Share

14

Author: RainyStarSea
last update Last Updated: 2025-09-16 21:23:45

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังดังระงมรอบลานชมบุปผา “ฮองเฮาเป็นผู้จัดงานจะปฏิเสธความผิดได้อย่างไร!”

“สนมขั้นผินถึงกับเกือบสิ้นใจเช่นนี้ มิใช่เรื่องเล็กแล้ว!”

หมอหลวงยังคงคุกเข่า รายงานเสียงหนักแน่นว่าเป็นอาการแพ้ดอกไม้ที่ใช้ประดับงานซึ่งทั้งหมดล้วนผ่านมือฮองเฮาจัดการทั้งสิ้น

สายตาของเหล่าสนมพุ่งมาที่อวิ๋นซินเยว่ไม่วาง ราวกับเธอเป็นอาชญากรตัวจริง ร่างบางกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ไร้ทางรอด…

ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังเจื้อยแจ้วขึ้นในโสตประสาทของเธอ เสี่ยวหลิง!

[หม่าม๊า…ทุกคนกำลังตัดสินท่านผิดแน่ ๆ แล้วครับ แต่ถ้าหม่าม๊าอยากให้ช่วย เสี่ยวหลิงก็พอมีวิธีขอรับ]

อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งน้อย ๆ คิ้วขมวดแน่น พลันกระซิบในใจ 'วิธีอะไร'

[วิธีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นในวันนี้อย่างปลอดภัย… เสี่ยวหลิงสามารถปล่อยบั๊กข้อมูล ให้หลักฐานทั้งหมดเบี่ยงเบนไปหาคนอื่นได้ แต่ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนครับ]

'ข้อแลกเปลี่ยนเหรอ'

เสี่ยวหลิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเบาลง ราวกับตัวเองก็ไม่อยากพูด

[หากวันนี้หม่าม๊าใช้วิธีนี้…ท่านจะรอดพ้นก็จริง แต่ระบบจะตัด *เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท ที่ควรเกิดขึ้นหลังงานนี้ออกไปขอรับ]

หัวใจของอวิ๋นซินเยว่กระตุกแรง เหตุการณ์พิเศษ…?

ระบบรีบเสริม

[ใช่ครับ เหตุการณ์ที่จะทำให้ฝ่าบาทเผยด้านที่ไม่มีใครเคยเห็นต่อท่าน แต่หากท่านรอดด้วยวิธีนี้ เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้นเลย…]

อวิ๋นซินเยว่กัดริมฝีปากแน่น เลือดในกายเย็นวาบ ความคิดวุ่นวายวิ่งวนในหัว หากไม่ทำอะไรเลย เธออาจถูกตราหน้าว่าเป็นฮองเฮาที่ทำหน้าที่บกพร่องและในวังหลังที่โหดร้ายเช่นนี้ ชื่อเสียงที่แปดเปื้อนคือหายนะ ความไว้วางใจจากไทเฮาก็คงจะลดน้อยลง และศัตรูที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คงดีใจที่แผนของตนสำเร็จ แต่ถ้าใช้ทางลัดของเสี่ยวหลิง…เธอจะปลอดภัย แต่ก็ต้องแลกกับการเสียโอกาสเข้าใกล้หัวใจฝ่าบาท ที่ยากนักจะได้มา

เสียงกระซิบรอบกายยังดังต่อเนื่อง ดวงตานับร้อยยังจับจ้อง นางกำนัลบางคนถึงกับเริ่มร่ำไห้ตกใจ กลีบดอกไม้ปลิวล้อสายลมราวกับซ้ำเติมสถานการณ์ อวิ๋นซินเยว่หอบหายใจสั้น ๆ ในใจมีเพียงสองเส้นทาง

หากเธอเลือกความปลอดภัยใช้ทางลัดของระบบ แม้รอดจากศึกครั้งนี้ แต่ต้องยอมเสีย“เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท”ไป แต่หากเลือกเส้นทางที่เสี่ยง ไม่ใช้ระบบ แต่หาทางรอดด้วยตนเอง แม้อาจถูกตราหน้า…แต่ยังรักษาโอกาสที่จะสัมผัสหัวใจเขาได้ เธอกำมือแน่น สายตาสั่นไหว เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงเบา

[หม่าม๊า…ท่านจะเลือกทางไหนครับ]

คิ้วเรียวของเธอกระตุกไหว แววตาไหววูบด้วยความกลัวเพียงเสี้ยววินาทีแล้วนิ่งสงบ เธอกัดริมฝีปากบางแน่น ข่มเส้นเสียงให้มั่น “ไม่…เสี่ยวหลิง ข้าจะหาทางของข้าเอง” ร่างเล็กของเด็กชายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบเบา ๆ

[รับทราบ ผมจะอยู่ตรงนี้ ถ้าหม่าม๊าขอข้อมูลและคำเตือนผมจะให้…แต่จะไม่แตะต้องชั้นข้อมูลโลกนี้]

อวิ๋นซินเยว่สูดลมหายใจลึก จนรู้สึกถึงกลิ่นชาอุ่นปะปนเกสรจาง ๆ เธอลุกขึ้นและก้มหัวอย่างนอบน้อมต่อไทเฮา “ขอพระราชทานอนุญาต หม่อมฉันขอจัดการช่วยชีวิตก่อน ต่อให้ผู้กระทำผิดเป็นใคร ค่อยสอบสวนภายหลังเถิดเพคะ”

ไทเฮาพยักพระเศียรช้า ๆ “ทำเถิด ฮองเฮา”

เสียงของอวิ๋นซินเยว่เปลี่ยนเป็นจริงจังพลิกเป็นคนคุมสถานการณ์ “เปิดหน้าต่างทุกด้าน นำดอกไม้ที่มีเกสรฟุ้งออกห่างศาลาริมน้ำ โดยเฉพาะพวกดอกหมอกเงินและดอกชิงหลิว ขอผ้าขาวชุบน้ำอุ่นสะอาดสำหรับเช็ดเกสรตามมือและใบหน้าอย่าให้ถูกตา หาผงถ่านสะอาดและน้ำขิงอุ่นมาด้วย!” หมอหลวงเงยมองอย่างประหลาดใจ “พระนาง…รู้ตำรับช่วยแก้อาการแพ้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เพียงช่วยเบื้องต้นเท่านั้น” เธอยิ้มบาง “ข้าเคยอ่านตำรามาหลายเล่ม” เสียงกระซิบในหัวดังขึ้นทันที

[คำเตือน: ลมวันนี้พัดจากตะวันตกเฉียงใต้ มุมศาลาริมน้ำรับลมพอดี ให้หันศีรษะเต๋อผินเข้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อลดการสูดเกสรเพิ่ม]

เธอยกมือปรับตำแหน่งหมอนรองคอเต๋อผินตามนั้นอย่างแม่นยำ “ส่วนเจ้าช่วยตรวจถุงหอมของเต๋อผินและเครื่องประดับดอกไม้ที่ติดตัววันนี้…เอามาให้ข้าด้วย” นางกำนัลของเต๋อผินตัวสั่น รีบแกะถุงหอมลายปักดอกเหมยออกส่งให้ อวิ๋นซินเยว่รับมา วนปลายนิ้วสัมผัสผงละอองละเอียดติดผิวทันที มีกลิ่นบาง ๆ แตกต่างจากกลิ่นดอกไม้ในลาน

[วิเคราะห์กลิ่น: ใกล้เคียง “เมล็ดหญ้าหมอกปีศาจ” (ชื่อเรียกพื้นบ้าน) มักถูกใช้ในถุงหอมเพื่อขับแมลง แต่เป็นตัวกระตุ้นอาการแพ้ในบางคนได้ พบในเขตสวนด้านตะวันออกเท่านั้น ไม่ใช่ดอกไม้ที่ฮองเฮาจัดเตรียมในบริเวณงาน]

หัวใจเธอเต้นโครมครามข้อมูลเหล่านี้จากระบบเพิ่มความมั่นใจอีกหลายส่วน เธอส่งถุงให้หมอหลวง “โปรดตรวจด้วย ข้าเกรงว่าต้นเหตุอาจไม่ใช่ดอกไม้ในงาน แต่เป็นสิ่งที่ติดตัวนางเอง หรือของที่ มีผู้ปรารถนาดีมอบให้ก่อนมางาน” สายตาหลายคู่เบิกกว้าง บางคนเริ่มมองหน้ากันอย่างคลางแคลง ซูกุ้ยเฟยยังคงยิ้มอยู่แต่ปลายพัดในมือหยุดชะงักนิ่งไปแล้วนิดหนึ่ง

“น้ำขิงมาแล้วเพคะ!”

“ผ้าชุบน้ำอุ่นเพคะ”

“ผงถ่านละเอียด!” อวิ๋นซินเยว่รับชามน้ำขิงอุ่น ใช้ช้อนเล็กค่อย ๆ ป้อนให้เต๋อผินที่เริ่มหายใจลึกขึ้น เธอปลอบเสียงอ่อน “อีกนิดนะ เจ้าวางใจ...” มืออีกข้างเช็ดคราบเกสรตามแนวแก้มและลำคอเบา ๆ ลมหายใจของเต๋อผินค่อย ๆ สม่ำเสมอขึ้น อย่างช้า ๆ เหมือนคลื่นน้ำกลับเข้าฝั่ง

หมอหลวงตรวจชีพจรอีกรอบ “พระอาการดีขึ้นมากแล้วพะย่ะค่ะ” เสียงของผู้คนรอบข้างค่อย ๆ เปลี่ยนจากตื่นตระหนกเป็นชื่นชมในไหวพริบและการจัดการแก้ปัญหาอย่างใจเย็น ไทเฮามองลงมา แววตาที่เคยนิ่งสงบเสมอเหมือนน้ำในบ่อกระเพื่อมเล็กน้อย

“ฮองเฮา” พระสุรเสียงเนิบช้า “เจ้าจัดการช่วยชีวิตคนได้สงบนิ่งยิ่งนัก ข้าขอชื่นชม” เธอค้อมกาย “เพคะ หม่อมฉันทำเพียงสิ่งควรทำเท่านั้น”

“แล้วเรื่องความผิดเล่าเพคะ” เสียงหนึ่งพุ่งมาจากแถวสนมที่สนิทกับเต๋อผิน ยังไม่ยอมปล่อย “ต่อให้ถุงหอมเป็นต้นเหตุ ก็ใช่ว่าดอกไม้ในงานจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

อวิ๋นซินเยว่หันไป ยิ้มละมุน “พวกเจ้าตรวจให้หมดทั้งถุงหอมและดอกไม้ในงาน ข้าขอให้ขันทีบันทึกเส้นทางขนส่งดอกไม้ ลำเลียงจากสวนส่วนใด ผ่านมือผู้ใดและบันทึกว่า ‘ใคร’ มอบถุงหอมให้เต๋อผินก่อนเข้าลาน”

ซูกุ้ยเฟยวางพัดลงเบา ๆ “เจ้าคิดว่ามีผู้ใด…มอบของอันตรายให้นางเช่นนั้นหรือ?” น้ำเสียงเย็นเรียบ ดวงตาเหมือนหิมะค้างปี

“ข้าไม่คิดอะไร เพียงแค่ตรวจสอบให้ชัดเจนเท่านั้น” อวิ๋นซินเยว่ยิ้มเย็น “เพราะหากเป็นอุบัติเหตุ ผู้มอบก็มิได้เจตนา จะกล่าวให้ร้ายก็ไม่เป็นธรรม แต่หากมีผู้ประสงค์ร้าย… การบันทึกไว้วันนี้จะปกป้องทุกคนในครั้งหน้า”

ไม่นาน ขันทีผู้รับหน้าที่จัดแจงลำเลียงดอกไม้มายังบริเวณที่จัดงานก็นำสมุดบันทึกเส้นทางขนย้ายมาด้วย ในนั้นระบุชัดว่าชุดดอกไม้กลางทั้งหมดถูกคัดจากสวนหลวงฝ่ายกลาง ไม่ผ่านเขตตะวันออกที่ปลูกหญ้าหมอกปีศาจ ขณะที่พยานสองคน (นางกำนัลเรือนตะวันออก) ยืนยันว่า เมื่อเช้าเห็นถุงหอมห้อยอยู่หน้าต่างเรือนเต๋อผินมีเด็กสาวคนหนึ่งจากตำหนักฝ่ายซ้ายมาส่งให้โดยอ้างว่าเป็นของฝากจากผู้ใหญ่ที่หวังดี ห้องทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ ไทเฮาผงกพระพักตร์เพียงเล็กน้อย “เรียกเด็กสาวคนนั้นมาและคนที่ส่งเธอมาสอบเสีย” พระสุรเสียงไม่ดังนัก แต่ก็เจืออำนาจที่ทำให้คนไม่อาจไม่ทำตาม

ซูกุ้ยเฟยยิ้มอีกครั้งงามเหมือนบุปผาแต่สายตากลับแฝงแววไม่พอใจ “ไทเฮาทรงรอบคอบเสมอเพคะ ข้าก็อยากทราบเช่นกันว่า…ใครกล้าทำเรื่องเช่นนี้ในงานสำคัญ” นางหันพัดเบา ๆ คล้ายบอกแก่ทุกคนว่าเธอสะอาดหมดจดทั้งที่ในแววตายังแฝงความเคร่งเครียดลึก ๆ เต๋อผินฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สีหน้ากลับมามีเลือดฝาดเล็กน้อย เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะทรุดตัวลงเพื่อคารวะฮองเฮา แต่อวิ๋นซินเยว่รีบประคอง “อย่าเพิ่ง พักก่อนเถอะ”

เสียงเสี่ยวหลิงกระซิบข้างหูหญิงสาว

[ติ๊ง… แต้มความเลื่อมใสจากวังหลัง +20… แต้มความเชื่อใจจากไทเฮา +12… หม่าม๊า…เก่งมากเลยขอรับ]

เธอยิ้มอ่อน ทั้ง ๆ ที่ร่างกายเพิ่งปล่อยความตึงเครียดออกไปและมือยังอ่อนแรงจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอนั่งลงอีกมุมหนึ่งของศาลา ปล่อยให้ลมพัดผ่านปลายผม กลิ่นขิงอุ่นยังอ้อยอิ่งบนปลายลิ้น รสชาติไม่คลายแต่ก็ไม่ขมเหมือนทีแรกเป็นรสชาติของการรอดด้วยตัวเอง

ยามอาทิตย์ยามเย็นคลี่สีส้มอมแดง เธอกลับถึงตำหนักคุนหนิงอย่างอ่อนเปลี้ย แต่ในอกอบอุ่นแปลก ๆ นางกำนัลรายล้อมถามด้วยความเป็นห่วง เธอเพียงพยักหน้ายิ้ม บอกให้ทุกคนพัก เสียงหัวเราะเบา ๆ ของพวกนางไหลไปตามระเบียง เหมือนสายน้ำเล็ก ๆ ในคืนฤดูใบไม้ผลิ

คืนเดียวกันนั้นลมกลางคืนพัดโชยกระทบต้นไม้จนใบโยกไหวเอนดังซู่ซ่า เสียงรองเท้าหนังปักบางเบาก้าวบนทางหินกรวดหน้าตำหนักคุนหนิง เงาร่างสูงในชุดผ้าต่วนเข้มยืนข้างตะเกียงลาน สายตาดำสนิทที่เคยมืดเหมือนบ่อน้ำลึก สะท้อนเปลวไฟเป็นประกายเล็ก ๆ ข้างกันนั้นมีกงกงคนสนิทยืนนอบน้อมอยู่ด้านหลัง

ประตูบานในยังไม่ทันเปิดออก รอยเลือดจาง ๆ ที่แก้มขวาของเธอ ก็ผุดวาบขึ้นในความทรงจำของเขา พร้อมภาพสตรีผู้ยืนตรงกลางท้องพระโรง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้

นิ้วมือเรียวยาวของเขาขยับเล็กน้อยราวจะผลักเข้าไปภายใน แต่แล้วกลับหยุดลงกลางคัน น้ำเสียงไล่ต่ำในลำคอแผ่วออกมาแทน “น่ารำคาญ…” แต่แววตากลับไม่ยอมละจากเงาของนางที่สะท้อนบนกระจกบานใน

กงกงอี้จิ้งลอบยิ้มมุมปาก “ฝ่าบาท…จะไม่เข้าไปหรือพะย่ะค่ะ”

“ไม่” เขาตอบสั้น ๆ แล้วหันหลัง เสียงผ้าต่วนเสียดสีกับลมดังนุ่ม เขาก้าวจากไปอย่างเงียบเชียบ แต่ปล่อยถ้อยคำหนึ่งทิ้งไว้กับกงกงทั้งเบา ทั้งแข็ง

“…พรุ่งนี้ ส่งตำรับชาที่เพิ่งได้มาไปให้ตำหนักคุนหนิง”

กงกงค้อมศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ”

ภายในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่หน้าต่าง กุมถ้วยชาไว้ด้วยสองมือ อุ่นเบา ๆ ผ่านฝ่ามือและผ่านเข้าไปถึงหัวใจ เสี่ยวหลิงลอยตุ้บป่องขึ้นมาใกล้ ๆ ทำหน้ามู่ทู่คล้ายเด็กชายที่พยายามกลั้นน้ำตา

“เสี่ยวหลิงน้อยเป็นอะไรไป” เธอถามยิ้ม ๆ

[ไม่มีอะไรครับ… แค่…ภูมิใจในหม่าม๊ามาก ๆ ] เสียงเขาสั่นน้อย ๆ ก่อนจะแกล้งทำท่าชูนิ้วโป้ง

[ภารกิจกู้หน้าสำเร็จ! แต้มความอบอุ่นของฝ่าบาท…คาดการณ์ว่า…จะเพิ่มเร็ว ๆ นี้ครับ]

“หนูรู้ได้อย่างไร”

[เพราะ…คืนนี้ ลมทางเหนือพัดมาแรง แต่หน้าต่างบานโน้น…ยังอุ่นอยู่เลยครับ]

เธอชะงัก แล้วหันไปทางเงาสะท้อนบนกระจกบานใน ปรากฏเงาไหวลาง ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากแสงตะเกียง หากเกิดจากใครบางคนที่เพิ่งเดินผ่านไป เธอยกมือแตะแก้มขวาเบา ๆ ตรงรอยแผลเก่า หัวใจเต้นถี่รัว ทางเลือกที่เธอตัดสินใจพาตัวเธอเองให้รอดพ้นได้อีกครั้ง… “ต่อให้ยากกว่านี้เราก็ไปต่อด้วยสองมือเราเอง”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   15

    เสียงเหล่าขุนนางขานรายงานลากยาวราวบทสวดอันซ้ำซาก อวี้เหยียนนั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรเย็นเยียบไล่ไปทีละคน…จนถึงเงาร่างหนึ่งที่นั่งเคียงข้าง ผ้าคลุมไหล่สีเข้มของฮองเฮาอวิ๋นซินเยว่สะท้อนเข้าตาเขาพอดี ดวงตาเธอก้มต่ำ ฟังรายงานอย่างสงบ แต่นิ้วเรียวแอบหมุนกำไลหยกบนข้อมือซ้ายไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพียงท่าทางเล็กน้อยนั้น กลับสะกิดของเขายิ่งนัก มุมปากหยักหนายกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขารีบตวัดสานตากลับไปยังขุนนางที่กำลังเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีชายแดน หลี่กงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่าง มองเห็นแววตานั้นชัดกว่าใคร คนที่นั่งสูงสุดบนบัลลังก์ มังกรยังเป็นมังกร แต่แววตานั้น…ไม่เหมือนเดิม ฮ่องเต้หนุ่มที่ดึงสติกลับมา ได้ยินเสียงขุนนางหนุ่มฝ่ายบุ๋นดังขึ้นอย่างกล้าหาญเกินวัย “ทูลฝ่าบาท หากยังเก็บภาษีเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านชายแดนจะอดตายพะย่ะค่ะ” “เงียบ” พระสุรเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงขุนนางหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบก้มลงคุกเข่า ทุกสายตาในท้องพระโรงตึงเครียด แต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าทั้งห้องเงียบรางกับไร้ผู้คน…ยกเว้นเพี

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   14

    เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังดังระงมรอบลานชมบุปผา “ฮองเฮาเป็นผู้จัดงานจะปฏิเสธความผิดได้อย่างไร!”“สนมขั้นผินถึงกับเกือบสิ้นใจเช่นนี้ มิใช่เรื่องเล็กแล้ว!”หมอหลวงยังคงคุกเข่า รายงานเสียงหนักแน่นว่าเป็นอาการแพ้ดอกไม้ที่ใช้ประดับงานซึ่งทั้งหมดล้วนผ่านมือฮองเฮาจัดการทั้งสิ้นสายตาของเหล่าสนมพุ่งมาที่อวิ๋นซินเยว่ไม่วาง ราวกับเธอเป็นอาชญากรตัวจริง ร่างบางกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ไร้ทางรอด…ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังเจื้อยแจ้วขึ้นในโสตประสาทของเธอ เสี่ยวหลิง![หม่าม๊า…ทุกคนกำลังตัดสินท่านผิดแน่ ๆ แล้วครับ แต่ถ้าหม่าม๊าอยากให้ช่วย เสี่ยวหลิงก็พอมีวิธีขอรับ]อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งน้อย ๆ คิ้วขมวดแน่น พลันกระซิบในใจ 'วิธีอะไร'[วิธีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นในวันนี้อย่างปลอดภัย… เสี่ยวหลิงสามารถปล่อยบั๊กข้อมูล ให้หลักฐานทั้งหมดเบี่ยงเบนไปหาคนอื่นได้ แต่ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนครับ]'ข้อแลกเปลี่ยนเหรอ'เสี่ยวหลิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเบาลง ราวกับตัวเองก็ไม่อยากพูด[หากวันนี้หม่าม๊าใช้วิธีนี้…ท่านจะรอดพ้นก็จริง แต่ระบบจะตัด *เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท ที่ควรเกิดขึ้นหลังงานนี้ออกไปขอรับ]

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   13

    เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   12

    และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   11

    ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   10

    เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status