ เจ้า...บอกว่าไทเฮาทำให้ฝ่าบาทยอมรับหยางชินอวี้เป็นสนมหรือ" เสียงของชวีหยายังสั่นสะท้าน แต่แววตา
โรงเตี๊ยมบ้านโจวเสี่ยวหนี่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารในครัวของโรงเตี๊ยมบ้านโจว ความร้อนอบอ้าวจากเตาและกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ทำให้เหงื่อไหลรินจากหน้าผากไปจนถึงคาง แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจและดีใจ ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้กำลังสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี“สำเร็จแล้ว!” เสี่ยวหนี่พูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมยิ้มออกมาอย่างพอใจในความพยายามที่ผ่านมา เมื่อได้ยินเสียงน้ำเดือดในหม้อเครื่องเทศที่ต้องปรุงรสก็รีบหยิบชามใบใหญ่ขึ้นมารินน้ำซุปใส่ในถ้วย ราดด้วยซอสที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะจัดจานออกไปยังโต๊ะลูกค้า ที่กำลังรอคอยความอร่อยอยู่“ยกไปเลยใช่ไหมเจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวอี้ถาม “ยกไปได้เลยกำลังร้อนๆ หอมๆ โต๊ะริมหน้าต่างทางซ้ายบน”แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวหนี่จะได้พักหายใจหรือทำอะไรเพิ่มเติม เสียงของเหม่ยซูก็ดังขึ้น“เสี่ยวหนี่มีคนอยากจะคุยกับเจ้า” บุรุษสองคนก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสี่ยวหนี่หันไปมองคนของแคว้นซีเป่ยยืนอยู่ที่ทางเข้าพร้อมกับประสานมือนอบน้อม“คุณหนูเสี่ยวหนี่... ข้านำบัญชาของไท่จือโจวชัวมาเพื่อขอซื้อผงปรุงรสโจวรสเด็ดจำนวนมากขอรับ” ชายคนนั้นพูดเสียงเข้มขรึมแต่ก็มีความสุภาพในตัวเสี่ยวหนี่ตาโตด้ว