เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส
“กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน หากคนเรายิ้มได้แม้วันที่โศกเศร้าที่สุด แม้ฤดูกาลใดก็ไม่มีผล" คำพูดนั้นเรียบง่าย ไม่ใช่กลอนโบราณสลับซับซ้อน แต่กลับมีจังหวะและสัมผัสพอให้ทุกคนฟังแล้วเข้าใจทันที เสียงหัวเราะเบา ๆ จากเหล่าสนมดังขึ้นไม่ใช่หัวเราะเยาะ แต่เป็นหัวเราะด้วยความเอ็นดู บางคนถึงกับกระซิบกับคนข้างตัว “เป็นกลอนที่เรียบง่ายแต่กลับตรงใจจริง ๆ” อวิ๋นซินเยว่วางท่าเอาพัดปิดใบหน้าเล็กน้อยคล้ายเจินอาย “เห็นไหมเพคะ หม่อมฉันเตือนแล้วว่าหามีความสามารถเทียบใครไม่…กลอนแบบนี้แม้แต่เด็ก ๆ ในบ้านนอกยังแต่งได้เลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลิงแจ้งเตือน [ติ๊ง! แต้มความเอ็นดูจากผู้ฟัง +15! แต้มความอบอุ่นจากไทเฮา +8! กุ้ยเฟย: ความหงุดหงิด +20!] ไทเฮากลับแย้มพระโอษฐ์ ยกถ้วยชาจิบช้า ๆ พลางตรัส “บางครั้ง ความงามของกลอนอยู่ที่ความจริงใจ ไม่ใช่ความวิจิตร” เพียงประโยคเดียวจองพระนาง ทุกคนก็ก้มศีรษะเห็นด้วย ซูกุ้ยเฟยที่ตั้งใจจะดันฮองเฮาให้ขายหน้า กลับต้องยิ้มรับอย่างสงบ แต่ดวงตาเป็นประกายวาวคล้ายถูกหักหน้าโดยไม่รู้ตัว ........ หลังเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ไทเฮามีรับสั่งให้ทุกคนตามสบาย บรรดาสนมทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าพากันจับกลุ่มแยกย้ายกันเดินชมดอกไม้ กลุ่มละสามคน ห้าคน กระจายไปทั่วบริเวณสวนดอกไม้ บ้างก็นั่งจิบชากินขนมพูดคุยกันเบา ๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ารื่นรมย์ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกันอยู่นั้น เสียงดนตรีจากพิณยังบรรเลงคลอเคล้าสร้างบรรยากาศอยู่นั้น ร่างของสตรีผู้หนึ่งกลับล้มฟุบลงตรงเบื้องหน้าโต๊ะอาหาร เต๋อผิน พระสนมรูปงามผู้เป็นที่เอ็นดูของเหล่าสนมชั้นรองต่างหวีดร้องตกใจ “เต๋อผิน! เต๋อผินเป็นอะไรไป!” “รีบพาไปพักเดี๋ยวนี้!” ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที เสียงหวีดร้องของนางกำนัลดังระงมทั่วลานชมบุปผา ทุกคนวิ่งกรูกันเข้ามา ใบหน้าหวาดหวั่นกับเหตุไม่คาดคิดกลางงาน ทว่าท่ามกลางความสับสน ซูกุ้ยเฟยกลับเป็นผู้เดียวที่ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง ริมฝีปากบางสั่งการเสียงชัดถ้อยชัดคำ “รีบไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้! จัดการนำเต๋อผินไปยังศาลาริมน้ำเพื่อให้อากาศถ่ายเท อย่าให้ใครแตะต้องสิ่งที่นางกินหรือดอกไม้รอบตัวนางเด็ดขาด จงเก็บไว้ทั้งหมด! ส่วนคนที่อยู่ใกล้ตัวนางให้ควบคุมตัวเอาไว้!” เสียงนั้นเด็ดขาดจนเหล่านางกำนัลต่างก้มศีรษะรับคำสั่งทันที ผู้คนพากันถอย เปิดทางให้นางกำนัลคนสนิทของกุ้ยเฟยรีบวิ่งออกไป แต่ก่อนจะไป นางกำนัลคนนั้นแอบเหลือบตามองเจ้านายเพียงเสี้ยววินาทีเป็นแววตาที่เข้าใจตรงกันที่ไม่พ้นสายตาเงียบ ๆ ของผู้สังเกตการณ์บางคน ไม่นานนัก หมอหลวงก็เร่งรุดมาถึง ตรวจชีพจรและลมหายใจ ก่อนขมวดคิ้วเข้ม “พระสนมเต๋อผินมิได้เป็นลมธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ…แต่เป็นอาการแพ้ดอกไม้ชนิดหนึ่งอย่างรุนแรง หากช้ากว่านี้เกรงว่าชีวิตจะตกอยู่ในอันตราย” คำวินิจฉัยจองหมอหลวงนั้นทำให้เสียงซุบซิบดังระงมไปทั่วทั้งงาน สนมบางนางที่คุ้นเคยกับเต๋อผินรีบโพล่งออกมาอย่างลนลาน “งานชมบุปผาครั้งนี้ ฮองเฮาเป็นผู้จัดการทุกอย่างมิใช่หรือเพคะ!?” “ใช่แล้ว หากจัดดอกไม้ผิดจนทำให้สนมป่วยถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นความบกพร่องของฮองเฮาโดยแท้!” "บังอาจนัก! กล้าดีอย่างไรมากล่าวโทษฮองเฮา" นางกำนัลคนสนิทของกิ๋นซินเยว่รีบก้าวออกมาปกป้องเจ้านาย บรรยากาศร้อนระอุทันใด สายตาหลายคู่หันมาจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุดรองจากไทเฮา สีหน้าเธอชาวาบแต่ยังพยายามรักษารอยยิ้มบางไว้ ไม่ยอมให้ความหวาดกลัวเผยออกมา ไทเฮา ซึ่งทอดพระเนตรเหตุการณ์ทั้งหมดเพียงเงียบมาตลอด บัดนี้เอ่ยพระสุรเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ “ตลอดงานที่ผ่านมา ฮองเฮาจัดการงานได้เรียบร้อย ไม่เคยบกพร่อง ข้าย่อมไม่ตัดสินด้วยคำครหาเพียงอย่างเดียว… รอให้หมอหลวงตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าเหตุแท้จริงคืออันใดแน่” คำพูดนั้นทำให้แรงกดดันรอบตัวซินเยว่เบาลงเล็กน้อย ทว่าความกังวลยังอัดแน่นอยู่ในอก เพราะเธอรู้ดีว่านี่คือ กับดักที่ซูกุ้ยเฟยปูเอาไว้อย่างแนบเนียน เสี่ยวหลิงโผล่ขึ้นมาเป็นแสงเล็ก ๆ ข้างหู รีบกระซิบเสียงสั่นรัว [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 99%! หม่าม๊ากำลังโดนโยนบาป! ถ้าไม่หาทางพลิกเกม มีสิทธิ์ถูกริบอำนาจได้เลยครับ!] หัวใจอวิ๋นซินเยว่เต้นแรงรัว… คราวนี้เธอจะรอดพ้นไปได้อย่างไร?เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน
และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ
เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็
รุ่งอรุณสาดแสงสีทองผ่านม่านบาง ๆ ของตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่ลุกขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำสิ่งใดสักอย่างเพื่อตอบแทนพระเมตตาเมื่อคืนที่ผ่านมา จากที่ได้ฟังเรื่องราวที่เสี่ยวหลิงเล่าให้ฟัง ประกอบกับคำพูดของนางกำนัลถึงสิ่งที่ฝ่าบาททำให้ แม้จะไม่รู้ว่าคืนนั้นฝ่าบาทได้ยินอะไรไปบ้าง แต่หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ “เตรียมสมุนไพรบำรุงร่างกาย ข้าจะลงมือทำซุปด้วยตัวเอง” นางสั่งเสียงหนักแน่น ไม่นาน กลิ่นหอมละมุนของซุปสมุนไพรค่อย ๆ ลอยอบอวลไปทั่วตำหนัก มือเรียวเล็กยกถาดทองเหลืองขึ้นมั่นคง มุ่งตรงไปยังตำหนักหยางซิน ที่พำนักขององค์จักรพรรดิอวี้เหยียน ภายในท้องพระโรง อวี้เหยียนประทับบนบัลลังก์มังกรสูงสง่า แววตาคมคายยังเย็นเฉียบไม่ต่างจากผืนน้ำแข็งพันปี เมื่อเห็นฮองเฮาก้าวเข้ามาพร้อมถาดในมือ พระเนตรหรี่ลงแวบหนึ่ง “หม่อมฉัน…ทำซุปบำรุงมาถวายเพคะ” อวิ๋นซินเยว่เอ่ยเสียงอ่อนโยน แววตาเปี่ยมความจริงใจ ขันทีข้างพระวรกายรีบรับถาดมาวางตรงหน้าพระอง
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของอวี้เหยียนสะท้อนก้องไปทั่วห้อง อวิ๋นซินเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตระหนก ฝ่าบาทมาถึงหน้าประตูแล้ว แต่เหตุใดมิมีผู้ใดรายงาน! อวิ๋นซินเยว่ตื่นตระหนกแล้ว! "ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ" เธอย่อตัวลง ก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะเดินผ่านหน้าไป ก่อนจะนั่งลงที่เตียงของเธอ "มาเถิด" สีหน้าเรียบนิ่งขององค์จักรพรรดิทำให้อวิ๋นซินเยว่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน หญิงสาวกวาดสายตามองหาเสี่ยวหลิง แต่เจ้าระบบตัวดีกลับไม่อยู่ให้เห็น 'ดีนี่ เสี่ยวหลง! เวลาสำคัญแบบนี้กลับหายหัว ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ' เธอคิดในใจ ร่างบางเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงข้างกายเจ้าแผ่นดิน อวิ๋นซินเยว่ไม่กล้าสบสายตา แต่เธอรู้สึกได้ว่าคนข้างกายตอนนี้กำลังต้องมองนางอยู่ 'โอ๊ย อึดอัดชะมัด จะจ้องเงียบ ๆ อีกนานมั้ยเนี่ย' อวิ๋นซินเยว่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ฝ่าบาท…เมื่อครู่ทรงหัวเราะสิ่งใดหรือเพคะ?” แววตาคมเข้มตวัดลงมาสบกับนาง ริมพระโอษฐ์ยกขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะขบขัน คล้ายจะเย้า สายตาของเธอที่เผลอเหลือบมอง เมื่อเห็นเช่นนั้นยิ่งชวนให้หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก “เปล่า”