LOGIN"ในเมื่อพ่ออยากให้แต่งงานกันนัก งั้นก็เอาบอดี้การ์ดทำผัวไปเลยแล้วกัน" ++++++++++++++++++++ ชีวิตของคุณหนู รุณสา เอกเดชาพิพัฒน์ ไม่มีอะไรง่าย แม่และตาที่เป็นที่พึ่งเดียวเสียชีวิต พ่อฮุบบริษัทตาซ้ำยังมีลูกกับเมียน้อย เธอเลยต้องเอาทุกอย่างคืนมาโดยความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดที่ผันตัวจากมิตรไปเป็นศัตรู ++++++++++++++++++++ "นายช่วยเข้ามาใกล้ๆ หน่อยได้ไหม ฉันรู้ว่ามันงี่เง่า ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน แต่เข้ามาใกล้ๆ ที"
View More[Reinist’s part]
สนามบินสุวรรณภูมิ
บริเวณประตูทางออกหมายเลข 10 มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย ผู้คนต่างพากันป้องปากซุบซิบแล้วมองมายังจุดนี้เป็นตาเดียว บ้างก็นินทา บ้างก็ชื่นชม บ้างก็เดาไปต่างๆ นาๆ ว่ายัยคนสวยขายาวสวมเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดซ้ำยังมีชายชุดดำเดินตามถึงสองคนคนนี้คือใคร
ฉันเริ่มจะชินซะแล้วล่ะกับสายตาพวกนี้ที่มองมา ในฐานะของคุณหนู รุณนสา เอกเดชาพิพัฒน์ ทายาทรุ่นต่อไปของ AC-Groups ชื่อบริษัทที่ครอบครองธุรกิจหลากหลายประเภทจนคนชินตา การถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ
แต่ผู้คนที่นี่อาจไม่ได้มองเพราะชื่อเสียงของฉัน เพราะผู้หญิงชุดแดงหาที่ไหนก็หาได้ แต่คนที่หุ่นดีขาเรียวยาวซ้ำยังรูปร่างเข้ากับการดีไซน์ของชุด แล้วยังมีผิวขาวที่โดดเด่นรับกับชุดสีทับทิมนี่เป็นอย่างดี จะมีสักกี่คนกัน
แต่ว่านะ...ใต้ความสวยชีวิตฉันก็มีเรื่องน่ายกนิ้วกลางให้อยู่ ทั้งชีวิตของการรับบทคุณหนูมีแต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องหมดความศรัทธาในสถาบันครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆ
พ่อแต่งงานกับแม่เพื่อใช้นามสกุลของคุณตา ทิ้งแม่ที่ป่วยให้ตายโดยไม่ยอมพยายามรักษาอย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวอย่างฉันไปเรียนต่อฮ่องกงทั้งที่คุณตาเองก็ป่วยเป็นโรคเดียวกัน แล้วจากนั้นไม่นาน คุณตาก็เสีย...
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไทยซ้ำยังมีบอดี้การ์ดมาตามคุมตัวตลอดเวลา ถูกแฮกมือถือปิดกั้นข่าวของครอบครัวจากประเทศไทย แต่สุดท้ายฉันก็ได้รู้...เขาเปิดตัวเมียน้อยที่มีลูกด้วยกันวัย 2 ขวบ ทั้งที่แม่ฉันเพิ่งตายได้แค่ไม่กี่เดือน และตาฉันก็เพิ่งเสียเถ้ากระดูกยังไม่ทันเย็นด้วยซ้ำ
น่าเจ็บใจตรงที่กว่าฉันจะรู้ ทุกอย่างก็ผ่านไปแล้วถึง 5 ปี วันที่ฉันได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน เป็นวันเดียวกับวันเกิดครบรอบ 7 ขวบของลูกชายเขา
ลูกชายที่ฉันไม่เคยนับว่าเป็นน้อง...
คิดว่าจากเรื่องที่ฉันเล่ามา มันทำให้ชีวิตฉันดูแย่พอแล้วใช่ไหม เปล่าเลย ไอ้ที่รอฉันอยู่จากนี้ต่างหากคือของจริง
“ไปได้แล้ว จากนี้บอดี้การ์ดของคุณหนูมีแค่ฉันเท่านั้น” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสวมอินเอียร์เช่นเดียวกับบอดี้การ์ดสองคนที่เดินตามฉันมาได้ออกคำสั่ง ขณะที่ดวงตาคู่คมมองมาที่ฉันด้วยอารมณ์นิ่งเฉย
เขาคือ ไนธ์ ผู้ชายที่ฉันเกลียดเข้ากระดูกดำ!
ผู้ชายที่โตมากับฉันในฐานะของพี่ชาย เพื่อนเล่น พี่เลี้ยง ครูคนแรก และอะไรหลายๆ อย่าง ฉันเคยให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเขาในฐานะพิเศษกว่าคนอื่นๆ จนกระทั่งวันที่รู้ความจริง จึงได้รู้ว่าที่เขาเข้ามาสนิทด้วยเมื่อก่อน เพราะพ่อจงใจให้เขามาจับตาดูฉันแค่นั้นเอง
แม้แต่ตอนนี้ที่ฉันอยู่ในจุดต่ำสุดของชีวิตอย่างที่พ่อต้องการ ก็ยังเป็นเขาที่กลับมาอยู่ข้างกายฉันอีกครั้ง แต่เป็นในฐานะหมารับใช้ของพ่อน่ะนะ
“เงินเดือนที่พ่อให้มันคงไม่พอสินะ ถึงได้มารับจ๊อบเป็นบอดี้การ์ดเพิ่ม”
ฉันกอดอกมองเขาหัวจรดเท้าแล้วยกยิ้มมุมปากนิดๆ ใจอยากจะพุ่งไปกระชากผมทรงรากไทรนั่นให้หลุดติดมือมาสักกระจุก แต่ไม่อยากเป็นเป้าสายตาคนทั้งสนามบินแล้วกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
“ผมจะคิดว่านั่นเป็นคำว่า สวัสดี จากคุณก็แล้วกัน” เขาตอบกลับมาหน้าตาย ยิ่งทำให้ฉันอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม
“อย่ามากวนฉันนะ ถอยไป ถ้าพ่อให้นายมารับฉันก็จะขับรถเอง ฉันไม่ไว้ใจอะไรที่มาจากเขาทั้งนั้น”
พูดจบฉันก็ทำท่าจะเดินขึ้นรถที่เขาขับมาจอดก่อนหน้านี้ แต่กลับถูกมือหนารั้งต้นแขนเอาไว้
“หยุดดื้อได้แล้ว คุณไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
หยุดดื้อ? เขาคิดว่าฉันยังเป็นเด็กหญิงคนนั้นเมื่อ 10 ปีก่อนหรือยังไง ตื่นเนอะ เมื่อก่อนฉันอาจจะมองเขาเป็นเหมือนพี่ชายเลยเชื่อฟังเขาทุกอย่าง แต่ตอนนี้สถานะของเราเปลี่ยนไปแล้ว
เขาคือคนของพ่อ เป็นศัตรูของฉัน
“ฉันรู้ตัวก่อนนายอีกว่าตัวเองไม่เด็กแล้ว ไม่ต้องมาสอน”
แขนที่ถูกจับอยู่ได้สะบัดน้อยๆ เพื่อให้เขาปล่อยให้เป็นอิสระ ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ตามมาด้วยการถอนหายใจราวกับกำลังเหนื่อยใจกับสิ่งที่ฉันทำอยู่
ฉันต่างหากที่ต้องทำอย่างนั้นไม่ใช่เขา
เอาเถอะ ในเมื่อเขาอยากขับรถนักฉันเองก็ไม่คิดเอาตัวเองไปเหนื่อยฟรีๆ หรอก ไว้กลับถึงบ้านค่อยจัดการเอาเขาออกจากตำแหน่งบอดี้การ์ดนี่ก็ไม่สาย ยังไงตลอดเวลาที่ฉันอยู่ฮ่องกงฉันก็ทำให้คนตกงานมานับสิบคนแล้วนี่ มีเพิ่มมาอีกคนจะเป็นไรไป
“กลับบ้านให้เร็วที่สุด ฉันอยากไปให้ทันงานวันเกิดน้องชายสุดที่รัก” พอเข้ามาในรถได้ฉันก็รีบคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วสั่งเขาที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ ทว่าชายหนุ่มกลับมองฉันผ่านกระจกมองหลังแล้วพูดเสียงเรียบ
“ท่านประธานสั่งให้ผมไปส่งคุณที่คอนโด”
“ว่าไงนะ?”
ไอ้พ่อบ้านั่น...มันกล้าดียังไง นั่นมันบ้านของฉัน บ้านของคุณตาที่ท่านสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ซ้ำท่านยังเสียชีวิตไปโดยที่ฉันไม่มีโอกาสได้เคารพศพด้วยซ้ำ เขาจะมีเมียใหม่กี่คนก็ช่างเขาสิ แต่จะมาทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้
“นั่นบ้านฉัน บ้านของคุณตา ของแม่ฉัน เขาไม่มีสิทธิ์ห้ามฉันเข้าไป” ฉันเริ่มจะโกรธจนปากสั่นพูดไม่รู้เรื่อง ทั้งที่พยายามเก็บความโกรธเอาไว้ในใจตั้งแต่รู้เรื่องจนถึงตอนนี้ แต่ไม่คิดว่าจะถูกสะกิดต่อมเอาได้ง่ายๆ เพราะคำพูดไม่กี่คำ
ไอ้บ้านั่น...มันไม่สมควรถูกเรียกว่าพ่อ
“ผมต้องทำตามหน้าที่” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาแบบสุดๆ แทบจะไม่สนใจเลยว่าฉันกำลังโมโหแค่ไหน
“งั้นลงไปจากรถ ฉันจะขับเอง” ฉันทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วสลับไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ แต่เขากลับเถียงอีกครั้ง
“ผมขับรถคันนี้มา ถ้าคุณอยากไปที่อื่นคนที่ลงจากรถต้องไม่ใช่ผม”
“ไอ้...ไอ้...” ยิ่งได้ยินคำพูดของคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า อารมณ์ของฉันมันก็ยิ่งพุ่งปรี๊ด “รู้หรอกว่านายมันเลียเจ้านายเก่ง แต่บางเรื่องมีศีลธรรมบ้างก็ได้ปะ”
“ผมรู้คุณจะพูดอะไร”
“ตาฉันก็เลี้ยงนายมาอย่างดี ดูแลเหมือนกับหลานแท้ๆ ของท่าน ฉันได้อะไรนายก็ได้ด้วย แล้วดูที่นายทำสิ ทรยศคนในครอบครัวฉันแล้วไปเข้าพวกกับ...”
พวกสารเลวนั่น...ฉันอยากจะพูดอย่างนี้ออกไปเหลือเกิน แต่คำว่าพ่อมันก็ยังค้ำคอทำให้ฉันยั้งใจได้อยู่บ้าง
ฉันไม่เหมือนพวกนั้น...แม้จะแค้นจนอยากฆ่าให้ตาย แต่ฉันเป็นคนดีเกินกว่าจะลดตัวลงไปทำเรื่องต่ำช้าเหมือนพวกเขา
"ฉันจะไม่พูดอะไรที่มันซ้ำซาก ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ไปส่งฉันที่บ้านเดี๋ยวนี้!"
แผลที่หูก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ทำไมฉันต้องไปใส่ใจด้วยว่าเขาจะเจ็บหรือเปล่า คนเราจะมาเป็นบอดี้การ์ดได้มันต้องผ่านการฝึกหนักมาก่อนไม่ใช่เหรอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำแต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าเรื่องหูแตกของคนคนเดียว คือคอนโดที่เขาพาฉันมานี่ต่างหาก ในทีแรกคิดว่ามานอนสักคืนคงไม่เป็นไร เพราะฉันไม่ได้กลับบ้านนานห้องนอนเดิมคงยังไม่ได้รับการทำความสะอาด แต่ไม่คิดว่าที่ที่เขาพามามันจะทุเรศได้ขนาดนี้“เอาลูกสาวแท้ๆ มาขังไว้กับผู้ชายสองต่อสองไม่กลัวลูกจะถูกข่มขืน เขานี่เกิดมามีแค่ไอ้นั่นไว้สืบพันธุ์จริงๆ ไม่ได้มีความเป็นพ่อคนเลยสักนิด”ฉันบ่นอุบทันทีที่มาถึง ไหนจะเหนื่อยจากการเดินทาง ไหนจะรองเท้าส้นเข็มสูงกว่า 4 นิ้วที่ใส่มาทั้งวัน มาถึงห้องนี้อีกอย่างที่ฉันทำนอกจากบ่นคือถอดรองเท้าออกเพราะมันเจ็บมาก เจ็บจนฉันแทบจะเดินเท้าเปล่าไม่ไหว ทั่วทั้งฝ่าเท้ามีอาการบวมแดงจนต้องอาศัยการนวดเบาๆ เพื่อให้คลายความเจ็บปวดลงอ้อ ส่วนเรื่องห้อง เขาให้ฉันอยู่ในคอนโดราคาถูกๆ ที่ไม่ได้เก็บเสียงอะไรเลยสักนิด ตั้งแต่เข้ามาก็ได้ยินเสียงข้างห้องทะเลาะกันอยู่เป็นระยะ แล้วยังต้องอยู่ร่วมชายคากับไอ้บ้านี่อีก
คนเจ็บขึ้นมาบนรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ แค่ถอดอินเอียร์ที่ชุ่มเลือดออกแล้วสตาร์ทรถเงียบๆ เป็นภาพที่สยดสยองจนแทบไม่อยากมอง“ไปโรงพยาบาลสิ เดี๋ยวก็แก้วหูแตกฉันไม่รู้ด้วยนะ” ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะบอกให้เขาไปโรงพยาบาลโดยไม่แสดงความเป็นห่วง ฉันแค่กลัวว่าจะมีคนมาเจ็บตัวแทนทั้งที่ไม่ต้องการ ไม่อยากมาเป็นหนี้บุญคุณกันให้ต้องตามติดไปถึงชาติหน้าเพราะผู้ชายอย่างเขา เจอชาติเดียวก็เกินพอแต่เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาแล้วสตาร์ทรถออกตัวไปในทันที“แก้วหูแตกไปจริงๆ แล้วมั้ง สมน้ำหน้า” พูดพร้อมเบะปากด้วยความสะใจ“คุณควรจะขอโทษผมสักคำนะ”อ้าว ก็ได้ยินนี่ มีหูแต่ทำเป็นไม่มี แม่ทำให้แตกเพิ่มอีกสักข้างดีไหม น่าหงุดหงิดจริงๆ เลย“ขอโทษเรื่องอะไร? นายเอาตัวเข้ามาขวางเองนี่”“เรียนก็สูง วิชามารยาทเขาไม่สอนเหรอ?”“นายหลอกด่าฉันเหรอ!” ฉันกำหมัดแน่น ใจอยากจะทุบเขาให้ตายคามือ แต่พอเห็นว่าเขาเจ็บเพราะฉันเลยได้แต่เก็บมือลงที่เดิมแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆใจเย็นไว้เรนนี่ เย็นไว้ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง“ไปโรงพยาบาล” ฉันสั่งเสียงเข้ม แล้วยกมือขึ้นกอดอกเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์มากๆเกิดว่ามีใครมา
บ้านเอกเดชาพิพัฒน์สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือโถงห้องรับแขกที่เดิมเคยมีเฟอร์นิเจอร์หรูมูลค่าหลายสิบล้านที่คุณตาหวงแหนตั้งอยู่ ตอนนี้ทุกอย่างถูกเคลียร์โล่งเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับงานปาร์ตี้ ทั้งลูกโป่ง ริบบิ้น กระดาษสีมากมายเกลื่อนพื้นไปหมด แล้วยังมีพลุกระดาษถูกยิงขึ้นไปติดอยู่บนรูปที่แปะไว้ใจกลางของห้องรับแขกนั่นอีกรูปคุณตา คุณยาย แล้วก็แม่ของฉัน สามคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้กำลังถูกหยามเกียรติโดยใครก็ไม่รู้ที่มันไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลฉันด้วยซ้ำ แล้วไหนจะแขกในงานวันเกิดที่ร้องเจี๊ยวจ๊าวเหมือนลิงหลุดมาจากสวนสัตว์ ผู้ปกครองที่มางานก็ยังไม่สนใจดูแลลูก ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรพวกนี้มันขึ้นไปกระโดดอยู่บนโซฟาของคุณตาอีก“เท็กซัสลูก อย่ากระโดดสิครับ” ฉันคิดว่าคนเป็นแม่คงมีจิตสำนึกอยู่บ้าง หากว่าไม่ได้ยินคำพูดต่อมา “เดี๋ยวตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง ลงมาลูก”“พอกันที!”ฉันเดินตรงเข้าไปภายในงานแม้ว่าจะมีการรั้งต้นแขนเล็กๆ จากคนที่เดินมาด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดความตั้งใจที่จะทำลายงานวันเกิดแสนอัปรีย์ในครั้งนี้“เรนิส...” คนที่เรียกชื่อฉันไม่ใช่ใครที่ไหน แม่ของราอุลอย่างยัยไข่มุกนั่นเอง
[Reinist’s part]สนามบินสุวรรณภูมิบริเวณประตูทางออกหมายเลข 10 มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย ผู้คนต่างพากันป้องปากซุบซิบแล้วมองมายังจุดนี้เป็นตาเดียว บ้างก็นินทา บ้างก็ชื่นชม บ้างก็เดาไปต่างๆ นาๆ ว่ายัยคนสวยขายาวสวมเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดซ้ำยังมีชายชุดดำเดินตามถึงสองคนคนนี้คือใครฉันเริ่มจะชินซะแล้วล่ะกับสายตาพวกนี้ที่มองมา ในฐานะของคุณหนู รุณนสา เอกเดชาพิพัฒน์ ทายาทรุ่นต่อไปของ AC-Groups ชื่อบริษัทที่ครอบครองธุรกิจหลากหลายประเภทจนคนชินตา การถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆแต่ผู้คนที่นี่อาจไม่ได้มองเพราะชื่อเสียงของฉัน เพราะผู้หญิงชุดแดงหาที่ไหนก็หาได้ แต่คนที่หุ่นดีขาเรียวยาวซ้ำยังรูปร่างเข้ากับการดีไซน์ของชุด แล้วยังมีผิวขาวที่โดดเด่นรับกับชุดสีทับทิมนี่เป็นอย่างดี จะมีสักกี่คนกันแต่ว่านะ...ใต้ความสวยชีวิตฉันก็มีเรื่องน่ายกนิ้วกลางให้อยู่ ทั้งชีวิตของการรับบทคุณหนูมีแต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องหมดความศรัทธาในสถาบันครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆพ่อแต่งงานกับแม่เพื่อใช้นามสกุลของคุณตา ทิ้งแม่ที่ป่วยให้ตายโดยไม่ยอมพยายามรักษาอย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวอย่างฉันไปเ






Comments