 LOGIN
LOGINสามวันผ่านไป
เสี่ยวหนี่ที่นั่งอยู่บนแท่นนอนมองรอบๆ บริเวณหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาเสี่ยวอี้นั่งโบกพัดไปมา นี่ฉันคงอ่านนิยายจีนมากไปใช่ไหม หลุดเข้ามาในซีรีส์จีนสินะตายแล้วเรื่องอะไรดังหรือเปล่านี่ ไม่มีหน้าต่างระบบคอยให้เควสหรอกหรอ
“คุณหนูรองเจ้าขา อย่าเพิ่งลุกเจ้าค่ะ” น่านไงคุณหนูรอง เจ้าคะเจ้าขาพูดซะเพราะเลย เป็นคุณหนูรองสินะทำไมไม่เป็นคุณหนูสามจะได้พูดได้ว่าข้านี่แหละคุณหนูสามฮ่าาาา
“บัณทิตย่อมมีมือมีตีน (ไม่เป็นไรฉันลุกเองได้) ” อย่ามาลองภูมิแหมภาษาจีนนี่คล่องเคยดูมาเยอะ
เสี่ยวอี้รีบเข้ามาพยุง ฮูหยินใหญ่จี้เหยากับจี้เหวินเข้ามาในห้องท่าทีหยิ่งผยองเชิดหน้าเบ้ปากชัดเจนว่าตั้งใจมาหาเรื่องต่อ เสี่ยวหนี่จ้องมองอ้าปากค้างยิ่งตอกย้ำว่านี่คือซีรีส์จีน สองสาวแต่งกายพีเรียดจีนขนาดนี้ นี่ไม่ใช่อโยธยาเป็นแน่แท้
“เหอะยังไม่หายใช่ไหม” จี้เหยาเบ้ปาก
“เป็นท่านเองนับถือมานาน (อีเ-ี้ยนี่ใคร) ” อดไม่ได้ยิ้มอย่างภูมิใจที่จำคำพูดแบบจอมยุทธ์ได้แม่นยำ ฮูหยินใหญ่จี้เหยาส่ายหน้าไปมากับคำพูดของเสี่ยวหนี่
“เป็นอย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าเอาใจท่านพ่อจนพวกเราเข้าไม่ถึง วันนี้กลับมาทำทีลุกไม่ไหว เฮอะ” จี้เหยาฮูหยินใหญ่พูดขึ้นเมื่อเข้ามาในห้อง
“ขี้เสือกแท้วะ”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ”
“โอ้ข้าหมายถึง หูตาท่านกว้างไกลยิ่งนัก นับถือ นับถือ”
เสี่ยวหนี่ยิ้มแป้นอย่างเป็นมิตร จี้เหวินเอามือป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูจี้เหยา
“ท่านแม่ข้าว่าเสี่ยวหนี่นางเพี้ยนไปแล้ว คงโดนตีจนสมองเลอะเลือน ท่าทางรอยยิ้มนางอย่างกับคนโง่ ก่อนนั้นนางวางตัวนิ่งเฉยราวกับนางหงส์มาบัดนี้นางกลับพูดจาไร้แก่นสาร”
เสี่ยวหนี่มายืนตะแคงหูฟังสองคนแม่ลูกกระซิบกระซาบกันได้ยินชัดแจ้งโดยเฉพาะคำด่า อ้าวอินี่ คนอุตส่าห์ยิ้มให้วอนนักนะ เสี่ยวหนี่หุบยิ้มฉับเชิดหน้ามองต่ำทันที ขยับตัวถอยหลังไปข้างๆ เสี่ยวอี้ป้องปากกระซิบกระซาบบ้าง
“เรียนถามคนผู้นั้นคือใคร”
“ห๊ะ? อะไรนะคะคุณหนูรอง “
” ลำบากท่านแล้วข้าน้อยถามท่านว่า สองตัวประหลาดนั้นมีนามว่าอย่างไร “
“คุณหนูรองเจ้าขานั้นคือฮูหยินใหญ่กับคุณหนูใหญ่ จี้เหยากับจี้เหวิน นี่คุณหนูจำไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ”
เสี่ยวอี้กระซิบตอบอย่างซื่อๆ
“อ๋อสองแม่ลูกตระกูลจี่ จี่หอยนี่เองพีสะเดิดก็มา” จี้เหยาขมวดคิ้วตวาดทันที
“บังอาจมากระซิบกระซาบอะไรกัน นี่เจ้าไม่เกรงใจข้าเลยหรือไรกล้านินทาซึ่งหน้า” ข้าวนึ่งถอนหายใจ
“มิกล้ามิกล้า (ก็มาดิคร้าบบ) เมื่อครู่ท่านยังกระซิบกันนินทาข้า “ซีรีส์เรื่องนี้ชื่อเรื่องว่าอะไรนะ จะต้องสนุกแน่ๆ เพราะมีข้าวนึ่งเป็นนักแสดง
“ท่านแม่ข้าว่านางบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“มิมีผู้ใดอาจหาญเทียบเคียงมารดาท่านแล้ว (ไม่มีใครเก่งเท่าแม่มึงแล้ว) ”
ง “นี่เจ้าบังอาจ!”
“บังอาจคือผู้ใด ที่นี่มีบังอาจมาขายโรตีด้วยหรือ”
“คงจะพูดกับนางไม่รู้เรื่องแล้วแบบนี้ “
” เสี้ยวอี้ส่งแขก! ข้าไม่ส่งแล้วนะ (มึงกลับบ้านมึงไปเลย) ”
นับตั้งแต่วันนั้นสองแม่ลูกตระกูลจี๋หอยก็ไม่เคยแวะเวียนมาสร้างความรำคาญใจ เสี่ยวหนี่หรือข้าวนึ่งของเราก็ใช้ชีวิตในตระกูลโจวอย่างมีความสุข
จบบริบูรณ์…
ขอได้รับคำขอบคุณ จันทร์ส่องแสง…
.
.
เดือนเมษายนปีถังเจี้ยนที่24
ขบวนเสด็จประพาสเดินทางถึงเมืองหนานจิงเพื่อล่าสัตว์ หยางลี่ฮ่องเต้ในอาภรณ์สีดำสนิท ใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาดของจิตรกรเอกแห่งยุค ท่าทียิ่งองอาจทว่าใบหน้าซูบผอมอิดโรยแต่ก็ยังหล่อเหลาคมคายหาผู้ใดเทียบเคียงได้ แม้จะดูหม่นหมองลงไปบ้างแต่สีหน้าท่าทางยังคงองอาจโดดเด่นกว่าใครๆ
“พวกเจ้าทั้งหมดตามอารักขาฝ่าบาท”
หัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยน รูปงามหนึ่งในสามขององครักษ์เสื้อแพรและเกราะทองที่ล้วนมีใบหน้าหล่อเหลาไม่ต่างกันผิดแต่ตงเจี้ยนจะโดดเด่นเกินหนึ่งในสามหากจัดอันดับแล้วตงเจี้ยนย่อมเป็นที่หนึ่ง เพียงแต่วันนี้ตงเจี้ยนสวมอาภรณ์ในสีทึมทึบตะโกนดังๆ ให้เหล่าองครักษ์มากฝีมือที่ตามเสด็จประภาสป่าในครั้งนี้จัดขบวนตามเสด็จ หยางลี่โบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ต้องมากพิธี แค่สองสามคนไม่ต้องมากความ” ขันทีกวงซุนส่ายหน้าไปมา
กวงซุนชักม้าตามไปห่างๆ
“ฝ่าบาท ทรงแน่ใจหรือว่าอยากชิมเนื้อไก่ป่า”
ขันทีข้างกายนามกวงซุนเอ่ยปากเบาๆ เมื่อชักม้าเทียบข้างหยางลี่
“ก่อนหน้านั้นข้ากินเนื้อไก่ป่าย่างกับพริกเสฉวน (จะกล่าวถึงวิธีการปรุงในตอนต่อๆ ไป) รสชาติดีไม่น้อย” ขันทีกวงซุนยิ้ม
“เช่นนั้นกระหม่อมให้คนเตรียมพริกเสฉวนชั้นดีจากเป่ยจิง ดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ไม่รู้ว่าจะเจอไก่ป่าหรือไม่” ถอนหายใจ
“ฝ่าบาทก็ทรงให้ทหารทั้งกองร้อยที่มาด้วย มายิงไก่ป่าไปถวาย” หยางลี่ส่ายหน้าไปมา
“แล้วข้าจะสำราญหรือ ล่าเอง กินเอง จึงเรียกว่าสำราญ” ควบม้าพุ่งตัวออกจากตรงนั้นองครักษ์ไล่ตามแทบไม่ทัน
เกือบสิบลี้จากกระโจมที่พัก เนินหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้านั้นมีเพียงทุ่งดอกไม้สีสวยแต่กลับไร้ซึ่งกระต่ายป่าเลาะเล็มหญ้าสีเขียวเหมือนที่ตั้งใจไว้
“ฝ่าบาท กระต่ายป่าคงมาจะมายามค่ำคืนพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ควรมีกวางป่า นกหรือไก่ป่าบ้างสิ”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเงยหน้ามองดวงอาทิตย์บอกเวลาเที่ยงเสียงท้องร้องจ้อกแจ้ก
“ข้าเหนื่อยแล้ว เราควรจะพักที่นี่”
“ฝ่าบาทด้านล่างนั่นมีธารน้ำไหลผ่าน ไปพักที่นั่นดีไหม”
ขันทีกวงซุนชี้มือลงไปที่ด้านล่างเนินเขา หยางลี่พยักหน้าขึ้นลงควบม้าลงไปด้านล่างเนินเขา กระโดดลงจากหลังม้า

ร่างของเสี่ยวหนี่ในชื่อใหม่ข้าวนึ่ง ฮองเฮาผู้แสนอ่อนโยนกลายเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ เพราะเมื่อเสี่ยวหนี่มารับบทฮองเฮา ไม่ได้รู้ว่ากำลังกลายเป็นตัวละครหนึ่งในที่เขาทำผิดพลาดแต่สามารถพลิกวิกฤติด้วยความตั้งใจอย่างรอบคอบและกลับมาเป็นโอกาส ท่านยมหัวเราะต่อไป พร้อมกับครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดของชีวิตที่บางครั้งแค่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ทำให้ผลลัพธ์ต่างออกไปบันทึกของเขาแสดงให้เห็นถึงเส้นทางที่เสี่ยวหนี่ต้องเดิน นับจากการพบเจอความรักแท้จากหยางลี่ไปจนถึงการเป็นแม่ขององค์ชายองค์หญิง นี่คือสิ่งที่เขากำหนดไว้ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะทำให้เขารู้สึกสนุกไปกับมันในทุกๆ ครั้งที่ต้องบันทึกการเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์“ดูสิ...จากแม่ครัวในร้านอาหารนางกลายเป็นฮองเฮาจริงๆ หัวใจของท่านฮ่องเต้ก็เปิดรับข้าวนึ่งจนหมดทั้งหัวใจ...” ท่านยมยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับครางเบาๆ "แต่ชีวิตนั้นช่างบิดเบี้ยว บางครั้งต้องเลือกทิ้งบางสิ่ง เพื่อให้ได้สิ่งใหม่มา” ท่ามกลางอาณาจักรของการตัดสินและการย้อนรอยอดีตที่ยาวนานท่านยมถอนหายใจยาวๆ ด้วยความรู้สึกขบขันที่ลึกซึ้ง และแล้วเขาก็เริ่มพลิกบันทึกหน้าใหม่ โดยไม่ให้พลาดทุกความเปลี่ยนแ
ตงเจี้ยนที่ยิ้มมุมปากหลังจากทานราดหน้าทะเล ก็ตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม "ราดหน้าทะเลนี่ก็ไม่น้อยหน้ากันเลยนะ เส้นราดหน้าเหนียวนุ่มกำลังดี ปลา หอย กุ้งสดมาเต็ม ทุกคำที่ทานเข้าไปมันเต็มไปด้วยรสทะเลที่สดใหม่ ผสมกับซอสที่เคี่ยวจนข้นและไม่เหนียวจนเกินไปนี่สิที่เรียกว่าอร่อยมาก"เฟยเทียนที่ถือกระบี่ไม้ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเหมือนจะกินอะไรเป็นครั้งแรกในชีวิตก็อดไม่ได้ที่จะลองชิม เขาก้มลงแล้วตักราดหน้าทะเลกินคำแรกแล้วเงยหน้ามาพูด "รสชาติดีมากอร่อยที่สุดของครับ" เขาพูดพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยีขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือลิ้มรสชาติอาหาร เสี่ยวอี้และอันหรูที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มพูดถึงความอร่อยของอาหาร เสี่ยวอี้ลูบท้องตัวเองแล้วพูดกับแววตาเบิกบาน "ถ้าอาหารทุกมื้อในวังหลวงเป็นแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกจากโต๊ะอาหารเลยนะ"ในขณะเดียวกัน องค์ชายหยางหลิงที่วิ่งมาจากห้องข้างๆ พร้อมกับองค์หญิงน้อยของอวี่หรงและเชียหยา ก็เข้ามานั่งที่โต๊ะ พวกเขาก็เริ่มตักอาหารแล้วลิ้มรสไปพร้อมๆ กันหยางหลิงตักผัดไทยห่อไข่คำแรกและพูดอย่างเต็มปาก "อร่อยที่สุดเลยฮับเสด็จแม่"พูดพร้อมกับรอยยิ้มตาหยี ท่ามกลางเสียงหัวเราะและการพูด
หนึ่งปีผ่านไป...พื้นที่ในวังหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยความสดใสและความคึกคักของเด็กๆ ที่เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเสียงฝีเท้าเล็กๆ ขององค์ชายน้อยหยางหลิง วิ่งเข้ามาหาหยางลี่ที่ยืนยิ้มอยู่ในศาลาริมน้ำ หน้าตาเต็มไปด้วยความสุข องค์ชายตัวน้อยโผเข้าสู่อ้อมกอดของบิดาทันที"เสด็จพ่ออออออออ" หยางหลิงพูดเสียงใสๆ ก่อนจะยิ้มกว้างและยกแขนขึ้นกอดหยางลี่อย่างแน่นหนา "วันนี้ลูกอยากจะฝึกขี่ม้า แต่องครักษ์เฟิงอวี่เฉิงบอกว่าข้าเดินให้เก่งก่อนค่อยหัดขี่ม้าเสด็จพ่อลูกโตแล้วนะเก่งขึ้นด้วย"“จริงหรือไหนดูสิต้องให้พ่อลองอุ้มเจ้าดูก่อน”หยางลี่ยิ้มตอบลูกชายแล้วยกเขาขึ้นไว้ในอ้อมแขนด้วยความรัก “ลูกตัวโตขึ้นแล้วนะฮับ”"ดีมากลูก ข้ารู้ว่าเจ้าจะเก่งขึ้นทุกวันแน่ลูกพ่อ"ข้างๆ หยางหลิง อ๋องน้อยเฟยเทียนยืนถือกระบี่ไม้ในมือ เขายืนข้างๆ ตงเจี้ยนที่ยืนยิ้ม "พ่อบอกว่าจะสอนข้าเดินหมาก ท่านพ่อ เมื่อไรข้าจะได้เป็นผู้คุมหมากเสียที"เฟยเทียนพูดเสียงตื่นเต้น ก่อนจะยืนหันไปมองอวี่หรงที่ยืนอยู่ห่างๆ อวี่หรงหัวเราะน้อยๆ หันมายิ้มให้กับลูกชาย "ไปหัดขี่ม้าก่อนเถอะ แล้วข้าจะสอนเจ้าหมากภายหลังฝีมือของพ่อไม่ธรรมดาเจ้าจะต้องเป็นผู้คุ
อวี่หรงและตงเจี้ยนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกอดรัดท่านยมไว้อย่างแน่นหนา ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ แต่ร่างสูงเต้นมูนว็อกนั้นหายไปแล้ว"อย่าปล่อยนะ ตงเจี้ยน" อวี่หรงพูดเสียงหนักแน่น ขณะที่เขาจับท่านยมไว้อย่างมั่นคง"ข้าไม่มีทางปล่อยหรอกน่าท่านเองก้จับไว้ให้มั่นองค์ชายรอง" ตงเจี้ยนตอบกลับเสียงดุดัน แน่นอนว่าทั้งสองไม่ยอมให้ท่านยมหลุดมือไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาดในขณะที่การต่อสู้ของพวกเขาดำเนินไป เสี่ยวหนี่ยืนมองอย่างงุนงง โดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสามถึงพุ่งเข้ามาแบบนี้"กำลังคิดจะทำอะไรกัน" เสี่ยวหนี่ถามด้วยความสับสน ปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะต้องการอะไรจากการกระทำนี้หยางลี่ที่กอดเสี่ยวหนี่ไว้แน่น จนเสี่ยวหนี่ไม่ยอมปล่อยมือราวกับว่าหากปล่อยมือเสี่ยวหนี่จะหายไปตลอดกาล"เสี่ยวหนี่... ไม่ต้องห่วงนะข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องไปไหน ไม่มีทางข้าเองก็ไม่ปล่อยเจ้าได้โปรดอยู่ที่นี่กับข้า"" หยางลี่พูดดังๆ รัวเร้วแบบไม่พัก แต่คนที่หายไปจริงๆ คือท่านยมหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยมีตัวตนที่นี่เลย อวี่หรงและตงเจี้ยนยังคงกอดกันยื้อยุดไปมาไม่ลืมหูลืมตาด
ท่านยมยิ้มอย่างแปลกๆ พลางยืนอยู่ตรงหน้ากับเสี่ยวหนี่ที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางความตึงเครียด เขาหยิบกระดาษเล็กๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วคลี่ออกมาช้าๆ ใบหน้าของเขายังคงแสดงออกถึงความมั่นใจ แต่ในแววตาของท่านยมกลับแฝงไปด้วยความเศร้าเหมือนกัน"ไม่ไปจริงหรือ" ท่านยมพูดเสียงต่ำๆ ราวกับกำลังทดสอบสิ่งที่เสี่ยวหนี่คิด "นี่คือสัญญาเจ้าอ่านมันเสีย ว่าเจ้าไม่สมัครใจที่จะไม่ไป และข้าเองก็มีข่าวร้ายจะบอกเจ้าเช่นกัน"เสี่ยวหนี่มองท่านยมอย่างงงๆ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านยมกำลังพูด คิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นท่าทางของท่านยมที่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ "จะมีข่าวไหนร้ายยิ่งกว่าการที่ข้าต้องกลับไปบ้าง" ถามเสียงเครียดท่านยมยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันหมายถึงอะไร เขาถือกระดาษ ก่อนจะเดินไปข้างๆ เสี่ยวหนี่ เขาจับกระดาษนั้นยื่นไปให้เสี่ยวหนี่ดูอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เธออย่างเงียบสงบ"ร่างเดิมของเจ้าไม่มีแล้ว" ท่านยมพูดเสียงที่แหบพร่า แต่ยังคงมีความมั่นใจในน้ำเสียงของเขาเหมือนกันคำพูดนั้นทำให้เสี่ยวหนี่สะดุ้งเฮือก รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ดวงตากวาดมองไปที่ท่านยมและกระด
เสี่ยวหนี่เดินออกไปยังสวนด้านหลังวังยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินสาดส่องผ่านยอดไม้ลงมาเป็นลำทำให้ร่างเล็กในชุดบางสีอ่อนดูราวกับภาพฝัน มือของนางกำรากสมุนไพรซางลู่ไว้แน่น กลิ่นความขมจางๆ ของสมุนไพรลอยคลุ้งในอากาศ นางก้มหน้าลงมองมันก่อนจะเดินไปยังบ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่มุมสวนซึ่งเป็นที่เงียบสงบ ไม่มีใครมาแถวนี้ในยามนี้เสี่ยวหนี่ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างบ่อ ท่ามกลางกลิ่นดินชื้นของยามค่ำ ร่างเล็กนั่งกอดเข่าแน่น ใบหน้าเงยขึ้นมองฟ้า สายลมพัดผ่านผมของนางปลิวไหวเบาๆ ดวงตาของนางสั่นระริก น้ำค้างเย็นเกาะตามปลายหญ้า"เป็นยังไงเป็นกัน… ข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหน" นางพึมพำเสียงเบาราวกับกระซิบกับดวงจันทร์ ริมฝีปากสั่นน้อยๆ แต่เสียงยังหนักแน่นเสี่ยวหนี่หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนสุดปอด ลมเย็นพัดเข้าไปจนหัวใจรู้สึกเหมือนจะเต้นแรงขึ้น ความกลัว ความรัก ความผูกพัน และความดื้อดึงผสมปนกันอยู่ในอก ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ดั่งคนที่ตัดสินใจแล้วราตรีนั้นเงียบจนได้ยินเพียงเสียงลม นี่คือบ้าน นี่คือครอบครัว และนี่คือโลกของนางแล้ว ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามในคืนที่ราวกับจะเงียบเชียบ เสียง








