หญิงสาวกำลังสับสน คิดการณ์ไม่ทันผู้ใดทั้งนั้น
นางมักเป็นสตรีเช่นนี้ อึกอักอ้ำอึ้งไม่มีความมั่นใจ ทำผู้คนรอบข้างนึกรำคาญไม่น้อย
ชั่วขณะนั้นเสียงของจางฉวนก็ตวาดก้อง ไม่ปล่อยโอกาสให้ชิงหลินได้เอ่ยอันใด
“อะไรกัน!? หลินเอ๋อร์!”
ชิงหลินพลันผวาเฮือกเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกต้องฝน
นางมิใช่สตรีฉะฉานเหมือนใครเขา จึงทำได้แค่เม้มปากแน่น ก้มหน้ามิกล้าเงย
จางฉวนโกรธเกรี้ยวบันดาลโทสะออกมา
“เจ้าทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน เสียท่าให้กับชายอัปลักษณ์ที่พิการหลังค่อมเช่นนั้น นับว่าตัวข้าที่เป็นชายปกติได้รับความอัปยศอดสูอย่างที่สุด ข้าจะถอนหมั้นเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย หานอี้ซวนและเจียหรูพลันแตกตื่นเบิกตาโพลง
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ หมายถึงชื่อเสียงของตระกูลย่อมเสื่อมเสีย แค่ธิดาเสียบริสุทธิ์ให้ชายหยาบช้าก็ย่ำแย่มากแล้ว คู่หมั้นยังถอนสัญญาผูกสกุลยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่า
ใบหน้าของหานอี้ซวนดำคล้ำ ถลึงตามองชิงหลินอย่างคาดโทษ เจี๋ยหรู๋ยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ กลัวแต่ว่าสามีจะพาลโกรธนางไปด้วยจึงไม่กล้าเอ่ยคำใดทั้งนั้น นางส่งสายตามองชิงหลินอย่างผิดหวังที่มีบุตรสาวน่าชังเยี่ยงนี้
ผู้ถูกจ้องมองด้วยสายตาหลากหลายยังคงมึนงงไม่ทันแผนการของใคร แม้รู้อยู่แก่ใจว่าไม่เป็นความจริง
ชายอัปลักษณ์ผู้นั้นมิได้แตะต้องนางมากไปกว่าช่วยลากนางขึ้นจากน้ำมาวางแผ่อยู่ริมตลิ่ง กระทั่งเสื้อผ้าของนางยังอยู่เช่นเดิมมิได้ผลัดเปลี่ยนด้วยซ้ำ แต่นางก็ยังเถียงไม่ออกสักครึ่งคำ
เพราะการหายตัวไปทั้งคืนและอยู่กับชายอื่นเช่นนั้นคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ อีกทั้งพยานสองปากยังกล่าวได้อย่างขึงขังฉะฉานเหลือเกิน ว่าเห็นชิงหลินอยู่กับกงหนิวทั้งคืนจริงแท้แน่นอน ไม่เชื่อก็ให้ฟ้าดินลงทัณฑ์
และทุกคนย่อมเชื่อเช่นนั้น ไม่มีใครเว้นช่องว่างให้ชิงหลินได้เอ่ยคำแก้ตัว
หญิงสาวทำได้แค่ยืนนิ่งแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้ขยับกาย ใบหน้าโศกสลด แสนทุกข์ระทม อีกทั้งในใจยังกลัวคู่หมั้นหนุ่มจะหมดรักในตัวนางเหลือเกิน จึงไม่กล้าผลีผลามบุ่มบ่ามอันใด
กระทั่งตัวนางเองยังลืมไปเสียสิ้น ว่าจางฉวนต่างหากที่เป็นฝ่ายนัดพบสตรีอื่นไปพลอดรักกัน
และสตรีนางนั้นยังเป็นน้องสาว...
ชิงหลินมองไปทางชิงลี่ เห็นอีกฝ่ายยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาอย่างน่าสงสาร ท่าทางเสียใจสุดแสน ร่ำไห้เอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเครือขอให้ผู้ใหญ่ใจเย็น ได้โปรดอย่าทำโทษพี่ใหญ่
ยามนี้ทุกคนเห็นชิงลี่เสมือนนางฟ้าผู้อ่อนหวานเปี่ยมเมตตา ทว่าชิงหลินกลับเหมือนนางมารทำเรื่องเสื่อมทรามประจานวงศ์ตระกูล
จางฉวนยืนยันเฉียบขาดดังลั่น “ข้าต้องการถอนหมั้น!”
ทุกคนบ้านหานพลันตาเบิกโพลง ชิงหลินถึงกับทรุดฮวบนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง
ครอบครัวของจางฉวนฐานะดีกว่าครอบครัวบ้านหาน การค้ายังต้องพึ่งพากันไปอีกนาน หานอี้ซวนจึงเกรงอกเกรงใจเขาระดับหนึ่ง การถอนหมั้นนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง และไม่ควรเกิดขึ้น
“อาฉวน เจ้าใจเย็นก่อนเถิด” หานอี้ซวนลุกขึ้นยืน เอ่ยกับจางฉวนด้วยเสียงทุ้มนุ่มอีกว่า “เรามาปรึกษากันสักครู่ดีหรือไม่?”
ห้องหนังสือของหานอี้ซวนอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของโถงรับรอง จางฉวนถูกพาเข้าไปในห้องนั้น แล้วหายเงียบไป
นานครู่ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบงัน บรรยากาศอึมครึมเสียยิ่งกว่ามีหมอกดำทะมึนลอยต่ำ ชิงหลินนั่งหน้าซีดเผือดปราศจากวาจาอยู่กลางโถงกว้าง โดยมีชิงลี่นั่งมองด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา ลอบยกยิ้มเหยียดหยันไร้ใครสังเกตเห็น
ไม่นาน...หานอี้ซวนก็ออกจากห้องหนังสือมากับจางฉวน พร้อมคำสั่งให้เตรียมงานแต่งทันที ระหว่างนี้ชิงหลินควรอยู่แต่ในเรือนห้ามออกไปที่ใด ห้ามก่อเรื่องน่าอับอายอันใดทั้งสิ้น
หญิงสาวให้นึกแปลกใจที่เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งยังดีใจหลายส่วน เพราะว่าจางฉวนมิได้เอ่ยเรื่องถอนหมั้นอีก
หานอี้ซวนกำชับชิงหลินเสียงเข้ม “เพื่ออาฉวน เจ้าทำได้หรือไม่? หลินเอ๋อร์”
“หมายความว่า พี่ฉวนจะไม่ถอนหมั้นแล้วหรือเจ้าคะ”
ชิงหลินถามอย่างตื่นเต้น มองไปทางจางฉวนด้วยแววตาเปล่งประกาย
ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม มองสบตาชิงหลินโดยไม่ปฏิเสธ เพียงเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าไม่ถอนหมั้นแล้ว เจ้าเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถอะ”
จบคำก็สะบัดชายผ้าเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง
หลังจากนั้น งานแต่งจึงถูกตระเตรียมอย่างพร้อมเพรียง โดยชิงหลินต้องรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่แต่ในเรือน ห้ามออกไปที่ใด รอสวมชุดแดงอย่างเดียวเท่านั้น
ระหว่างที่รอเป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชิงหลินที่หายป่วยดีแล้วจึงได้มีโอกาสอธิบายกับบิดามารดา ว่าแท้จริงแล้วนางเดินเล่นจนเป็นลมพลัดตกน้ำ ได้กงหนิวช่วยเหลือ นางยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง มิได้พลาดพลั้งแต่อย่างใด
ชิงหลินอธิบายแค่นั้น โดยตั้งใจปกปิดความสัมพันธ์ของคู่หมั้นกับน้องสาว ด้วยกลัวเหลือเกินว่าเรื่องราวจะพลิกผัน กลัวว่าจางฉวนต้องรับผิดชอบชิงลี่ก่อนจะได้แต่งกับนาง
“ข้ากับกงหนิวไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันจริงๆ นะเจ้าคะ”
บิดามารดาพยักหน้าเข้าใจ ไม่ต่อว่านางอีก...
เมื่อได้อธิบายตามความจริงแล้ว ชิงหลินจึงสบายใจมาก เฝ้ามองการเตรียมงานมงคลที่พร้อมแล้วถึงเก้าส่วนอยู่เงียบๆ อย่างมีความสุข…
แท้จริงแล้วหญิงสาวได้ให้หยุนผิงกับจ้าวหมิงตามสืบจนล่วงรู้ตัวตนคนร้ายตัวจริงก่อนหน้านานแล้วทว่ายังไม่เปิดเผยต่อใครนางแค่รอให้พวกมันได้ใจ และก่อเหตุร้ายในที่สุดรอคอยให้บุคคลสำคัญแห่งต้าถังอ่อนแอที่สุดส่วนชาวยุทธ์เหล่านั้นที่ร่วมมือกับกบฏล้วนเป็นคนของหยุนผิง ที่แสร้งร่วมมือไปก่อนตามสถานการณ์รอตลบหลังอย่างชั่วช้า...แน่นอนว่าเรื่องนี้คนดีๆ คงไม่คิดทำ มีแต่นางมารอย่างซานซานเท่านั้นที่คิดได้เดิมทีโซวอ๋องไหนเลยจักเคยพ่ายแพ้ให้แก่ใครง่ายๆ เช่นนี้ ทุกศึกที่ผ่านมาค่อนชีวิตของเขาล้วนกำชัยทว่าเพราะตัวเขาที่ไม่ว่าจักโหดเหี้ยมต่อศัตรูเพียงใดยังไม่เคยคิดร้ายถึงขั้นเอาชีวิตของหลานชายเลยสักคน จ้าวเหวินรู้ถึงข้อนี้ดี จึงทำทีเข้าหาด้วยท่าทางไร้พิษภัย เป็นหลานชายผู้นอบน้อมเหมือนเช่นเคย แสดงตัวว่าต้องการร่วมรบปราบกบฏกับเสด็จอา ซึ่งยามนั้นยังอยู่ในช่วงที่คาดการว่าทรราชเป็นใครกันแน่ เป็นแม่ทัพหรืออำมาตย์คนใดนั่นจึงทำให้ชั่วขณะมื้ออาหารระหว่างอาหลาน โซวอ๋องถูกพิษสลายวิญญาณจากการร่วมจิบชา ส่วนจ้าวเหวินหนีไปได้ทางทิศใดมิอาจทราบช่วงเวลาเจ็บสาหัสเจียนตาย ย่างเท้าใกล้ประตูผีรอมร่อ ท้ายที่สุดโซวอ๋องกลับ
หลังจากจ้าวเหว่ยได้ขึ้นครองราชย์ อดีตฮ่องเต้ก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ไม่นานยังหายป่วยเป็นปลิดทิ้งนับเป็นไท่ซ่างหวงที่สมบูรณ์แข็งแรงผู้หนึ่ง จึงออกท่องเที่ยวไปทั่วหล้าประหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยไร้เดียงสากระนั้น ยังไม่ลืมพาจ้าวสุนกับลู่หลิ่งออกท่องเที่ยวพร้อมกัน จนหลี่กุ้ยเฟยต้องนั่งกุมขมับ พร่ำบ่นเช้าค่ำถึงความซุกซนของสามีกับหลานสาวการเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจและการสละราชสมบัติ นับเป็นช่วงเวลาอันดีที่ซ้อนเร้นสิ่งเลวร้ายช่วงหนึ่งของทุกราชวงศ์ความวุ่นวายจึงก่อตัวขึ้นช่วงนี้ หรือกล่าวอีกทีก็คือกบฏทรราชฉวยโอกาสก่อเรื่องช่วงที่ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งประทับนั่งยังไม่มั่นคงคนผู้นั้นคือองค์ชายสี่ จ้าวเหวินร่วมมือกับองค์ชายรอง จ้าวหยางทั้งสองคือผู้ร้ายตัวจริงที่สวมรอยโซวอ๋องหมายจัดการจ้าวเหว่ย ด้วยพันธะสัญญาว่า หากจ้าวเหวินได้ยึดครองบัลลังก์ กลายเป็นโอรสสวรรค์ผู้มีอำนาจล้นฟ้า จ้าวหยางย่อมได้ยศคืน แล้วกลับมาสูงส่งเป็นอ๋องปกครองดินแดนบูรพาอันสมบูรณ์มั่งคั่งคลื่นใต้น้ำห่าใหญ่กำลังคืบคลานชอนไชรอซัดโหมกระหน่ำโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัวสักคน...ยามที่จ้าวเหว่ยกำลังประชุมท้องพระโรงหลังจากถ่ายทอดคำสั่งเพื่อให้ขุนนางด
วันเวลาคืบคลานไปช้าๆ สองสามีภรรยาต่างร่วมมือกันก้าวผ่านทุกสิ่ง ดีบ้างชั่วบ้าง แล้วแต่วาระโอกาสจ้าวเหว่ยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนถังเทียนเหมินฮ่องเต้ ซานซานเป็นแม่ทัพหญิงผู้ยิ่งใหญ่ มีสหายร่วมรบมากมายส่วนฮ่องเต้ยังคงประชวรต่อไป นานนับปียังสุขภาพไม่สู้ดีหลี่กุ้ยเฟยมาคอยดูแลฮ่องเต้ถึงห้องบรรทมทุกวัน หลายครั้งยังถูกลู่หลิ่งออดอ้อนขอแสดงความจงรักภักดีโดยการติดตามมาปรนนิบัติด้วยแรกเริ่มฮ่องเต้ทรงมองเด็กหญิงด้วยสายตาหวาดระแวง แต่เพราะประชวรหนักไม่อาจขยับแม้ปลายพระกร จึงทำได้แค่นอนนิ่งๆ ให้ลู่หลิ่งปรนนิบัติรินน้ำชา เตรียมโจ๊ก เช็ดพระวรกาย นวดพระบาท เหน็บชายผ้าห่ม นั่งโบกพัด กระทั่งชวนคุยและเล่าเรื่องสนุกสนานตามจินตนาการจากสมองน้อยๆ จนเรียกเสียงหัวเราะจากคนบนเตียงได้ไม่ยากความน่ารักสดใสของเด็กหญิงเป็นอาวุธชั้นเลิศท้ายที่สุดฮ่องเต้มิอาจต่อต้านได้ จึงยอมรับหลานสาวผู้นี้อย่างจำนนหมดทั้งใจเมื่อได้อยู่เพียงลำพังกับสนมคนโปรด ฮ่องเต้จึงตัดสินพระทัยบอกความจริงทั้งหมดแก่หลี่กุ้ยเฟยด้วยสุรเสียงแหบแห้ง แววพระเนตรรู้สึกผิดเต็มส่วนครั้นหลี่กุ้ยเฟยได้ฟังยังแทบล้มทั้งยืน “ที่แท้หลิ่งเอ๋อร์กับซานซา
สามวันต่อมา...ราชโองการสมรสพระราชทานอย่างเป็นทางการก็เดินทางมาถึงจวนสกุลหลิวมหาขันทีส่วนพระองค์ยืนอยู่กลางโถง สองมือถือแผ่นผ้าสีทองกางออกเบื้องหน้า ทำท่าจะประกาศก้องอย่างเป็นทางการ กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณหนูหลิวฉานเหยาจู่ๆ ก็ล้มตึงลงบนพื้นห้อง สองตาเหลือกถลน กลีบปากอวบอิ่มที่ทาชาดสีแดงมีน้ำลายฟูมออกมา นางชักดิ้นชักงอมีท่าทางอเนจอนาถอย่างมาก ขันทีจำต้องม้วนพระราชโองการมงคลสมรสเก็บใส่กล่อง ยืนมองเหตุการณ์วุ่นวายกลางโถงเงียบๆสมรสพระราชทานยังมิได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ทั้งยังไม่มีใครรับราชโองการ ขั้นตอนยังไม่ทันสมบูรณ์กลับเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ลางร้ายโดยแท้...หลิวฉานเหยาหมดสติหลับใหลนับแต่วันนั้น หลายวันผ่านไปยังคงไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมา หมอแต่ละคนตรวจอาการเสร็จก็ทำได้แค่ส่ายหน้า จนปัญญาหาสาเหตุ ทำได้แค่รักษาตามอาการประคองลมหายใจหนึ่งเดือนต่อมาในค่ำคืนหนึ่ง หลิวฉานเหยาพลันฟื้นคืนสติขึ้นมา ทว่ากลับกลายเป็นสตรีไม่สมบูรณ์เหมือนเก่า นางนั่งเหม่อลอยคล้ายเด็กน้อย พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง บางครั้งยังซึมเซา บางคราวยังนั่งกล่าวคำเรื่อยเปื่อยแล้วหัวเราะคนเดียวถึงแม้ว่าราชโองการยังไม่ถู
หญิงสาวหมุนตัวอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง ซบหน้าลงตรงแผงอกหนา แนบพวงแก้มกับกล้ามเนื้อตึงแน่น ใช้มือลูบไล้เบาๆ ส่งผ่านความรู้สึกวาบหวามผ่านปลายนิ้วทะลุเนื้อผ้า“ท่านอยากแต่งกับนางหรือไม่เล่า?”ชายหนุ่มเชยคางมน ก้มหน้าสบตาภรรยาที่ได้กราบไหว้ฟ้าดินแล้วตั้งแต่บ้านไผ่ริมธาร“ใจข้ามีเพียงเจ้า”รอยยิ้มหวานพลันปรากฏบนใบหน้างาม ซานซานรับรู้ถึงความจริงใจจากแววตามั่นคงและวาจาหนักแน่นนั้นจ้าวเหว่ยก้มหน้าลงจุมพิตกลีบปากอิ่ม ส่งผ่านความร้อนจากปลายลิ้นให้ซึมลึกถึงความรู้สึกแห่งก้นบึ้งของหัวใจเนิ่นนานผ่านไปจึงถอนริมฝีปากตนออกอย่างเอื่อยเฉื่อย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าคุ้นชิน จับร่างเล็กนุ่มนิ่มให้หมุนเข้าหา จับสองขาเรียวเสลาแยกออกแล้วตวัดรอบเอวเขาสองเรือนกายเริ่มบดเบียดเนิบนาบ เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าเกิดขึ้นครู่ใหญ่ ก่อนที่ทุกชิ้นที่ห่อหุ้มทั้งสองค่อยๆ คลายตัวเลื่อนออกจากช่วงไหล่ เผยผิวกายขาวเนียนใต้แสงเทียนรำไรทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กัน ซานซานรู้สึกได้ถึงความคะนึงหา รับรู้ความรักของเขาได้จากอ้อมอกอบอุ่นกว้างหนา วงแขนแข็งแกร่งทรงพลัง ฝ่ามือหยาบกระด้าง ทุกสัมผัสที่เขามอบให้นัยน์ตาลึกล้ำของจ้าวเหว่
หลังงานเลี้ยงเลิกรา ซานซานยังไม่ลืมลอบไปหาบุตรสาวที่ตำหนักฮุ่ยเยี่ยนเนื่องจากดึกมากแล้ว เด็กหญิงลู่หลิ่งจึงนอนตัวกลมอยู่บนเตียงอุ่น ซานซานเข้ามาหอมแก้มลูกน้อยหลายที จนลู่หลิ่งปรือตาสะลึมสะลือ“ท่านแม่”เห็นลูกงัวเงียยกมือขยี้ตาทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง ซานซานจึงตบก้นกล่อมแม่นางน้อยให้นอนหลับต่อ“ไม่ต้องลุก แม่มิได้จะรบกวนเจ้า แค่อยากมาหอมแก้มให้หายคิดถึง”เด็กหญิงนอนลง กลิ้งใบหน้าซุกหมอนหนุน ม้วนตัวกับผ้าห่มอุ่น บ่นอู้อี้ “ท่านพ่อรอนานแล้วกระมัง ท่านแม่รีบไป”คนถูกไล่พลันหรี่ตา “เจ้าลูกคนนี้ เห็นพ่อดีกว่าแม่”เด็กหญิงหัวเราะคิก หันหลังหลับต่อเนื่องจากซานซานย้ายออกจากตำหนักฮุ่ยเยี่ยนแล้ว เรือนพักเดิมจึงไม่มีสิทธิ์เข้านอนตามอำเภอใจ นางจึงลอบไปตำหนักบูรพา ทำตัวเป็นจอมโจรเด็ดบุปผาแน่นอนว่าโจรคือนาง บุปผาคือสามีเมื่อเข้ามายังด้านในอันเป็นห้องส่วนตัวอยู่ชั้นสองของเรือนหลัก ปลายเท้าเล็กแตะพื้นแผ่วเบา ดวงตางามกวาดมอง แสงเทียนในห้องมีเพียงริบหรี่ สาดส่องรำไร เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษยืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง คล้ายรอคอยอยู่แล้วเป็นนาน ซานซานเดินเงียบเชียบ มองสามีผู้สูงศักดิ์ของตนนิ่งๆ เนิ่