ตำหนักพระพันปีที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับสามรองจากตำหนักชิงหนิงกงของฮองเฮาบัดนี้พระพันปีหรือไทเฮาฟู่ฉีนั่งบนบัลลังก์ทองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าความรู้สึกภายในใจเมื่อพบหน้าชวีหยา ชวีหยาตำแหน่งกุ้ยเฟยผู้งดงามอ่อนหวานแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่สายตาที่ถอดมองผู้อื่นอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนมารดากระนั้น อาภรณ์สีมุกขลิบลวดลายสีทองด้านหลังปักรูปหงส์สยายปีกพร้อมโบยบินแม้จะไม่ได้สะกดสายตาผู้พบเห็นแต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเจออดที่จะหันมองซ้ำไม่ได้
ฝีเท้าที่ก้าวเดินราวกับวิ่งแต่ทว่าในใจอยากจะมีเวทมนตร์พาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าไทเฮาในทันที ชวีหยาไม่ลืมที่จะย่อกายลงอย่างงดงามแม้จะร้อนใจเพียงใด นั้นยิ่งทำให้ชวีหยามีกิริยาน่ามอง นางงดงามเกินกว่าจะนั่งในตำแหน่งอื่นใดคงเกิดมาเพื่อตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้นแต่เสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งแค่ตำแหน่งกุ้ยเฟย
“ทรงประชวรว่าด้วยไม่อยากอาหารมาหลายวันแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะไทเฮา”ด้วยความกังวลใจที่เก็บสะสมไว้จึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดในทันทีโดยที่ไม่ได้เกริ่นนำ
“อย่าเรียกว่าอาการประชวรเลย คงแค่ไม่มีของที่ชอบ ปกติหยางหยางมักจะกินแต่ของโปรดมาตั้งแต่เด็กๆ” ไทเฮาฟู่ฉีหยิบกำไลหยกขึ้นมาพิศดูด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับคำพูดของชวีหยาเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่าน
“พระวรกายซูบผอม สองวันก่อนชวีหยาสั่งให้มีการคัดตัวนางในห้องเครื่องเสียใหม่เลือกคนที่ทำอาหารเป็นทั้งหมดมาทำเครื่องเสวยถวายฝ่าบาททีละคน”
ไทเฮาฟู่ฉีพยักหน้าขึ้นลง วางกำไลหยกลงในกล่องหันมามองชวีหยาขมวดคิ้วกับสีหน้าเป็นกังวลนั้น
“แล้วมีมั่งไหม นางในห้องเครื่องที่หา”น้ำเสียงคล้ายเหน็บแนมแต่รับให้เรียบเฉยให้สมฐานะไทเฮาที่ไม่รักไม่ชังใครเกินขอบเขต
“ไม่พบเลยเพคะ คนที่ทำเป็นก็ทำถวายตั้งมากมาย แต่ฝ่าบาทแค่ได้กลิ่นก็คลื่นเหียน ขันทียกไปมากหน่อยก็คิดว่าไปกดดัน กวาดเครื่องเสวยบนโต๊ะทิ้งเสียหมด” ยิ่งไม่กินยิ่งหงุดหงิด
พูดไปก็ถอนหายใจสีหน้ากลัดกลุ้ม นับว่าชวีหยาใส่ใจหยางลี่ไม่น้อยจะสุขจะทุกข์ก็คือสามีภรรยา แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าคนผู้หนึ่งกับคนผู้หนึ่งไม่ได้อาศัยความรักใคร่แต่ก็ร่วมชีวิตกันมา อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นหนึ่ง ชวีหยาต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือส่งเสริมมิใช่แค่หน้าที่ของภรรยาหากแต่เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติมาช้านาน
“เรื่องอื่นก็ดี เรื่องอาหารก็สำคัญ ฮ่องเต้เอาแต่วุ่นวายกับงานในราชสำนัก นอนน้อยตื่นไว กินอะไรไม่ลง ลองไปหย่อนใจ…..ประภาสป่าดูดีไหมไปเปิดหูเปิดตาเสีบบ้างจึงจะทำให้รื่นมรมย์”
พูดเป็นนัยๆเรื่องที่ชวีหยาไม่ยอมตั้งครรภ์ทั้งที่นั่งเกี้ยวเข้ามาในวังหลวงเกือบปีแล้ว ถึงจะอยากตำหนิแต่อีกคนก็ไม่ได้บกพร่องอะไร เรื่องการตั้งครรภ์ล้วนเป็นลิขิตสวรรค์
“เพคะ เช่นนั้นชวีหยาจะหารือฝ่าบาทเรื่องนี้” ชวีหยาแม้จะรู้ว่าถูกตำหนิแต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการก้มหน้ายอมรับความจริงเสียการนิ่งเฉยมักจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
เดือนมีนา ปี2025
“บอกแล้วว่าไม่เอาผงชูรส เห็นไหมเนี้ย!?”ชายร่างสูงใหญ่เหมือนกับคนที่เข้าฟิตเนสในทุกวันยืนตะโกนชี้หน้าข้าวนึ่ง
ข้าวนึ่งหน้าซีดตัวสั่นไม่ได้กลัวไอ้หมอนั่นแต่กลัวว่าลูกค้าผู้หญิงตัวแดงไปทั้งตัว หน้าบวมด้วยฤทธิ์ผงชูรส(หรือเปล่า)จะตายเสียก่อน ส่วนคนที่ยืนด่าอยู่นั่นผู้ชายทั้งแท่งกล้ามใหญ่ตัวโตสีหน้าบอกว่าเอาเรื่องแน่ ในมือถือโทรศัพท์ถ่ายคลิปไปด้วย เมียก็ตัวแดงแปร๊ดแต่ผัวกำลังจ้องจะเอาเรื่องและไลฟ์สดเรียกยอดผู้เข้าชมไปด้วย ยุคนี้อะนะ
“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษจริงๆค่ะ” ยกมือไหว้ประหลกๆ พูดได้แค่นั้นก็จะไปสรรหาคำพูดแก้ตัวไงก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกค้าสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรส น้องที่เป็นเด็กเสิร์ฟยืนเกาะหลังข้าวนึ่งไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ก็ปกติแล้วข้าวนึ่งเป็นคูมแม่ของทุกคนนี่
“เขาไม่บอกหนูสักคำเอาแต่กดโทรศัพท์ แล้วหนูจะรู้ได้ไงพี่”น้องเด็กเสิร์ฟกระซิบเบาๆ ไอ้สามีของคนที่ตัวแดงๆนั่นเสือกได้ยินที่น้องมันพูดอีก
“ไม่สั่งก็น่าจะรู้ มากินที่นี่สองรอบแล้ว เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมจำไม่ได้”
“เอ้า”ข้าวนึ่งร้องเสียงหลง
“ไม่ได้เรื่อง! เราคือผู้บริโภคต้องเข้าแล้วไหม โง่จริงๆ” ทั้งสีหน้าและท่าทางของไอ้คนหุ่นล่ำนี่น่าซัดหน้าสักเปรี้ยง แต่เราไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงนะคะ
แต่คำด่าไม่ใช่คำสรรเสริญ ใครจะอยากได้ยินแล้วใครจะยินดี แต่ละวันลูกค้าเยอะมาก ใครจะไปจำได้ ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว มาสองครั้งหวังให้จำหน้าได้ แล้วส้มตำไม่ใส่ผงชูรสเนี่ยนะมันกินได้หรือ ข้าวนึ่งถอนหายใจยาวพี่พ่อครัวที่ร้านรีบเข้ามากระตุกแขนข้าวนึ่งเบาๆอย่างห่วงใยแล้วเข้ามาแทรกกลาง กลัวว่าข้าวนึ่งจะหมดความอดทน
“รีบพาคุณผู้หญิงไปโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลยครับพรี้”
พี่พ่อครัวที่ร้านพูดอย่างประณีประนอมพลางแยกข้าวนึ่งให้ถอยไปก่อน แต่คนที่เป็นผัวจ้องข้าวนึ่งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อยังไม่วายพูดใส่ข้าวนึ่ง
“เป็นแม่ครัวแต่ให้ทำอะไรง่ายๆไม่ได้ ไม่พยายามเลยนี่ น่าจะจำได้นะว่ามาทุกทีสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรสทุกที เรื่องง่ายๆแค่นี้ไม่ใส่ใจก็ไปตายซะ” ข้าวนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกเจ็บปวดกับคำพูดนี้อย่างที่สุด ไม่เป็นก็ได้ว๊ะ! แม่ครัวใครเคยเป็นแบบนี้บ้างหัวร้อนเพราะคำพูดที่มันทำให้รู้สึกเจ็บปวด กว่าคำพูดหยาบคาย
“พูดดีดีนะโว๊ย! สั่งอะไร ถามอะไรก็ไม่บอก เอาแต่กดโทรศัพท์ธุระเยอะเกินนี่ ตอนสั่งก็ไม่เห็นบอกน้องว่าไม่ใส่ รู้ว่าตัวเองกินไม่ได้ไม่แน่ใจแล้วกินไปทำไมก่อน กินแล้วพอจะตายดันมาโทษคนทำ มาสองครั้งแหม๋มาบ่อยเกินนี่ ตั้งสองครั้งเชียว และคุณเมิงงงงเป็นอะไรก่อน เป็นเทวดาหรืองัยหรือว่าเป็นลิซ่า หรือเซียวจ้านต้องให้มาจำว่าเคยมาที่ร้าน วิเศษนักเหรอห๊ะ อย่าให้เจอข้างนอกนะ”
ข้าวนึ่งถอดผ้ากันเปื้อนปาลงกับพื้นยกมือเท้าเอวข้างหนึ่งอีกข้างชี้หน้าคนผัวที่ทำตาปริบๆ ทุกคนในที่นั้นต่างถอนหายใจยาวพร้อมๆกัน
ช่างแม่งวันนี้พรุ่งนี้ค่อยมาลาออก
ทั้งสองคุมตัวทหารองครักษ์ที่ถูกกล่าวหาเข้ามาทันที ทหารองครักษ์คุกเข่าลงข้างหน้าหยางลี่ พร้อมกับเสียงสั่นเครือที่รีบกล่าวเสียงดังอย่างร้อนรน"ฝ่าบาทไว้ชีวิตให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยเห็นแก่เงินเพียงเล็กน้อยก็ทำเรื่องเลวร้าย ไม่คาดคิดว่าจะเกี่ยวพันเรื่องร้ายแรงเพียงนี้""พูดมาให้หมด แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า"หยางลี่ก้มลงมองทหารองครักษ์ด้วยสายตาเย็นชา ทหารองครักษ์รีบพูดอย่างรวดเร็ว"ตอนนั้นข้าน้อยได้รับหน้าที่ให้ตรวจค้นเรื่องยาพิษในวังหลวง สนมเอกหยางชินอวี้จึงได้มอบทองให้ข้าน้อยจำนวนหนึ่งและมอบห่อยาพิษเพื่อให้ข้าน้อยแสร้งทำเป็นว่าค้นเจอในตำหนักเย็น ทองพวกนั้นยังอยู่ในห้องของข้าน้อย ข้าน้อยยังไม่ทันใช้เลยนะขอรับ"คำสารภาพของทหารองครักษ์ทำให้ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง หยางลี่ไม่พูดอะไร แต่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเขาบ่งบอกถึงความเครียดที่เพิ่มขึ้นหยางชินอวี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นสีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธที่ทหารนายนี้รับเงินตนไปตั้งมากแต่กลับพูดออกมาหมด พูดออกมาเสียงแหลม"ฝ่าบาทไม่ใช่นะเพคะ ต้องมีใครคิดจะใส่ร้ายข้า เพื่อกำจัดตระกูลของข้าด้วย เพราะรู้ว่าตระกูลจางของข้ามีอำนาจในวังหลวง จ
เสียงฝีเท้าของจี้เหวินดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน มือสั่นเล็กน้อยขณะเดินเข้ามาในห้องเสี่ยวอี้พยุงเสี่ยวหนี่เดินเข้ามาและพามานั่งลงข้างหยางลี่ ความตึงเครียดในอากาศชัดเจน หยางลี่ขมวดคิ้วถามเสียงอ่อนโยนลงค่อยๆ ช่วยประคองเสี่ยวหนี่นั่งลง“เจ้ามาทำไม ไหนบอกว่าจะรอข้าอยู่ที่ตำหนัก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ไม่ควรเอาตัวเองมายุ่งเรื่องวุ่นวายพวกนี้”“ข้าไม่เป็นไร” เสี่ยวหนี่ยิ้มบางๆ ให้หยางลี่จี้เหวินเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหยุดลงทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าหยางลี่ ร่างบางสั่นระริกด้วยความวิตกกังวลและความกลัว“ข้าน้อยจี้เหวิน ขอสำนึกผิดในทุกๆ การกระทำของตน ขอสารภาพทุกอย่างที่ข้าได้ทำไปทั้งหมด” เสียงของจี้เหวินแหบแห้ง“ขอเพียงแค่ฝ่าบาทจะโปรดเมตตาให้ข้าสักครั้ง ข้าพร้อมรับทุกโทษที่สมควรได้รับ”สายตาของจี้เหวินฉายแววความวิตกกังวลและหวาดกลัว หยางลี่คิ้วขมวดขณะที่มองจี้เหวินที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าใบหน้าจะนิ่งเฉย เสี่ยวหนี่ที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าทีของจี้เหวินก็รู้สึกถึงความลำบากของจี้เหวิน จี้เหวินหันไปมองเสี่ยวหนี่ แววตาเต็มไปด้วยความหวัง ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเครือ“น้อง
ห้องเงียบงันในช่วงเวลาที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่หยางลี่ที่ยืนอยู่กลางห้อง ใบหน้าของเขาฉายแวววิตกกังวล เมื่อเขาหันไปถามคำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าพลาดอะไรไปหรือเปล่า” เสียงของหยางลี่ดังก้องในห้อง ก่อนที่เขาจะถามต่อไป “เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น ทำไมข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้” ชวีหยายิ้มออกมาอย่างขมขื่นคำถามของหยางลี่ทำให้ชวีหยาไม่สามารถกลั้นความรู้สึกที่ท่วมท้นได้ ยิ้มขมขื่นแล้วปล่อยให้ความเจ็บปวดที่สะสมมานานออกมาในรูปของคำพูด“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทไม่ใช่พลาดอย่างเดียว แต่เพราะฝ่าบาทไม่เคยใส่ใจข้า… ข้าต้องไปทนลำบากอยู่ที่ตำหนักเย็นเพราะนางมารหยางชินอวี้ใส่ความข้าว่าข้าให้มีดทำลายใบหน้าของนาง ไทเฮาจึงสั่งให้ลงทัณฑ์ข้าโดยการส่งตัวข้าไปที่ตำหนักเย็น ชวีหยาเริ่มพูดเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความคับแค้นในใจ หยางลี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นหายใจออกยาว รู้สึกถึงความผิดหวังที่ซ่อนไว้ในใจ เขาพยายามรวบรวมสติแล้วพูดขึ้นเสียงแผ่ว “อวี่หรง... เหตุใดเรื่องนี้ถึงไม่มีการไต่สวน”อวี่หรงที่ยืนอยู่ข้างๆ หยางลี่ขยับเท้าและส่ายหัวไปมา พร้อมกับกล่าวคำตอบที่หนักแน่น “เพราะตอนนั้นสนมเอกหยางชินอวี้บาดเจ็บอย่างหนัก ไทเฮาจึงไม
ในห้องไต่สวนเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด เมื่อหยางชินอวี้เดินเข้ามาในห้อง ท่ามกลางความเงียบสงัดและสายตาของผู้คนที่จับจ้องไปที่ หยางชินอวี้ที่ไม่สามารถเก็บอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไปปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลพราก"ฝ่าบาทชินอวี้ไม่เคยคิดจะทำร้ายฮองเฮา ถึงแม้ที่ผ่ามมาฝ่าบาทจะไม่เคยสนใจชินอวี้ข้านั่งตำแหน่งสนมเอกแค่เพียงในนามแต่ชินอวี้รู้ตัวดีไม่คิดแค้นเคืองหรือเอาตัวเองไปเปรียบกับฮองเฮา คนอย่างหยางชินอวี้ กล้าทำกล้ารับ หากข้าวางยาแล้วทำไมต้องให้ต๋วนลี่อิ๋งมาด้วย" เสียงของหยางชินอวี้ดังขึ้นอย่างอัดอั้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มองไปที่ต๋วนลี่อิ๋งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังต๋วนลี่อิ๋งยืนอยู่ในมุมห้อง ใจเต้นแรงด้วยความกลัวและอึดอัด รู้ดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำถามที่หยางชินอวี้จะโยนกลับมาได้ ก่อนที่จะพูดเสียงแผ่วเบา“ข้า…ข้ายอมทำเพราะ… เจ้าบอกเองว่าไม่กล้าสู้หน้าฮองเฮา…ให้ข้ายกมาเพื่อแสดงความยินดีกับฮองเฮาที่ตั้งครรภ์”หยางชินอวี้หันไปมองต๋วนลี่อิ๋งด้วยแววตาแค้นเคือง“ผิดแล้วเจ้าตั้งใจใส่ความข้า เจ้าเป็นคนทำให้ข้าโดนกล่าวหา ข้าไม่เคยคิดจะทำเช่นนั้น ถ้าเจ้าทำอะไรเพียงเพ
ในห้องครัวขนาดใหญ่ของวังหลวง สนมเอกหยางชินอวี้ยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารบำรุงครรภ์สำหรับเสี่ยวหนี่ หยางชินอวี้ขยับมืออย่างชำนาญไปตามขั้นตอนการปรุงที่ละเอียดรอบคอบ ความตั้งใจของนางในวันนี้ไม่ใช่แค่การทำอาหารธรรมดา แต่เป็นการสร้างความประทับใจให้กับฮองเฮาเสี่ยวหนี่ เสี่ยวหนี่จะจำไปจนตายและหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากหยางลี่ต่อจากนี้“อาหารนี้จะต้องทำให้เสี่ยวหนี่รู้สึกถึงความเอาใจใส่จากข้า” หยางชินอวี้คิดในใจ ในขณะเดียวกัน สนมต๋วนลี่อิ๋งยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของนางมองไปที่ถาดอาหารที่หยางชินอวี้กำลังเตรียมอย่างลังเล มองดูแล้วท่าทางของต๋วนลี่อิ๋งไม่ค่อยมั่นใจ สงสัยว่าควรจะรับหน้าที่ไปให้ถึงมือฮองเฮาหนี่ฮวาหรือไม่หยางชินอวี้มองไปที่สนมต๋วนลี่อิ๋ง แล้วรู้ทันทีว่ากำลังลังเล ก่อนจะยิ้มบางๆ พร้อมกับพูดเสียงเย็นเฉียบ“กลัวหรือ เจ้าก็แค่บอกไปเลยว่า ข้าทำอาหารบำรุงครรภ์นี้เอง... แต่เพราะข้าไม่กล้าสู้หน้าฮองเฮา ข้าจึงไม่กล้านำเครื่องเสวยไปถวายเอง...เจ้าจึงอาสาดีไหม”คำพูดของหยางชินอวี้เหมือนจะเป็นคำเตือนที่แฝงความหมายอย่างชัดเจน ทำให้สนมต๋วนลี่อิ๋งไม่สามารถ
เช้าของวันใหม่เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้องที่อบอุ่น เสี่ยวหนี่รู้สึกเหมือนตื่นขึ้นมาจากความฝัน เมื่อลืมตาขึ้นมา พบว่าใบหน้าอุ่นๆ ของหยางลี่อยู่ใกล้มากเสี่ยวหนี่ซุกหน้าลงกับอกเขา หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ รู้สึกถึงความอบอุ่นจากเขาที่กอดเอาไว้แน่นทั้งคืน ทั้งสองยังคงอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างเงียบสงบ เสียงลมหายใจของเขาที่สม่ำเสมอทำให้รู้สึกอุ่นใจเสี่ยวหนี่เริ่มทบทวนในใจว่า… นี่มันความฝันหรือความจริงกันแน่ลูบหน้าเขาเบาๆ ราวกับต้องการยืนยันว่าเขาคือจริงๆ คือหยางลี่ ไม่ใช่ภาพในความฝันที่หลับไปแล้วไม่อยากจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย“ถ้านี่คือความฝัน…ข้าไม่อยากตื่นเลย…” เสี่ยวหนี่คิดในใจ ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงของตงเจี้ยนที่ตามมา"ฝ่าบาท ฮองเฮา ข้าตงเจี้ยนรับหน้าที่นำของกำนัลรับขวัญหลานคนแรกจากไทเฮามาส่งพ่ะย่ะค่ะ"เสียงของตงเจี้นดังมาถึงข้างในชัดเจน ก็มันสายป่านนี้แล้วนี่เสี่ยวหนี่ลุกขึ้นทันที หยางลี่ขยับตัวออกจากการกอดและลุกขึ้นตาม แต่ยังคงมีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่บนใบหน้า เขาเดินออกไปตามเสี่ยวหนี่ ตงเจี้ยนยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับของกำนัลมากมายที่ถูกล