เสียงเหล่าขุนนางขานรายงานลากยาวราวบทสวดอันซ้ำซาก อวี้เหยียนนั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรเย็นเยียบไล่ไปทีละคน…จนถึงเงาร่างหนึ่งที่นั่งเคียงข้าง ผ้าคลุมไหล่สีเข้มของฮองเฮาอวิ๋นซินเยว่สะท้อนเข้าตาเขาพอดี ดวงตาเธอก้มต่ำ ฟังรายงานอย่างสงบ แต่นิ้วเรียวแอบหมุนกำไลหยกบนข้อมือซ้ายไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพียงท่าทางเล็กน้อยนั้น กลับสะกิดของเขายิ่งนัก มุมปากหยักหนายกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขารีบตวัดสานตากลับไปยังขุนนางที่กำลังเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีชายแดน หลี่กงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่าง มองเห็นแววตานั้นชัดกว่าใคร คนที่นั่งสูงสุดบนบัลลังก์ มังกรยังเป็นมังกร แต่แววตานั้น…ไม่เหมือนเดิม
ฮ่องเต้หนุ่มที่ดึงสติกลับมา ได้ยินเสียงขุนนางหนุ่มฝ่ายบุ๋นดังขึ้นอย่างกล้าหาญเกินวัย “ทูลฝ่าบาท หากยังเก็บภาษีเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านชายแดนจะอดตายพะย่ะค่ะ” “เงียบ” พระสุรเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงขุนนางหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบก้มลงคุกเข่า ทุกสายตาในท้องพระโรงตึงเครียด แต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าทั้งห้องเงียบรางกับไร้ผู้คน…ยกเว้นเพียงคู่ดวงตาของผู้ที่นั่งข้างบัลลังก์ อวิ๋นซินเยว่ยังคงก้มพินิจแผ่นคำสั่งที่ถูกส่งมา เธอเอียงคอเล็กน้อย มุมปากเหมือนจะขยับรอยยิ้มบาง ๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ อวี้เหยียนที่เผลอมองนางก็รีบดึงสายตาดลับมาอีกครั้ง ดวงตาแข็งกร้าวดังเดิม “คำสั่งเก็บภาษีตามเดิม หากผู้ใดไม่พอใจ…ให้ไปคุกเข่าที่หน้ากำแพงเมืองแทน” เสียงรับสั่ง “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” ดังลั่นพร้อมเพรียง ทุกคนต่างก้มหัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าอีก แต่ภายในอกของผู้ครองบัลลังก์หัวใจเขาสั่นสะท้านรัวแรง จังหวะไม่เหมือนดังเช่นทุกวัน เขาเกลียดความรู้สึกนี้ ความลังเลที่ไม่ควรเกิดในใจจักรพรรดิผู้มีอำนาจเหนือใครในแผ่นดิน ‘สายตานาง…ทำไมจึงต่างไปนัก’ ........ เสียงฝีเท้าขุนนางเดินกลับออกไปทีละก้าว เสียงโลหะของอาวุธทหารเวรเสียดสีกัน แต่สำหรับอวี้เหยียนแล้ว ทุกสิ่งพลันหายไปจากครรลองสายตา เหลือเพียงเสียงในอกที่ดังโครมคราม…และภาพความทรงจำหนึ่งก็ปรากฏในห้วงความคิด ห้องมืดอับชื้น มีกลิ่นเลือดจาง ๆ ชวนคลื่นเหียน องค์ชายสิบสี่ในวัยเยาว์ ถูกซ่อนตัวในคุกใต้ดินหลังเกมการเมืองพลิกผัน ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาไว้ใจ นางคือนางข้าหลวงที่เคยรับใช้ใกล้ชิดเขาคอยอยู่ดูแลทุกคืนยามฝึกอักษร แต่กลับเป็นคนที่ลอบสังหารเขาเสียเอง “ข้า…ขอโทษ องค์ชาย” เสียงนางสั่นเครือ น้ำตาอาบแก้ม แต่มือกลับถือกริชแน่น ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้มาจากคมมีด หากแต่มาจากรอยยิ้มที่เขาเคยคิดว่าอบอุ่นที่สุด อวี้เหยียนหนีรอดวันนั้นมาได้ เพราะองค์ชายสิบสามโผล่มาช่วยทันเวลา แต่ตั้งแต่วินาทีนั้น…นั่นคือฟางเส้นสุดท้าย เขาเลือกจะปิดใจตลอดกาล ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็เหมือนกันหมด เจ้าเล่ห์เพทุบาย เข้าหาด้วยผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายแอบแฝงทั้งนั้น “การไว้ใจใคร…ก็เหมือนการยื่นดาบให้เขาหันกลับมาแทงเราเองในสักวันหนึ่ง” เขาหลับตา สูดลมหายใจลึก เมื่อดวงตาเปิดขึ้นอีกครั้ง แสงแดดยามสายส่องต้องบัลลังก์มังกรและเงาร่างของซินเยว่ายังนั่งอยู่ตรงนั้น เธอเอียงคอถามนางกำนัลข้างกายด้วยเสียงเบา ๆ ด้วยความประหม่า ผุดลุกผุดนั่งราวกับลังเลว่าจะออกไปตอนนี้ดีหรือไม่ ครืน…! ท้องฟ้าเหนือวังหลวงหม่นลงฉับพลัน เสียงฟ้าร้องสะเทือนกำแพงหินอ่อน ก่อนละอองฝนจะร่วงหล่นโปรยลงสู่ลานพระราชฐาน ขันทีรีบกางร่มผ้าแพรสีดำเหนือพระเศียรอวี้เหยียน ซินเยว่ก้าวตามข้าง ๆ อย่างเงียบเชียบ ร่มไม้ไผ่สีอ่อนที่นางกำนัลส่งให้อยู่ในมือเธอ ฝีเท้าจักรพรรดิหนักแน่นดั่งค้อนเหล็กกระทบบนหิน แต่หยดฝนบางสายกลับสาดเฉียงเข้าด้านข้างจนปลายฉลองพระองค์เปียก นางลังเลอนู่ครู่เดียว ก่อนขยับร่มในมือครอบคลุมพระกรนั้นแทน ส่งผลให้มือของเธอเผลอแตะกับแขนที่เปียกชื้นของเขา ความเย็นชื้นของฝนและความอบอุ่นจากฝ่ามือเล็กทำเขาสะดุ้ง อวี้เหยียนหยุดก้าว สายตาคมตวัดมาที่เธอรวดเร็วราวคมดาบ เสียงรอบข้างเหมือนดับสิ้นไป อวิ๋นซินเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนยิ้มบางเบา “ฝนสาดเพคะ หากเปียกแล้วทรงประชวรขึ้นมา จะให้หม่อมฉันชดใช้ด้วยวิธีใด” ถ้อยคำนั้นแสนธรรมดา…แต่กลับทำเอาใจคนฟังเต้นรัว เพราะไม่มีผู้ใดในวังหลวงแห่งนี้กล้าเอ่ยกับจักรพรรดิในทำนองห่วงใยจริงใจเช่นนี้ อวี้เหยียนมองร่างเล็กที่สูงเพียงอกของเขาที่เงยหน้ามองด้วยแววตาใสกระจ่าง ริมฝีปากเล็กนั่นก็ส่งยิ้มให้เขาอย่างน่ารัก ช่างต่างกันเหลือเกิน ขณะที่เขามองฮองเฮาของตนอยู่นั้น ภาพของฮองเฮาในความทรงจำก็ผุดขึ้นมา นางช่างอำมหิตใร้หัวใจ ลงมือสังหารคนก็ทำได้เด็ดขาด เจ้าแผนการเป็นที่สุด แต่ละครั้งยามเขาเผลอมองใบหน้านั้นก็รู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด ดวงตานั้นบ่งบอกถึงความกระหายในอำนาจ กระหายในตัวเขา ไหนเลยจะมีแววตาใสซื่อเช่นนี้ได้ ร่างสูงเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีก่อน เขาเม้มปากแน่น ก่อนข่มแววตากลับไปเย็นเฉียบดังเดิม พระสุรเสียงเรียบนิ่ง “เจ้าคิดว่าข้าจะอ่อนแอถึงเพียงนั้นหรือ” แต่เมื่อสายตามองกลับไปยังนางอีกครั้ง เขากลับเห็นว่าร่างบางนั้นเองก็เปียกเช่นกันเพราะเอียงร่มเข้าหาเขามากเกินไป "น่ารำคาญ!" เขาสะบัดชายเสื้อก่อนเดินต่อโดยไม่เอ่ยอะไรอีก ทิ้งให้อวิ๋นซินเยว่ยืนงงอยู่ตรงนั้นเสียงเหล่าขุนนางขานรายงานลากยาวราวบทสวดอันซ้ำซาก อวี้เหยียนนั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรเย็นเยียบไล่ไปทีละคน…จนถึงเงาร่างหนึ่งที่นั่งเคียงข้าง ผ้าคลุมไหล่สีเข้มของฮองเฮาอวิ๋นซินเยว่สะท้อนเข้าตาเขาพอดี ดวงตาเธอก้มต่ำ ฟังรายงานอย่างสงบ แต่นิ้วเรียวแอบหมุนกำไลหยกบนข้อมือซ้ายไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพียงท่าทางเล็กน้อยนั้น กลับสะกิดของเขายิ่งนัก มุมปากหยักหนายกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขารีบตวัดสานตากลับไปยังขุนนางที่กำลังเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีชายแดน หลี่กงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่าง มองเห็นแววตานั้นชัดกว่าใคร คนที่นั่งสูงสุดบนบัลลังก์ มังกรยังเป็นมังกร แต่แววตานั้น…ไม่เหมือนเดิม ฮ่องเต้หนุ่มที่ดึงสติกลับมา ได้ยินเสียงขุนนางหนุ่มฝ่ายบุ๋นดังขึ้นอย่างกล้าหาญเกินวัย “ทูลฝ่าบาท หากยังเก็บภาษีเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านชายแดนจะอดตายพะย่ะค่ะ” “เงียบ” พระสุรเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงขุนนางหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบก้มลงคุกเข่า ทุกสายตาในท้องพระโรงตึงเครียด แต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าทั้งห้องเงียบรางกับไร้ผู้คน…ยกเว้นเพี
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังดังระงมรอบลานชมบุปผา “ฮองเฮาเป็นผู้จัดงานจะปฏิเสธความผิดได้อย่างไร!”“สนมขั้นผินถึงกับเกือบสิ้นใจเช่นนี้ มิใช่เรื่องเล็กแล้ว!”หมอหลวงยังคงคุกเข่า รายงานเสียงหนักแน่นว่าเป็นอาการแพ้ดอกไม้ที่ใช้ประดับงานซึ่งทั้งหมดล้วนผ่านมือฮองเฮาจัดการทั้งสิ้นสายตาของเหล่าสนมพุ่งมาที่อวิ๋นซินเยว่ไม่วาง ราวกับเธอเป็นอาชญากรตัวจริง ร่างบางกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ไร้ทางรอด…ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังเจื้อยแจ้วขึ้นในโสตประสาทของเธอ เสี่ยวหลิง![หม่าม๊า…ทุกคนกำลังตัดสินท่านผิดแน่ ๆ แล้วครับ แต่ถ้าหม่าม๊าอยากให้ช่วย เสี่ยวหลิงก็พอมีวิธีขอรับ]อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งน้อย ๆ คิ้วขมวดแน่น พลันกระซิบในใจ 'วิธีอะไร'[วิธีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นในวันนี้อย่างปลอดภัย… เสี่ยวหลิงสามารถปล่อยบั๊กข้อมูล ให้หลักฐานทั้งหมดเบี่ยงเบนไปหาคนอื่นได้ แต่ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนครับ]'ข้อแลกเปลี่ยนเหรอ'เสี่ยวหลิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเบาลง ราวกับตัวเองก็ไม่อยากพูด[หากวันนี้หม่าม๊าใช้วิธีนี้…ท่านจะรอดพ้นก็จริง แต่ระบบจะตัด *เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท ที่ควรเกิดขึ้นหลังงานนี้ออกไปขอรับ]
เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน
และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ
เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็