LOGINฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะข่มตาให้หลับเมื่อคืนนี้ ไม่ใช่เพราะว่ามัวแต่คิดถึงซิกแพ็กของไอ้บ้านั่นหรอกนะ แต่เมื่อวานดันใส่ส้นสูงร่อนไปร่อนมาทั้งวัน ตกกลางคืนเลยปวดน่องจนนอนแทบไม่หลับ บุญบาปที่ฉันยังสามารถตื่นมาในสภาพแจ่มใสได้แม้ว่าจะนอนน้อย เช้านี้เลยไม่ต้องพึ่งพาคอนซีลเลอร์ในการลบรอยใต้ตาสักเท่าไหร่
วันนี้ฉันต้องกลับบ้านไปทวงทุกอย่างของฉันคืนมา เริ่มจากบ้านหลังนั้นที่พวกมันเสวยสุข ในขณะที่ทายาทคนเดียวของบ้านต้องมาอยู่คอนโดเน่าๆ นี่
ฝันไปเถอะ ฉันนี่แหละจะทำให้พวกมันอกแตกตาย
“เช้ามาก็มายืนทำหน้าโรคจิตอยู่ได้ สมงสมองไปหมดแล้วหรือไง?”
“ตาเถร!”
แทบจะลืมไปเลยว่าในห้องนี้ไม่ได้มีฉันแค่คนเดียว แต่มีไอ้บ้านี่มาอยู่ร่วมชายคาด้วย ฉันแค่เดินลงมาจากบันไดกำลังจะตรงไปที่ตู้เย็น กลับมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจนทำให้ตกใจสะดุ้งเฮือก
เขามานั่งทำบ้าอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย แถมยังอยู่ในชุดสูทสีดำสุดเสร่อ ทำตัวอย่างกับสายลับในหนัง Mission impossible ทรงผมที่เซตเจลมาอย่างกับนายแบบนั่นอีก หล่อมากมั้ง
“มาถึงก็มองเหยียดคนอื่นเลย ยัยคนนิสัยไม่ดี” แล้วดูปากสิ สอบผ่านมาเป็นบอดี้การ์ดได้ยังไงเนี่ย
“ใครมองเหยียด ตัวเองชอบมองคนอื่นอย่างนั้นแล้วคิดไปเองว่าคนอื่นมองเหยียดหรือเปล่า?”
“โอเคผมผิดเอง อาจจะเป็นสายตาของหมาบางตัวมองก็ได้ ไม่ใช่คุณหรอก”
“นี่นายว่าฉันเป็นหมาเหรอ!”
“พูดตอนไหน คุณบอกว่าไม่ได้มองเหยียดผม ผมก็บอกว่าเป็นหมาไม่ใช่คุณ อย่าร้อนตัวสิ”
ปรี๊ดดดดดดดด
เขาคิดจะเอาคืนเรื่องที่ฉันว่าเขาที่สุสานเมื่อวานอย่างนั้นเหรอ ร้ายที่สุด ฉันจะทำยังไงกับไอ้บ้านี่ดีนะ ที่ผ่านมาฉันสามารถกำจัดคนออกไปจากชีวิตได้อย่างง่ายดาย แต่พอเป็นเขากลับคิดอะไรไม่ออกเลย
จะวางยาถ่ายในเครื่องดื่มทุกอันเหมือนไรอัล บอดี้การ์ดคนแรกดีไหมนะ
หรือว่าจะแอบปล่อยหมามุ่ยในเสื้อผ้าเหมือนอย่างที่เบรนดอน บอดี้การ์ดคนที่สองโดนดี
แต่ว่า...ตั้งแต่ฉันมาถึงที่นี่แม้แต่ตอนทำแผลเขายังจับตาดูฉันที่อยู่นอกห้องฉุกเฉินเหมือนกลัวหายไปไหน จะไปหาซื้อของพวกนั้นมาก็คงไม่สะดวกเท่าไหร่
ฉันต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะกลับไปทวงบ้านคืนก่อน หรือว่าจะจัดการไอ้บ้านี่ก่อนดี
“ไนธ์” ฉันแกล้งทำเป็นญาติดีกับเขาด้วยการเรียกชื่อเขาแบบปกติ และนั่นก็ทำให้เขาหันมามองหน้าฉันด้วยสีหน้างุนงง
“ผีเข้าหรือไง”
“ฉันจะพูดคุยดีๆ กับนายมันต้องผีเข้าด้วยเหรอ มองฉันในแง่ลบเกินไปหรือเปล่าเอ่ย?”
“จะเอาอะไรก็ว่ามา ยังไงผมก็มีหน้าที่พาคุณไปทุกที่ที่คุณอยากไป”
“งั้นไปห้าง”
“ไม่ได้”
“แล้วไหนบอกว่ามีหน้าที่พาฉันไปทุกที่ที่อยากไปไง”
ฉันรู้หรอกว่าพ่อจงใจให้เขามาจับตาดูฉัน แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้
“งั้นฉันจะไปบริษัท”
“ก่อนจะไปบริษัทคุณต้องแน่ใจนะว่าตัวเองมีตำแหน่งให้เข้าไปจริงๆ แค่จะไปสมัครงานชุดคุณยังไม่พร้อมเลย จะเข้าไปได้ไง”
แต่นั่นมันบริษัทของตาฉันนะ เขาจะห้ามไม่ให้ทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเข้าไปได้ยังไง ดูท่าว่าเส้นทางของฉันคงจะไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เรื่องทางกฎหมายฉันเองก็ไม่ได้รู้เยอะซะด้วยสิ
หรือว่า...ต้องหาที่ปรึกษากันนะ
“งั้นเอางี้ ฉันจะไปหาทนาย”
“ไม่ต้อง วันนี้ท่านประธานเรียกคุณกลับบ้าน คุณต้องกลับไปกับผม”
“เมื่อวานเขาห้ามไม่ให้ฉันเข้าไปไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้นึกครึ้มอะไรถึงเรียกเข้าไปล่ะ”
“ถ้าให้เดา เพราะเรื่องเมื่อวานคุณโวยวายต่อหน้าคนใหญ่คนโตหลายคน วันนี้คุณอาจจะโดนลงโทษ”
นี่ก็ไม่ใช่อะไรที่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่หรอก พวกนี้เป็นคนหน้าบาง มีเรื่องอะไรนิดหน่อยก็เป็นเดือดเป็นร้อนดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้คิดว่าเรื่องเอาบริษัทคืนคงไม่ได้ยากอย่างที่คิด
“งั้นเอางี้ ฉันจะแต่งตัว 15 นาที นายไปสตาร์ทรถรอได้เลย”
“ก็บอกอยู่ว่าจะโดนลงโทษ แต่งตัวสวยไปเพื่ออะไร”
“ไปเย้ยไง ฉันอยากให้พวกนั้นรู้ว่าฉันไม่สนไม่แคร์ ถ้านายอยากโทรไปบอกเจ้านายก่อนก็ได้นะ เชิญ”
พูดจบฉันก็วิ่งขึ้นห้องมาเลือกชุดใหม่อย่างอารมณ์ดี
ตอนที่กลับมาฉันไม่ได้ขนเสื้อผ้ากลับมาเยอะนัก เพราะรู้สึกว่ามันวุ่นวายไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ที่ต้องมีติดตัวคือเดรสแดงแรงทุกโอกาส ใส่ไปหาใครเขาก็หันหลังเบะปากใส่ทุกราย
อย่างนี้แหละ คิดจะแรงชุดไม่แดงได้ไง
ชุดแดงพร้อม ปากแดงพร้อม ฉันเดินเข้าบ้านมาในสภาพที่มั่นแบบสุดๆ ชนิดที่ว่าใครมองก็ต้องหมั่นไส้ในความมั่นนี้ แม้แต่บอดี้การ์ดตัวร้ายที่ต้องเดินดูแลฉันทุกฝีก้าวก็ถอยห่างไปสองเมตรราวกับรังเกียจฉันชอบกล
“ไม่ต้องมาเดินใกล้ผมเลยนะ ผมไม่ถูกโฉลกกับสีแดง”
“ฉันเองก็ไม่ถูกกับสีดำเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยออกไปไกลๆ เลยนะ ออกไปจากชีวิตฉันได้ยิ่งดี”
“แล้ววันหนึ่งถ้าผมไปจริงๆ แล้วคุณจะร้องเรียกหา อย่าหาว่าผมไม่เตือน”
ชิ ใครจะเรียกหาเขากัน ถึงวันนั้นฉันคงจะยินดีจนเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ ประกาศเสียงตามสายออกไปทั่วบ้านทั่วเมืองไม่ว่า
บ้านเอกเดชาพิพัฒน์เช้านี้เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย เหล่าบอดี้การ์ดและสาวใช้ต่างกลัวกันหัวหดเพราะความหงุดหงิดของผู้นำตระกูลอย่างพ่อฉัน รณเดช เอกเดชาพิพัฒน์ ระหว่างที่ฉันเดินขึ้นบันไดไปบนบ้านก็ได้ยินเสียงโวยวายพร้อมกับเสียงแก้วแตกดังมาเป็นระยะ
ว้า...ดูเหมือนมีคนโมโหจนอยากกรี๊ดออกมาแล้วสินะ เป็นใครกันน้า ผัวหรือว่าเมีย
“มันคิดว่ามันเป็นใคร รู้ไหมคะว่าตอนนี้คนข้างนอกพูดถึงฉันว่ายังไง พ่อแม่เพื่อนของราอุลมองฉันแปลกๆ ตอนฉันไปส่งลูก แล้วลูกก็ร้องไห้โทรมาให้ไปรับ บอกเพื่อนล้อว่าแม่เป็นเมียน้อย คุณต้องจัดการลูกสาวคุณนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
เสียงยัยเมียน้อยโวยวายลั่นบ้าน ได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะสาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อเข้าไปฟังเรื่องดีๆ ข้างใน
เพราะทุกความเจ็บปวดของคนพวกนี้ คือเรื่องดีๆ ของฉันยังไงล่ะ
“ทำหน้าตาอิ่มเอิบมีความสุขที่คนอื่นได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ โรคจิต”
ทั้งที่ก็เดินห่างกันตั้งไกลแต่กลับได้ยินเสียงของเขาชัดเจนเหมือนกระซิบอยู่ข้างหู พอหันหลังกลับไปมองเท่านั้นแหละก็เจอเขามายืนอยู่ในระยะประชิด
ไอ้บ้า ตกใจหมดเลย
“ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง นายบอกว่าฉันเป็นโรคจิต แล้วตัวเองไม่โรคจิตมั้ง ไล่ตามแซะผู้หญิงอยู่ได้”
“ก็คงงั้นมั้ง”
มันมีคนปกติที่ไหนเวลาโดนด่าแล้วยิ้มรับหน้าตาเฉยอย่างเขาบ้าง เชื่อเขาเลย แต่คนอย่างนี้แหละที่รับมือด้วยยากที่สุด สงสัยว่าฉันต้องคิดหาทางที่มันแยบยลหน่อยเพื่อจะกำจัดเขาออกไปให้พ้นทาง
ฉันกำลังจะเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่มีพ่อกับเมียน้อยกำลังหน้าดำคร่ำเครียดเถียงกันอยู่ ทว่ายังไม่ทันเข้าไปถึงจุดที่แม่นั่นโวยวาย ต้นแขนก็ถูกกระชากอย่างแรงจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนที่จะมีแก้วใบหนึ่งมาแตกอยู่ตรงปลายเท้าฉันพอดิบพอดี
เพล้ง!!
“ระวังหน่อย”
เจ้าของมือที่ดึงแขนฉันอยู่พูดเสียงเรียบ เขาดึงฉันกลับเพราะเห็นว่าฉันกำลังจะเดินไปหาแก้วที่แม่ไข่มุกปาลงมา ทุกคนเห็นว่าฉันมาก็เหมือนจะพุ่งความสนใจมาที่ฉันในทันที
รวมทั้งยัยบ้าขี้โวยวายคนนั้นด้วย
“มานู่นแล้วไงคะ” ยัยไข่มุกมองหน้าฉันแล้วกอดอกทำท่าไม่พอใจ ส่วนพ่อที่นั่งอยู่ตรงโซฟา พอเห็นว่าฉันมาถึงเขาก็ลุกขึ้นแล้วปรี่เข้ามาในทันที
“มาแล้วเหรอแม่ตัวดี”
เขาที่สวมรองเท้าหนังเดินฝ่าเศษแก้วเข้ามาหาฉันด้วยท่าที่เกรี้ยวกราด มือหนายกขึ้นแล้วฟาดลงมาอย่างแรงในจังหวะที่ฉันไม่ทันตั้งตัว
เพียะ!!
ใบหน้าของฉันหันไปตามแรงตบ ฟากหนึ่งของใบหน้าชาไร้ความรู้สึก ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีความเจ็บที่ร้าวไปทั้งแถบก็ได้ตามขึ้นมา
ฉันคงจะถูกตบอีกครั้งจากฝีมือพ่อตัวเอง หากไม่ได้ไนธ์เข้ามาขวางเอาไว้
“มึงจะเข้ามาขวางอีกทำไม หน้าที่มึงคือทำตามคำสั่งกู ไม่ใช่มัน!”
เรียกฉันที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ว่ามัน แต่เรียกลูกเมียน้อยได้อย่างเต็มปากว่าลูกชาย ความเจ็บปวดที่แก้มนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ฉันได้ยิน มันเจ็บ...แต่เป็นความเจ็บที่ฉันชินชาจนพูดอะไรไม่ออก
“แกทำเรื่องงามหน้าขนาดไหนรู้ไหม ตอนนี้คนทั้งจังหวัดเขารู้กันหมดว่าพ่อแกมันไม่ดี ชอบนักใช่ไหมเรื่องหักหน้าคนอื่น เหมือนที่แม่แกชอบทำ”
“อย่ามาพูดถึงแม่หนูอย่างนั้น คุณไม่มีสิทธิ์...” ฉันกัดฟันพูดเสียงต่ำในขณะที่หันหน้าไปมองเขาอย่างช้าๆ ใบหน้าของผู้เป็นพ่อที่อยู่ต่อหน้าฉัน ทั้งคำพูดของเขาที่พูดถึงแม่ในทางไม่ดีทั้งที่แม่ทำดีกับเขามาตลอด ทุกอย่างมันทำให้ฉันผิดหวังจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขาเลย
แต่ฉันก็ยังหันไปมอง มองให้มันรู้ไปว่าในดวงตาคู่นี้ที่เหมือนกับดวงตาของฉันไม่มีผิดเพี้ยน มันซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่
“คุณไม่มีสิทธิ์ มาพูดถึงแม่ของหนูแบบนั้น ขณะที่คุณอยู่ที่นี่ในฐานะเอกเดชาพิพัฒน์ได้เพราะแต่งงานกับแม่ แล้วยังจะมาพูดถึงแม่แบบนั้นอีก”
“เธอจะพูดอะไรก็ช่วยคิดบ้างนะ อย่าลืมว่าตอนนี้ฉันเป็นผู้นำตระกูล จะสั่งอะไรก็ได้”
“หน้าด้าน! แต่งงานกับผู้หญิงเพื่อจะเอานามสกุลเขา แล้วยังมาทำเรื่องชั่วๆ ได้หน้าซื่อตาใสอีก ถามจริงเถอะค่ะ พ่อแม่ไม่สอนเรื่องผิดชอบชั่วดีบ้างหรือไง ถึงได้เกิดมาชั่วยันกระดูกแบบนี้!”
“ยัยเรนิส!!!”
เขาเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบฉันอีกรอบ แต่ฉันไม่ได้หลบสายตาเขา กลับจ้องหน้าท้าให้เขาตบลงมาอีกครั้ง
ฉันเจ็บ แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอก พวกเขาไม่มีสิทธิ์มาเหยียบบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำ
หมับ
แต่มือนั้นไม่ถึงหน้าฉันเพราะมีคนมาหยุดเอาไว้ ไนธ์ทำหน้าที่บอดี้การ์ดของเขาด้วยการเข้ามาหยุดคนที่จะทำร้ายฉัน แต่เขาก็โต้กลับไม่ได้เพราะนี่คือเจ้านายของเขาเอง
“ปล่อยกูไอ้ไนธ์!”
“อย่าทำเลยนะครับ พรุ่งนี้คุณหนูต้องดูตัว ถ้าหน้าเป็นรอยคงจะไม่ดี”
แต่สิ่งที่เขาพูดออกมามันทำให้ฉันมองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ คำว่า ดูตัว ที่ออกมาจากปากเขา เหมือนว่าทุกคนที่นี่ต่างก็รู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี มีแค่ฉันที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปทำอะไร
“หมายความว่ายังไง ดูตัวอะไร”
“ทำมาทำงง แกเรียนจบมางานก็ไม่ได้ทำ ถ้าไม่ได้มีหน้าที่แต่งงานกับผู้ชายรวยๆ เพื่อขยายอำนาจตระกูลอย่างแม่แก แล้วแกจะมีค่าอะไรอีก”
“บอกว่าอย่ามาพูดถึงแม่แบบนั้น!!”
มือฉันไขว่คว้าหาโอกาสที่จะทำร้ายเขา แม้แค่ปลายเล็บข่วนเข้าหน้าก็ยังดี แต่สุดท้ายฉันก็ทำไม่ได้เพราะมีคนเข้ามารวบตัวเอาไว้
ทำไมทุกคนถึงสามารถทำร้ายฉันได้อย่างง่ายดาย ทำไมทุกคนถึงได้มีคนมากมายคอยปกป้องอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ฉันไม่มีใครเลยสักคน ทุกที่อยู่ตรงนี้คือคนของเอกเดชาพิพัฒน์ แต่กลับยืนมองฉันที่เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงถูกด่า ถูกเหยียดหยามอยู่ตรงนี้
แม้แต่ไนธ์...ผู้ชายที่ใกล้ชิดฉันมากกว่าพ่อแท้ๆ คนที่น่าจะรู้ทุกอย่างว่าอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวฉัน แต่ก็ยังเลือกจะปกป้องเจ้านายของเขาทั้งที่ก็ได้ชื่อว่าเป็นบอดี้การ์ดของฉัน
ฉันเหลือใครบ้างใครเข้าข้างฉันจริงๆ
“แกมันก็เหมือนแม่แกนั่นแหละ ถ้าอยู่ที่นี่แล้วทำตัวเป็นขยะระรานฉันไม่หยุด พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องดูตัวแล้ว...”
“...”
“เอามันไปขังไว้ ไนธ์เฝ้าอย่าให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว พรุ่งนี้ฉันจะให้ทางบ้านนู้นมารับตัวมันไปแต่งงาน”
“จะมาทำแบบนี้กับหนูไม่ได้นะ ปล่อย! ไนธ์ ฉันบอกให้ปล่อย!!”
“ยิ่งมันแต่งงานออกไปให้พ้นบ้านนี้ไวเท่าไหร่ยิ่งดี ไป เอามันไปขัง!!”
“ปล่อยฉัน กรี๊ด!!!”
[Nithe’s part]งานแต่งตั้งประธานเป็นอะไรที่วุ่นวายไม่น้อย ผมเดินตามเรนนี่ตลอดเวลาทำหน้าที่บอดี้การ์ดของตัวเองที่ห่างหายไปหลายเดือน ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างของเรนนี่อย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน ผมเองก็อดยิ้มตามเธอไม่ได้เธอดูมีความสุขมากจริงๆ มากกว่าเมื่อก่อนมาก ผมดีใจที่พอผมกลับเข้ามาในชีวิตสิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของเธอ และหวังว่าจะได้เห็นมันไปนานๆ ตลอดไปเลยยิ่งดี“คลั่งรักเมียนะมึงอะ มองไม่พัก มองขนาดนี้แล้ววันนั้นหมาตัวไหนครับบอกว่าถ้าได้เอาคนนี้เอาหมาดีกว่า”เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาที่ข้างตัว ผมเกือบลืมไปว่าวันนี้เชิญเพื่อนสุดที่รักมาด้วย หันไปเจอไอ้ ชาวี เพื่อนรักตัวแสบยืนทำหน้าแป้นน่าถีบอยู่ข้างๆ เห็นแล้วอยากจะหันไปแจกหมัดให้สักทีสองที“คนพูดนั่นไม่ใช่กูครับเพื่อน” ผมตอบยิ้มๆ สายตาก็มองกลับเข้าไปในงาน เรนนี่กำลังทักทายแขกเหรื่อในงานโดยมีไอ้เจ็ดเดินตามไม่ห่าง ผมเลยถือโอกาสหันมาคุยกับเพื่อนบ้างวันนี้มากัดหมดทั้ง นาวี ชาวี รวมทั้งไอ้นักรบ แล้วไหนจะสาวๆ เมียพวกมันอีกครบทีม ผมคิดว่างานสำคัญอย่างนี้พาพวกเธอมาเจอกันหน่อยก็ดี ซ้ำคุณหนูเอวา[1] เอ
ฉันมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก หญิงสาวในเดรสสีแดงสดแต่งหน้าจัดเต็มทาปากสีนู้ด ผมยาวสลวยถูกย้อมเป็นสีดำขลับแล้วรีดตรงทำให้เธอดูสง่าและภูมิฐานกว่าเมื่อก่อนเป็นไหนๆ สไตลิสของฉันวนรอบตัวแล้วปรบมือแล้วปรบมืออีกด้วยความภาคภูมิใจ ที่หล่อนสามารถเปลี่ยนลุคของฉันจากสก๊อยเป็นท่านประธานสาวได้สำเร็จ“สวย เริ่ด ปัง”“พอเถอะ เธออวยจนฉันเริ่มจะอึดอัดแล้ว”“ฉันอวยตัวเองเถอะ เมื่อก่อนเธอแต่งตัวไม่มีคลาสเอาซะเลย ตอนนี้เหรอ เหอะ อย่าว่าแต่มองเหลียวหลัง ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ต้องวิ่งเข้ามากราบขอเป็นผัวค่ะ”“ขนาดนั้นเชียว?”เราสองคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คงเพราะอายุไม่ห่างกันมาก แล้วก็ทะเลาะกันมาตลอดเลยทำให้สนิทกันง่าย ทุกวันนี้การมีไข่มุกอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่แย่เท่าไหร่“เธอไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน” ฉันว่าพลางกลับมานั่งเล่นมือถือที่โซฟา ไม่ลืมที่จะถอดส้นสูงออกเพราะรู้ว่าไปงานยังไงก็คงไม่ได้ถอดไปอีกหลายชั่วโมง“ไม่เอาล่ะ เธอไปเถอะ ฉันเป็นแค่สไตลิสจะไปทำไม”“เธอเป็นเมียพ่อฉัน เป็นแม่เลี้ยงฉันนี่”“เธอ...ไม่ใช่ลูกของคุณเดชไม่ใช่เหรอ?”“อือ แล้วไงล่ะ ฉันก็เรียก
[Nithe’s part]ขอโทษ...คำนี้มันคงจะสายเกินไปที่จะพูดแล้วในตอนนี้ แหวนที่เธอคืนให้มา มันคือการตัดความสัมพันธ์อย่างชัดเจนแต่ผมกลับไม่สามารถมูฟออนไปได้เลย“ผมเข้าใจนะว่าลูกพี่กำลังอกหัก แต่ดื่มเยอะๆ อย่างนี้มันไม่ดีนะพี่ คุณหนูเขามีความสุขแล้ว ผมเองก็ดูแลให้อย่างดี”คงมีแต่ไอ้เจ็ดที่เข้าใจว่าผมรู้สึกยังไง เรื่องที่เราเลิกกันไม่ได้ประกาศออกไป เลยมีแค่คนที่ผมสนิทที่สุดเท่านั้นที่รู้ แม้แต่นาวี ชาวี หรือแม้แต่ไอ้นักรบก็ไม่รู้เรื่องนี้ หลายครั้งที่เจอกันพวกมันยังแซวเรื่องของผมกับเรนนี่อยู่เลย ผมเองก็ไม่อยากบอกใครว่าจริงๆ ความสัมพันธ์นั้นมันได้จบลงแล้ว“กูไม่ได้อกหัก” ผมปฏิเสธคำพูดของไอ้เจ็ด ด้วยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเลิกกับเธอแล้วจริงๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกระดกเหล้าเพียวๆ เข้าปากอีกอึกไม่รู้ว่าตัวเองดื่มจนเมาปลิ้นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าทุกวันหากคิดถึงเธอ รสขมปร่าของเหล้าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยผมได้ดื่มแล้วก็เมา เมาแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่นมาดื่มใหม่ ชีวิตผมเป็นอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว โคตรขี้แพ้เลยเนอะไอ้เจ็ดก็เลิกงานเมื่อไหร่เป็นต้องมาดื่มเป็นเพื่อนผม บางวันมันก็บ่นว่าดื่มไม่ไหวแล้วขอก
ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเสียไปหมดทุกอย่าง จนกระทั่งตัวเองมาเจอเรื่องนี้เมื่อก่อนฉันเสียแม่ เสียตา แต่ยังมีเป้าหมายในการทวงทุกอย่างคืนมาจากพ่อพอให้ได้มีแรงสู้ต่อ แต่วันนี้ฉันได้ทุกอย่างคืนมาแล้ว แม้แต่ตาก็อยู่กับฉัน แต่กลับไม่มีความสุขเลย“ตรงนี้อ่านว่า กอ อา กา แค่นี้ก็ไม่รู้เนอะ”“ก็เราไม่เคยเรียนหนังสือนี่”“ไม่เอาน่าหลานๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ”อีกอย่างที่ฉันได้มา นั่นก็คือครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ฉันว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียว เลยให้ยัยไข่มุกย้ายกลับเข้ามา ด้วยเหตุผลแรกคือ ฉันอยากให้ราอุลได้เรียนที่ดีๆ มีสังคมดีๆ ไม่ต้องลำบาก สองคืออยากให้หลินหลินได้มีเพื่อนอ้อ ฉันรับหลินหลินเป็นลูกบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว ถึงจริงๆ เธอจะเรียกฉันว่าพี่สาวก็เถอะตอนนี้ในบ้านฉันเลยเต็มไปด้วยเสียงของเด็กสองคนทะเลาะกันแทบทุกวัน ตามด้วยเสียงคุณตาที่บอกว่าอย่าทะเลาะกันส่วนฉันก็มีงานใหญ่ต้องทำ“ชุดเห่ย”ยัยแม่เลี้ยงปากเสียว่าพลางมองฉันหัวจรดเท้า เธอเบะปากให้ชุดเดรสสีแดงเรียบๆ ที่ฉันเลือกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจยัยไข่มุกรับหน้าที่เป็นสไตลิสชั่วคราวให้ฉัน เพราะช่วงนี้ฉันยังไม่อยากพบเจอผู้คน
‘แม่คะ อันนี้ดอกอะไรคะแม่ สวยมากเลย’‘ไซคลาเมนลูก ความหมายของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการจากลา แต่สำหรับแม่ หมายถึงความรักของแม่ จะยังคงอยู่ตลอดไป แม้ว่าจะตายจากกัน’‘แม่อย่าพูดถึงเรื่องตายแบบนั้นสิคะ เรนไม่ชอบเลย’‘เรนนี่ลูก วันหนึ่งคนเราก็ต้องจากกัน แค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่หนูไม่ต้องห่วงนะ ถ้าแม่ไปก่อน แม่จะไปรอลูกอยู่ที่นั่นนะจ๊ะ’ภาพของแม่ที่ฉันไม่เคยฝันถึงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมองรูปของแม่ทุกวัน หวังว่าจะได้เจอแม่ในฝันสักครั้ง แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงคราบน้ำตาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในทุกคืนแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ฉันถึงได้ฝันถึงแม่ แม่ที่ตายจากไปแล้วหลายปี ฉันถามแม่ว่าคุณตาอยู่ไหน แต่ท่านก็ไม่ตอบแล้วเดินไกลออกไป‘แม่คะ...อย่าทิ้งหนูไป’ เสียงของฉันในความฝันเรียกชื่อแม่ สองขาพยายามวิ่งตามท่าน แต่เหมือนว่ายิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆแม่...อย่าทิ้งหนูไป“แม่คะ...แม่อย่าทิ้งหนู”“เรนนี่” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในความฝัน ฉันหันหลังไปแล้วก็เจอกับใบหน้าของชายหนุ่มที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเ
“เรื่องการเข้ารับตำแหน่งที่บริษัท ฉัตรจะจัดการให้เองนะคะคุณหนูไม่ต้องห่วง ตอนนี้พักผ่อนไปก่อน เอาสุขภาพตัวเองเป็นหลักนะคะ”คงเป็นความโชคดีของฉันอย่างหนึ่ง คือตอนที่ฉันรู้สึกแย่ฉันไม่เคยต้องอยู่คนเดียว ตอนที่เพื่อนไม่ว่างและฉันต้องการกำลังใจ ก็มีคุณฉัตรที่คอยเป็นธุระให้แทบทุกอย่าง แล้วยังอาสามาอยู่เป็นเพื่อนในบางวันเธอช่วยฉันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จนไม่รู้แล้วว่าต้องเริ่มขอบคุณเธอจากตรงไหนดี“ขอบคุณนะคะคุณฉัตร แค่นี้ก็ลำบากคุณมากพออยู่แล้ว” ฉันกล่าวขอบคุณออกไปอย่างจริงใจ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้“ไม่รบกวนหรอกค่ะ ยังไงฉันก็ต้องทำงานให้คุณในฐานะทนายในการแต่งตั้งประธานบริษัทอยู่แล้ว ตอนนี้เราต้องเตรียมตัวเพื่อจะไปแสดงตัวว่าเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉัตรเตรียมเอกสารไว้ให้แล้ว คุณเรนค่อยดูตอนที่รู้สึกดีขึ้นนะคะ”“ขอบคุณค่ะ”“งั้นวันนี้ฉัตรจะรอเมย์บีมาก่อนค่อยไป คุณเรนอยากดื่มอะไรสักหน่อยไหมคะ ฉัตรไปชงให้”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”เฮ้อ...ฉันต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ต้องไม่จิตตก ต้องไม่คิดถึงเขาสิรู้ไหมว่าอะไรยากที่สุดของการอยู่คนเดียว คือเมื่อเราได้มีใครสักคนเข้ามาในชี







