LOGIN“ปล่อยฉันนะไนธ์ ฉันบอกให้ปล่อย ปล่อย!!!”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกรีดร้องอยู่แบบนั้นนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับยัดเข้ามาในห้องนอนที่เป็นห้องเดิมของตัวเอง ห้องที่ฉันไม่ได้เข้ามาเลยตลอดหลายปีที่แม่จากไป ตอนนี้พื้นมีฝุ่นเขรอะจากการไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดเลย จนทำให้ร่างฉันเสียหลักล้มลงไปถูกกับพื้นฝุ่นเป็นรอยกว้าง
แต่ฉันไม่ได้มีเวลามามัวสนใจฝุ่นเหล่านี้ เพราะแค่เสี้ยววินาทีประตูห้องก็ได้ปิดลง ก่อนที่คนที่พาฉันเข้ามาอย่างไนธ์จะเดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“หยุดโวยวายสักที” น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังเหนื่อยใจกับฉัน มันยิ่งทำให้ฉันควบคุมความโกรธเอาไว้ไม่อยู่
“ไม่เห็นเหรอว่าพวกมันทำอะไร ฉันถูกจับแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ ทั้งที่เหยียบประเทศไทยได้ไม่ถึงวันด้วยซ้ำ ไม่ให้ฉันโวยวาย นายบ้าหรือเปล่า!”
“ผมทำตามหน้าที่”
“อย่ามาทำเป็นพูดให้ตัวเองดูดี ถ้าเกิดว่านายทำหน้าที่บอดี้การ์ดจริงๆ ฉันจะไม่มีวันเข้ามาอยู่ในห้องนี้หรอก ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันไม่เอานายไว้แน่!”
“เฮ้อ...”
ฉันเห็นเขาถอนหายใจออกมาราวกับกำลังเบื่อหน่ายเต็มทน ในเมื่อเขาเบื่อขนาดนั้นทำไมไม่ปล่อยฉันไป มาทนอยู่กับคนอย่างฉันทำไมกัน
อย่างน้อยตอนเด็กเราก็เคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก่อน เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันต้องการบ้างไม่ได้เหรอ
“ฉันแค่อยากให้คนพวกนั้นเจ็บปวดบ้าง ทำไมทุกครั้งที่ฉันมั่นใจว่าตัวเองจะชนะ มันต้องจบลงแบบนี้ทุกครั้งเลย”
ในที่สุดฉันก็ทำได้แค่ตัดพ้อกับตัวเอง ตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ มั่นใจว่าฉันควรจะได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็มีเด็กบ้าที่ไหนไม่รู้โผล่มา ทำให้ฉันกลายเป็นหมาหัวเน่า
ตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จจากการสอบติดมหาวิทยาลัยดังของฮ่องกง แต่กลับกลายเป็นว่านั่นคือการจัดฉากของพ่อเพื่อให้ฉันออกไปให้ห่างแผนชั่วของเขาให้มากที่สุด
หรือแม้แต่ตอนที่ฉันจงใจใส่ชุดสวยมาเพื่อเยาะเย้ยพวกเขา ก็เป็นฉันต้องมานั่งคลุกฝุ่นอยู่ที่พื้นไม้แข็งๆ นี่
ทำไมต้องเป็นฉันตลอดเลย...
“ถ้าแค่ใช้สมอง ก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”
“จะหลอกด่าว่าฉันโง่ก็ว่ามาเถอะ”
“อือ ก็โง่จริง”
ฉันเหนื่อยกับการคุยกับเขามากเลย รู้แล้วว่าทำไมพ่อถึงเลือกเขาเข้ามาดูแลฉัน ยังไงเขาก็รู้ว่าฉันไม่มีทางชนะผู้ชายคนนี้ได้แน่ๆ เพราะเขารู้จักฉันดีเกินไป
บางที...แค่บางทีที่ฉันแอบคิดว่าหากเราไม่ได้เป็นศัตรูกัน ทุกอย่างมันคงดีกว่านี้แน่ๆ
“ฉันขอถามอะไรสักอย่างสิ”
“...” เขาไม่ตอบ เพียงปรายตามองฉันที่เงยหน้ามองเขาอยู่ก็เท่านั้น
“นายเกลียดอะไรฉันนักหนาเหรอ ทำไมต้องใจร้ายกับฉันมากขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนเราสนิทกัน ตัวติดกันเป็นเงา จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองทำอะไรผิด ทำไมอยู่ดีๆ นายถึงเปลี่ยนไป”
ฉันพยายามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ถามหาเหตุผลจากคนที่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักอย่าง เขายืนล้วงกระเป๋ามองมาที่ฉันนิ่งๆ ก่อนจะพูดเสียงราบเรียบอีกครั้ง
"นี่ใจร้ายแล้วเหรอ?”
เขาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เขา...ใจร้ายกับฉันได้อีกอย่างนั้นเหรอ? ฉันคงคาดหวังมากไปเองที่คิดว่าความสัมพันธ์ในวัยเด็กของเราคงมีความหมายกับเขาบ้าง
“คุณคิดว่าตัวเองเจอเรื่องใจร้ายแล้ว ทำไมไม่ดูชีวิตคนอื่นเขาซะบ้าง บางทีถ้าคุณทำตัวฉลาดกว่านี้ คุณจะพบว่าตัวเองชีวิตดีกว่าคนอื่นเขาเยอะเลย”
“ไม่ต้องมาสอน ฉันไม่ต้องการ”
“งั้นก็แล้วแต่”
เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมล็อกและสั่งคนยืนเฝ้าจากด้านนอก
ไอ้บ้าเอ๊ย เขามันน่าหงุดหงิดที่สุด...
หลังจากนั่งคิดทบทวนมาเกือบทั้งวัน สลัดความผิดหวังเสียใจออกไปจากความรู้สึกได้เกือบทั้งหมด ฉันก็ได้สติขึ้นมาว่าตัวเองควรจะหนีออกไปจากที่นี่ เรื่องอะไรจะมานั่งให้พวกเขาจับแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ด้วยล่ะ มือมีเท้ามี หนีไปซะก็สิ้นเรื่อง
นอกจากนี้ฉันยังมีเงินติดตัวอยู่หลักหมื่น หาที่อยู่สักคืนสองคืนหาทางติดต่อใครสักคนที่ไว้ใจได้ ค่อยๆ คิดหาทางเอาทุกอย่างคืนก็ยังไม่สาย ถึงมันจะน่าปวดหัวแล้วก็ยากไปสักหน่อยก็เถอะ ตั้งแต่รู้เรื่องจนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะทำยังไงต่อ รู้แค่ว่าต้องเอาคืน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี
ไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน
คิดได้ดังนั้นฉันก็เริ่มมองหาหนทางในทันที รีบลุกขึ้นจากที่นอนที่ตัวเองนั่งจับเจ่าอยู่ร่วมชั่วโมงได้ ประตูหน้าต่างล้วนถูกล็อกตายจากด้านนอกทุกบาน แล้วยังมีคนเฝ้าที่หน้าห้องเวรยามแน่นหนา พวกเขาคงจะกลัวฉันหนีไปมากจริงๆ
การแต่งงานนี่มันสำคัญยังไงนะถึงต้องซีเรียสขนาดนี้
จัดการเททุกอย่างออกจากกระเป๋าถือเพื่อดูว่ามีทรัพย์สินอะไรพอให้ฉันหนีไปจากที่นี่ได้บ้าง
ถ้าคิดจะหนีฉันต้องทำให้ตัวเองคล่องตัวมากที่สุด เกิดเอากระเป๋าไปด้วยแล้วไปเกี่ยวรั้วบ้านก็จบเห่น่ะสิ
กระเป๋าตังมีเงินสดหลักพัน บัตรเครดิตอีกสองสามใบ...อันนี้จำเป็นอยู่ ถึงจะสามารถตรวจสอบที่อยู่ของฉันจากที่ฉันใช้ได้ แต่ก็แค่รีบกดเงินสดออกมาก็สิ้นเรื่อง
กระเป๋าเครื่องสำอาง...อืม อันนี้จำเป็นไหมนะ
เอาเป็นว่าทาให้เสร็จก่อนไปเลยก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็ต้องสวยเอาไว้ก่อน แม่สอนไว้
หลังจากนั้นก็ถอดรองเท้าส้นสูงออก ตอนนี้ฉันไม่มีรองเท้าคู่ใหม่ให้เปลี่ยนแต่ถ้าใส่ส้นสูงวิ่งหนีบอดี้การ์ดนับสิบในบ้านนี้คงไม่ดี วิ่งเท้าเปล่าเอาไว้รอดออกไปจากที่นี่ค่อยไปหาซื้อเอา
กายพร้อม ใจพร้อม แกทำได้ยัยเรนนี่ หนีไปตายเอาดาบหน้า เจอทางรอดแล้วค่อยว่ากันใหม่
ก๊อก ก๊อก
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอก ทำให้ฉันที่กำลังจะเดินไปหาทางออกถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ผมเอาข้าวมาให้ คุณอยากจะกินเลยไหม”
เป็นไนธ์อีกแล้ว เขานี่มันน่ารำคาญจริงๆ หลายครั้งที่ฉันคิดเจรจากับเขาดีๆ เพื่อดึงเขามาอยู่ข้างฉันอย่างเมื่อก่อน แต่ด้วยความที่ห่างกันไปหลายปี ซ้ำเจอหน้ากันเขายังตั้งท่าเป็นศัตรูกับฉันเต็มที่ ฉันเลยต้องพับความคิดนั้นลงไป
พวกเรา...เป็นศัตรูกันอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ
“ฉันไม่หิว เอากลับไป” ฉันตะโกนกลับไป พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเพื่อไม่ให้เขาจับสังเกตได้
“แน่ใจนะ ไม่ได้กินอะไรแต่เช้าไม่ใช่หรือไง”
“ปล่อยฉันตายไปเถอะ แค่นั้นไม่ถือว่าแย่หรอก”
หวังว่าเล่นมุกนี้แล้วเขาจะไม่ดื้อเอาข้าวเข้ามาป้อนฉันด้วยปากเหมือนอย่างในละครหรอกนะ
“แล้วอย่ามาเรียกหาข้าวทีหลังแล้วกัน”
เสียงฝีเท้าได้ห่างออกไปแล้ว ฉันเดินไปจับลูกบิดประตูก่อนจะพบว่ามันยังคงล็อกอยู่ ข้างนอกมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ของผู้ชายสองคน คิดว่าคงมีคนกำลังเฝ้าฉันอยู่ถึงแม้ไอ้บ้าไนธ์จะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว
เห็นดังนั้นฉันจึงรีบตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าในทันที ห้องนี้เป็นห้องที่คุณตาทำเพื่อเป็นห้องหนังสือที่มีห้องลับอีกห้องหลังตู้หนังสือ เป็นทางลัดเพื่อลงไปยังห้องหนังสือชั้นล่าง แต่พอมีฉัน ท่านก็ทำห้องนี้เป็นห้องนอนให้เพราะอยู่ทางทิศตะวันออก มีแสงแดดส่องตอนเช้าทำให้หลานคนนี้ไม่ตื่นสาย และทางลับนั้นก็มีแค่ฉันกับตาที่รู้กันเพียงสองคน
พูดแล้วก็คิดถึงคุณตา ป่านนี้ท่านอยู่บนสวรรค์กับแม่จะสบายดีไหม จะรู้หรือเปล่าว่าหลานสาวคนนี้กำลังเจอเรื่องหนักหนาแค่ไหน
“หนูคิดถึงตานะคะ”
ฉันรีบเก็บกระเป๋าเงินยัดเข้าไปในเกาะอกชุดเดรสเพื่อความคล่องตัว ก่อนที่จะเปิดประตูห้องลับแล้วยัดตัวเองเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องลับนี้เป็นไม้ทั้งห้อง ทั้งฝุ่นเขรอะและอับชื้นเนื่องจากไม่มีหน้าต่างให้แสงเข้าถึง ฉันต้องเปิดแฟลชมือถือที่มีแบตอยู่เพียง 15% เพื่อนำทาง ระหว่างที่ลงน้ำหนักเท้าก็ต้องระวังสุดฤทธิ์เพราะไม่รู้ว่าจะดังออกไปถึงข้างนอกจนมีคนได้ยินหรือเปล่า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันลืมไปเสียสนิทเลยก็คือ ในที่แบบนี้มันทั้งอับทั้งชื้น แล้วยังเต็มไปด้วยหยากไย่เต็มไปหมด ฉันกลัวแมลง อย่าว่าแต่ฝ่ารังพวกมันเข้าไปเลย แค่เห็นภาพในอินเทอร์เน็ตก็ขนลุกซู่จนอยากร้องไห้ แต่นี่ฉันต้องเดินลงไปในบันไดแคบๆ ที่ทั้งเหม็นทั้งเต็มไปด้วยแมลงยุบยับเต็มไปหมด
อยากจะบ้าตาย
“มันคุ้มไหมเนี่ยยัยเรน มีผัวแล้วนอนสบายๆ ทั้งเสียวแล้วก็ไม่ต้องลำบาก แกจะหนีไปทำไมกันเนี่ย”
ถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนั้นเอารัดเอาเปรียบครอบครัวฉันจนฉันต้องดิ้นรนเพื่อเอาทุกอย่างคืนมา ยังไงฉันก็ไม่มีวันทำตัวเองให้ลำบากแบบนี้หรอก
ฉันค่อยๆ ก้าวลงบันไดทีละขั้นพยายามเบาฝีเท้าให้มากที่สุด ระหว่างนั้นไหล่ทั้งสองข้างที่ไม่ได้มีเสื้อผ้าปกปิดก็ถูกหยากไย่เกี่ยวเข้าให้จนต้องปัดออกหลายต่อหลายครั้ง ในใจนี่สั่นไปหมด ทั้งที่มันห่างจากชั้นล่างแค่ไม่กี่เมตร แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ไกลอย่างนี้
ในที่สุดฉันก็ลงมาถึงทางออกจนได้ ประตูที่เชื่อมห้องลับกับตู้หนังสือของห้องหนังสือชั้นล่างซึ่งหน้าต่างห้องคงยังเปิดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะมีคนอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
ฉันพยายามขยับชั้นอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้มีเสียงดังเล็ดลอดออกไปก่อนจะแอบส่องช่องว่างที่เปิดออกมา ภายในห้องหนังสือนั้นเงียบเชียบ ประตูหน้าก็ยังปิดสนิท คงจะไม่มีคนอยู่
เห็นอย่างนั้นฉันก็รีบดันตู้ให้เปิดออกมากพอที่ตัวเองจะออกไปในทันที แต่ด้วยความที่รางเลื่อนเดิมมันเก่าจากการไม่ได้ใช้งานนาน มันเลยต้องออกแรงนิดหน่อย หลังจากพยายามมาได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดมันก็เปิดออก
ทว่าฉันที่กำลังถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จู่ๆ ก็ต้องตกใจสะดุ้งโหยงเพราะมีคนมาโผล่อยู่ตรงหน้า
“แฮร่!”
“ตาเถร!!!”
[Nithe’s part]งานแต่งตั้งประธานเป็นอะไรที่วุ่นวายไม่น้อย ผมเดินตามเรนนี่ตลอดเวลาทำหน้าที่บอดี้การ์ดของตัวเองที่ห่างหายไปหลายเดือน ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างของเรนนี่อย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน ผมเองก็อดยิ้มตามเธอไม่ได้เธอดูมีความสุขมากจริงๆ มากกว่าเมื่อก่อนมาก ผมดีใจที่พอผมกลับเข้ามาในชีวิตสิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของเธอ และหวังว่าจะได้เห็นมันไปนานๆ ตลอดไปเลยยิ่งดี“คลั่งรักเมียนะมึงอะ มองไม่พัก มองขนาดนี้แล้ววันนั้นหมาตัวไหนครับบอกว่าถ้าได้เอาคนนี้เอาหมาดีกว่า”เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาที่ข้างตัว ผมเกือบลืมไปว่าวันนี้เชิญเพื่อนสุดที่รักมาด้วย หันไปเจอไอ้ ชาวี เพื่อนรักตัวแสบยืนทำหน้าแป้นน่าถีบอยู่ข้างๆ เห็นแล้วอยากจะหันไปแจกหมัดให้สักทีสองที“คนพูดนั่นไม่ใช่กูครับเพื่อน” ผมตอบยิ้มๆ สายตาก็มองกลับเข้าไปในงาน เรนนี่กำลังทักทายแขกเหรื่อในงานโดยมีไอ้เจ็ดเดินตามไม่ห่าง ผมเลยถือโอกาสหันมาคุยกับเพื่อนบ้างวันนี้มากัดหมดทั้ง นาวี ชาวี รวมทั้งไอ้นักรบ แล้วไหนจะสาวๆ เมียพวกมันอีกครบทีม ผมคิดว่างานสำคัญอย่างนี้พาพวกเธอมาเจอกันหน่อยก็ดี ซ้ำคุณหนูเอวา[1] เอ
ฉันมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก หญิงสาวในเดรสสีแดงสดแต่งหน้าจัดเต็มทาปากสีนู้ด ผมยาวสลวยถูกย้อมเป็นสีดำขลับแล้วรีดตรงทำให้เธอดูสง่าและภูมิฐานกว่าเมื่อก่อนเป็นไหนๆ สไตลิสของฉันวนรอบตัวแล้วปรบมือแล้วปรบมืออีกด้วยความภาคภูมิใจ ที่หล่อนสามารถเปลี่ยนลุคของฉันจากสก๊อยเป็นท่านประธานสาวได้สำเร็จ“สวย เริ่ด ปัง”“พอเถอะ เธออวยจนฉันเริ่มจะอึดอัดแล้ว”“ฉันอวยตัวเองเถอะ เมื่อก่อนเธอแต่งตัวไม่มีคลาสเอาซะเลย ตอนนี้เหรอ เหอะ อย่าว่าแต่มองเหลียวหลัง ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ต้องวิ่งเข้ามากราบขอเป็นผัวค่ะ”“ขนาดนั้นเชียว?”เราสองคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คงเพราะอายุไม่ห่างกันมาก แล้วก็ทะเลาะกันมาตลอดเลยทำให้สนิทกันง่าย ทุกวันนี้การมีไข่มุกอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่แย่เท่าไหร่“เธอไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน” ฉันว่าพลางกลับมานั่งเล่นมือถือที่โซฟา ไม่ลืมที่จะถอดส้นสูงออกเพราะรู้ว่าไปงานยังไงก็คงไม่ได้ถอดไปอีกหลายชั่วโมง“ไม่เอาล่ะ เธอไปเถอะ ฉันเป็นแค่สไตลิสจะไปทำไม”“เธอเป็นเมียพ่อฉัน เป็นแม่เลี้ยงฉันนี่”“เธอ...ไม่ใช่ลูกของคุณเดชไม่ใช่เหรอ?”“อือ แล้วไงล่ะ ฉันก็เรียก
[Nithe’s part]ขอโทษ...คำนี้มันคงจะสายเกินไปที่จะพูดแล้วในตอนนี้ แหวนที่เธอคืนให้มา มันคือการตัดความสัมพันธ์อย่างชัดเจนแต่ผมกลับไม่สามารถมูฟออนไปได้เลย“ผมเข้าใจนะว่าลูกพี่กำลังอกหัก แต่ดื่มเยอะๆ อย่างนี้มันไม่ดีนะพี่ คุณหนูเขามีความสุขแล้ว ผมเองก็ดูแลให้อย่างดี”คงมีแต่ไอ้เจ็ดที่เข้าใจว่าผมรู้สึกยังไง เรื่องที่เราเลิกกันไม่ได้ประกาศออกไป เลยมีแค่คนที่ผมสนิทที่สุดเท่านั้นที่รู้ แม้แต่นาวี ชาวี หรือแม้แต่ไอ้นักรบก็ไม่รู้เรื่องนี้ หลายครั้งที่เจอกันพวกมันยังแซวเรื่องของผมกับเรนนี่อยู่เลย ผมเองก็ไม่อยากบอกใครว่าจริงๆ ความสัมพันธ์นั้นมันได้จบลงแล้ว“กูไม่ได้อกหัก” ผมปฏิเสธคำพูดของไอ้เจ็ด ด้วยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเลิกกับเธอแล้วจริงๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกระดกเหล้าเพียวๆ เข้าปากอีกอึกไม่รู้ว่าตัวเองดื่มจนเมาปลิ้นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าทุกวันหากคิดถึงเธอ รสขมปร่าของเหล้าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยผมได้ดื่มแล้วก็เมา เมาแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่นมาดื่มใหม่ ชีวิตผมเป็นอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว โคตรขี้แพ้เลยเนอะไอ้เจ็ดก็เลิกงานเมื่อไหร่เป็นต้องมาดื่มเป็นเพื่อนผม บางวันมันก็บ่นว่าดื่มไม่ไหวแล้วขอก
ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเสียไปหมดทุกอย่าง จนกระทั่งตัวเองมาเจอเรื่องนี้เมื่อก่อนฉันเสียแม่ เสียตา แต่ยังมีเป้าหมายในการทวงทุกอย่างคืนมาจากพ่อพอให้ได้มีแรงสู้ต่อ แต่วันนี้ฉันได้ทุกอย่างคืนมาแล้ว แม้แต่ตาก็อยู่กับฉัน แต่กลับไม่มีความสุขเลย“ตรงนี้อ่านว่า กอ อา กา แค่นี้ก็ไม่รู้เนอะ”“ก็เราไม่เคยเรียนหนังสือนี่”“ไม่เอาน่าหลานๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ”อีกอย่างที่ฉันได้มา นั่นก็คือครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ฉันว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียว เลยให้ยัยไข่มุกย้ายกลับเข้ามา ด้วยเหตุผลแรกคือ ฉันอยากให้ราอุลได้เรียนที่ดีๆ มีสังคมดีๆ ไม่ต้องลำบาก สองคืออยากให้หลินหลินได้มีเพื่อนอ้อ ฉันรับหลินหลินเป็นลูกบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว ถึงจริงๆ เธอจะเรียกฉันว่าพี่สาวก็เถอะตอนนี้ในบ้านฉันเลยเต็มไปด้วยเสียงของเด็กสองคนทะเลาะกันแทบทุกวัน ตามด้วยเสียงคุณตาที่บอกว่าอย่าทะเลาะกันส่วนฉันก็มีงานใหญ่ต้องทำ“ชุดเห่ย”ยัยแม่เลี้ยงปากเสียว่าพลางมองฉันหัวจรดเท้า เธอเบะปากให้ชุดเดรสสีแดงเรียบๆ ที่ฉันเลือกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจยัยไข่มุกรับหน้าที่เป็นสไตลิสชั่วคราวให้ฉัน เพราะช่วงนี้ฉันยังไม่อยากพบเจอผู้คน
‘แม่คะ อันนี้ดอกอะไรคะแม่ สวยมากเลย’‘ไซคลาเมนลูก ความหมายของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการจากลา แต่สำหรับแม่ หมายถึงความรักของแม่ จะยังคงอยู่ตลอดไป แม้ว่าจะตายจากกัน’‘แม่อย่าพูดถึงเรื่องตายแบบนั้นสิคะ เรนไม่ชอบเลย’‘เรนนี่ลูก วันหนึ่งคนเราก็ต้องจากกัน แค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่หนูไม่ต้องห่วงนะ ถ้าแม่ไปก่อน แม่จะไปรอลูกอยู่ที่นั่นนะจ๊ะ’ภาพของแม่ที่ฉันไม่เคยฝันถึงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมองรูปของแม่ทุกวัน หวังว่าจะได้เจอแม่ในฝันสักครั้ง แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงคราบน้ำตาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในทุกคืนแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ฉันถึงได้ฝันถึงแม่ แม่ที่ตายจากไปแล้วหลายปี ฉันถามแม่ว่าคุณตาอยู่ไหน แต่ท่านก็ไม่ตอบแล้วเดินไกลออกไป‘แม่คะ...อย่าทิ้งหนูไป’ เสียงของฉันในความฝันเรียกชื่อแม่ สองขาพยายามวิ่งตามท่าน แต่เหมือนว่ายิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆแม่...อย่าทิ้งหนูไป“แม่คะ...แม่อย่าทิ้งหนู”“เรนนี่” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในความฝัน ฉันหันหลังไปแล้วก็เจอกับใบหน้าของชายหนุ่มที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเ
“เรื่องการเข้ารับตำแหน่งที่บริษัท ฉัตรจะจัดการให้เองนะคะคุณหนูไม่ต้องห่วง ตอนนี้พักผ่อนไปก่อน เอาสุขภาพตัวเองเป็นหลักนะคะ”คงเป็นความโชคดีของฉันอย่างหนึ่ง คือตอนที่ฉันรู้สึกแย่ฉันไม่เคยต้องอยู่คนเดียว ตอนที่เพื่อนไม่ว่างและฉันต้องการกำลังใจ ก็มีคุณฉัตรที่คอยเป็นธุระให้แทบทุกอย่าง แล้วยังอาสามาอยู่เป็นเพื่อนในบางวันเธอช่วยฉันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จนไม่รู้แล้วว่าต้องเริ่มขอบคุณเธอจากตรงไหนดี“ขอบคุณนะคะคุณฉัตร แค่นี้ก็ลำบากคุณมากพออยู่แล้ว” ฉันกล่าวขอบคุณออกไปอย่างจริงใจ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้“ไม่รบกวนหรอกค่ะ ยังไงฉันก็ต้องทำงานให้คุณในฐานะทนายในการแต่งตั้งประธานบริษัทอยู่แล้ว ตอนนี้เราต้องเตรียมตัวเพื่อจะไปแสดงตัวว่าเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉัตรเตรียมเอกสารไว้ให้แล้ว คุณเรนค่อยดูตอนที่รู้สึกดีขึ้นนะคะ”“ขอบคุณค่ะ”“งั้นวันนี้ฉัตรจะรอเมย์บีมาก่อนค่อยไป คุณเรนอยากดื่มอะไรสักหน่อยไหมคะ ฉัตรไปชงให้”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”เฮ้อ...ฉันต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ต้องไม่จิตตก ต้องไม่คิดถึงเขาสิรู้ไหมว่าอะไรยากที่สุดของการอยู่คนเดียว คือเมื่อเราได้มีใครสักคนเข้ามาในชี







