แชร์

หานชิงหลินผู้อ่อนแอ 3

ผู้เขียน: LiHong
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-02 16:19:38

พวกเขาเข้าเรือนไปสองต่อสอง มือที่จับกันยังไม่ยอมปล่อยเลยแม้ช่วงเวลาเดียว

เนื่องจากชิงหลินทิ้งระยะห่างอยู่หลายก้าว กว่าจะตามมาทันจนถึงตัวเรือนจึงใช้เวลาพอควร

หญิงสาวพยายามมองเข้าไปด้านในผ่านช่องเล็กๆ ของประตู ทำท่าจะยกมือขึ้นเคาะเพื่อร้องเรียกคนด้านใน แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะต้องบานประตู หูของนางพลันได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาก่อน

“อื้อ...ท่านพี่ฉวน อ๊ะ...”

เสียงแว่วหวานนั้นเป็นของชิงลี่ ฟังดูแล้วให้รู้สึกวาบหวิวหวามไหวในอกยิ่งนัก ทำเอามือเล็กๆ ของชิงหลินต้องนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อาจเคาะหรือร้องเรียกผู้ใด

“อา...ลี่เอ๋อร์”

อีกเสียงที่ดังผสานคือจางฉวน ทั้งแหบต่ำทั้งสั่นพร่า

“อื้ม...พี่ฉวน ข้าเจ็บเจ้าค่ะ” เสียงของชิงลี่เริ่มสะอื้นไห้

จางฉวนยิ่งส่งเสียงทุ้มนุ่มสั่นกระเส่า “ข้าจะทำเบาๆ”

“อื้ม...”

“เจ้าช่างงดงามนัก ไร้ที่ติยิ่ง”

“แต่ข้ายังไม่เติบโตเต็มที่เลยนะ อ๊ะ!”

“ข้าจะทำให้เจ้าโตเองกับมือ”

เสียงเสียดสีแว่วดังเป็นระลอก ผสานเสียงครางก่อนที่ฝ่ายสตรีจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“อืม...ของลี่เอ๋อร์โตกว่าของพี่หญิงหลินหรือไม่”

“ตอนนี้ยัง ...แต่ต่อไปไม่แน่”

สิ้นคำนี้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดพลันหยุดชะงัก แต่เสียงของชิงลี่คล้ายเข้มขึ้น

“พี่ฉวนพูดเช่นนี้ เคยเห็นของพี่หลินแล้วรึ?”

จางฉวนแค่นเสียงไม่พอใจ “เจ้าจะพูดถึงหลินเอ๋อร์ทำไม ใครใหญ่กว่าสำคัญที่ใด ในเมื่อเจ้ายอมข้า เจ้าสาวของข้าย่อมเป็นเจ้า หาใช่สตรีที่แสดงท่าทีรังเกียจข้าไม่”

หลังสิ้นประโยคของบุรุษ ฝ่ายสตรีจึงหัวเราะคิก

“จริงหรือ?”

“ย่อมใช่!”

จากนั้นสรรพสำเนียงวาบหวามของชายหญิงที่สอดประสานอันทำให้ผู้แอบฟังนอกเรือนต้องหวามไหวพลันดังขึ้นต่อไป

ชิงหลินให้รู้สึกหนาวสะท้านในหัวใจ ทั่วร่างชาหนึบ                                                   ทว่าเจ็บแปลบถึงไขกระดูก เหงื่อเย็นไหลอาบ

นางไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จึงเดินอ้อมไปทางข้างเรือน เป้าหมายคือช่องเล็กของซอกหน้าต่าง เมื่อเจอแล้วก็กะพริบตา พาใบหน้าเข้าใกล้ช่องแคบนั้น

ชิงหลินแอบมองคู่หมั้นของตนกับน้องสาวหนึ่งเดียวด้วยดวงตาที่เริ่มพร่ามัว หัวใจเต้นระส่ำแทบทะลุออกมานอกอก

หญิงสาวแอบมองเนิ่นนาน ด้านในห้องมีโต๊ะน้ำชาทรงเตี้ยและตั่งตัวยาวคล้ายเตียงเล็กๆ ตั้งอยู่มุมหนึ่ง

บนเตียงมีเงาของคนสองคนซ้อนทับกันในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยผิวขาวเนียน ทั้งแขนและขาเกี่ยวกระหวัดรัดรึง มองเห็นรำไรว่าเป็นบุรุษทับสตรี เรือนร่างของพวกเขาโยกโยนสอดประสาน ส่งเสียงหอบครางไม่หยุด ลำตัวยังขยับไม่ยั้ง

ท่ามกลางเสียงครวญกระเส่าด้านใน ที่ไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดจากด้านนอก สาวน้อยผู้แอบฟังพยายามกลั้นหายใจสุดกำลัง ทั่วร่างหนาวเหน็บเย็นจัด ทว่าดวงตากลับร้อนผะผ่าว ความเจ็บปวดรวดร้าวสายหนึ่งกระแทกเข้ากลางใจอย่างแรง ประหนึ่งสายฟ้าฟาดผ่าแสกหน้า

ชิงหลินไม่เข้าใจ พวกเขาทำอะไร?

หญิงสาวหมุนตัววิ่งออกจากที่แห่งนั้นทันที สะอื้นไห้ไปตามทางที่มีมวลบุปผารายรอบ น้ำตาไหลรินเป็นสายดุจพิรุณ

ระยะทางจากเรือนอันร้อนเร่าห่างออกมาเท่าใดมิรู้ได้ เรือนร่างบอบบางถึงกับหอบเหนื่อยทรุดกายฮวบลงตรงริมลำธาร

ไม่หรอก ไม่ใช่!

คู่หมั้นยังคงรักนาง น้องสาวยังคงแสนดี

นางมิอาจคิดการไม่บังควร...

ชิงหลินไม่อาจทำใจ ทั้งไม่อาจยอมรับ ทั้งมึนงงสับสนและไม่ต้องการเข้าใจอะไรทั้งนั้น

นางทำได้เพียงร่ำไห้แล้ววิ่งหนีออกมา

การเผชิญหน้าตรงๆ ไม่เคยอยู่ในความคิด

นางกำลังกลัว...

หญิงสาวไม่รู้ว่าตนเองกำลังกลัวสิ่งใด อาจเป็นความจริงที่ไม่ต้องการยอมรับว่าชายคนรักได้เปลี่ยนใจจากนางอย่างไร้ซึ่งเยื่อใย ไร้ปรานีใดๆ

จางฉวนมิได้รักนางแล้ว...

ชิงหลินสะอึกสะอื้นร้องไห้จนตัวโยนเช่นนั้นครู่ใหญ่                   รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน

มิรู้ว่าเมื่อครู่วิ่งอยู่นานเท่าใด หางตาพลันเหลือบไปเห็นศาลาริมทาง จึงพยายามพยุงร่างอ่อนแรงลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปทางนั้น

ศาลาแห่งนี้มักใช้จัดงานประจำปีตามเทศกาลต่างๆ ของหมู่บ้าน โดยเฉพาะเทศกาลจงหยวน ที่ชาวบ้านมักจะพากันมารวมตัวเพื่อลอยฟั่งเหอเติง[1] ทว่าช่วงนี้ไม่มีเทศกาลอันใด จึงไม่มีใครย่างกรายเข้ามา ทำให้ศาลาสงบไม่น้อย

ชิงหลินนั่งซึมเศร้าอยู่ในศาลาริมบึง มองไปเบื้องหน้าแบบไร้ทิศทางอย่างเหม่อลอยผ่านม่านน้ำตา

นางนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้น เรือนกายสั่นเทาไม่หยุด มีน้ำตาสีใสอาบสองข้างแก้มไหลนองเป็นทาง

หลายวันก่อนที่เฝ้ารอคู่หมั้นมาหา นางกินข้าวไม่ลง                  และวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ซ้ำร้ายยังวิ่งแบบลืมตัว

ร่างกายจึงเริ่มทนไม่ไหว

ชั่วจังหวะกำลังเผลอไผลให้กับความเศร้าโศกสุดระงับ ร่างระหงก็เริ่มโอนเอน ความหม่นเศร้าที่กำลังจู่โจมแปรเปลี่ยนเป็นความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสุดทานทน ลมหายใจสะดุดติดขัด รู้สึกหายใจลำบาก คล้ายสัญญาณชีพใกล้ดับสูญ สาวน้อยรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง ราวกลีบบุปผาโรยรา

ไม่ช้า ...เรือนร่างบอบบางพลันพลัดตกจากตั่งริมศาลา เสียงตูมจากลำธารเพราะเรือนร่างกระแทกน้ำซ่านเซ็นจึงเกิดขึ้นชั่วพริบตา ทุกสิ่งในห้วงความคิดจึงมืดสนิท ชิงหลินสติดับทันใด

[1] โคมประทีป รูปทรงโคมอาจเป็นรูปดอกบัว โคมไฟ บ้านเล็กๆ หรือลักษณะอื่น ๆ ข้างในมีเทียนหรือประทีปจุดไฟสว่างไสวสำหรับลอยน้ำบูชาเทพเจ้าตี้กวน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พยัคฆ์สาวจ้าวดวงใจ   เทพโอสถ2

    ถังไห่เฉิงไม่อยากเสียเวลาจึงคิดเอ่ยคำโดยไม่อ้อมค้อม ทว่ายังไม่ทันเปิดปาก กลับได้ยินถ้อยวาจาทุ้มนุ่มประดุจเสียงสวดมนต์ที่แฝงความปราณีดังขึ้นก่อน“ข้ารอเจ้าอยู่เป็นนาน”อ๋องหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย นึกแปลกใจนัก “ท่านรอข้า?” เขาหรี่ตา “คงมิใช่รอจับข้าไปเป็นนักบวชเพื่อล้างบาปชำระจิตใจ”บางคราบุตรชายมักพลั้งเผลอแสดงนิสัยเฉกเช่นมารดา ถังไห่เฉิงไม่เคยมีความคิดละทางโลกทิ้งครอบครัว“แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น” ภายใต้กิริยาสำรวมเยือกเย็น เซียงซิ่นค่อยๆ ลืมตาช้าๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่กังวานนุ่มนวล “ข้าแค่ทำตามคำสั่งของอาจารย์เซียนหย่งสือ”การได้พบผู้สูงส่งเหนือเมฆเป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร หากแต่การได้พบโดยง่ายย่อมมีนัยลึกลับซับซ้อนถังไห่เฉิงขมวดคิ้วงุนงง ยังไม่เข้าใจ ได้ยินชายชราชุดขาวกล่าวต่อด้วยกระแสเสียงดุจเดิม“เจ้ามีหน้าที่ของเจ้า ส่วนข้าย่อมมีหน้าที่ของข้า”เรียวคิ้วยิ่งผูกปม อ๋องหนุ่มยังคงคาใจอยู่ดี“หน้าที่เราสอง มิน่าเกี่ยวข้องกันกระมัง”ชายชราไม่ตอบ เพียงขยับนิ้วเบาๆ หนึ่งคราชั่ววูบต่อมาพลันเกิดลำแสงสีขาวสบายตาโอบล้อมรอบกายแกร่งของอ๋องหนุ่ม ลี่เซียนค่อยๆ ลอยขึ้นสูงออกจ

  • พยัคฆ์สาวจ้าวดวงใจ   เทพโอสถ1

    เจ้าม้าศึกมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไอเซียนที่สัตว์เดรัจฉานสัมผัสได้โดยแท้ถังไห่เฉิงจึงควบม้าคู่ใจพุ่งทะยานปราดเปรียวยิ่งกว่าเดิม ทั้งรวดเร็วราวฟ้าผ่าไม่มีเสียเวลาแม้พักผ่อนเส้นทางแม้คดเคี้ยวและยาวไกลจึงมิใช่อุปสรรคอันใดส่วนปรมาจารย์เซียงซิ่นก็มิใช่ว่าคนเช่นรุ่ยอ๋องจะไม่รู้จักท่านผู้นี้มุ่งบำเพ็ญเพียรสูงส่ง ละทางโลก ใฝ่ทางธรรม ไม่ประสงค์วุ่นวายกับมนุษย์คนใดทั้งนั้น ผู้คนใต้หล้าล้วนรู้กันดีถังไห่เฉิงไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเขาที่ฝักใฝ่ด้านมืดใช้ชีวิตกับการเข่นฆ่าล่าสังหารจักต้องเดินทางไปหาปรมาจารย์เซียงซิ่น ผู้ที่มีฉายาเทพโอสถสูงส่งเหนือเมฆาเช่นนี้คนผู้นั้นเปรียบประดุจสีขาวพิสุทธิ์ไร้มลทินอย่างสิ้นเชิง ส่วนตัวเขาคือสีดำอย่างแท้จริง ทั้งแปดเปื้อนความชั่วร้ายขั้นสุด อีกอย่าง...ปรมาจารย์ผู้สูงส่งใช่ว่าอยากพบก็ได้พบเสียเมื่อไหร่อ๋องหนุ่มครุ่นคิดพลางก้มลงมองร่างนุ่มซีดขาวตรงหน้า เรือนกายของนางทอดนิ่งอยู่ในอ้อมแขนเพื่อลี่เซียนแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดเขาย่อมพร้อมเสี่ยง ขอเพียงนางฟื้นขึ้นมา มิใช่หลับใหลคล้ายตายจากไปเช่นนี้หลายวันที่เร่งรุดเดินทางไกลทำให้เหนื่อยล้าเป็นธรรมดา ทั้

  • พยัคฆ์สาวจ้าวดวงใจ   สมบัติล้ำค่า2

    ชั่วครู่ต่อมา...ศิษย์พี่ใหญ่ของกลุ่มจึงถูกศิษย์น้องรองและศิษย์น้องเล็กส่งสายตากดดันประหนึ่งเอามีดมาจ่อลำคอว่าเชิญท่านพูดก่อน...ศิษย์พี่ใหญ่จึงกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกแล้วเริ่มเอ่ยคำ“ทูลท่านอ๋อง สถานที่แห่งนี้นับว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด เหมาะแก่การฝึกฌานเร่งพลังวัตรเสริมการโคจรลมปราณเพื่อบำเพ็ญตบะ เพียงแต่ยังต้องใช้ระยะเวลาเนิ่นนาน เป็นไปได้ว่าอาจารย์ซุนยวี่ หวังฝึกทางลัดโดยใช้วิชาต้องห้าม”อ๋องหนุ่มแค่นถามเสียงเย็น “วิชาอะไร?”เห็นศิษย์พี่ใหญ่ตัวสั่นปานนั้น ศิษย์น้องเล็กจึงลอบหยิกแขนศิษย์พี่รองพร้อมส่งสายตาสื่อความนัยว่าเชิญท่านพูดต่อศิษย์คนรองผู้นี้ย่อมไม่ทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องผิดหวัง เขานึกถึงภาพบัดสีก่อนหน้านี้ จึงรีบตอบความจริงโดยพลัน“หนึ่งในวิชาต้องห้ามคือวิชาในคัมภีร์เสพสังวาสพ่ะย่ะค่ะ เพราะต้องใช้หญิงสาวบริสุทธิ์เท่านั้น พรหมจรรย์ช่วยทำให้นักพรตมีอายุยืนนาน ทั้งรูปโฉมหล่อเหลางดงามตลอดกาล หากว่าเป็นหญิงสาวทั่วไปจักเสพสมที่ใดก็ได้ ทว่าอาจารย์กลับเลือกที่นี่กับหญิงงามผู้นี้...”เขากวาดสายตามองไปทางเปลวเพลิงแล้วรีบกล่าวต่อ “ทั้งยังใช้ศาสตราวุธเหนือชั้น มนตราม่านพลัง ค

  • พยัคฆ์สาวจ้าวดวงใจ   สมบัติล้ำค่า1

    ปราณบริสุทธิ์ที่แผ่ซ่านทั่วกายแกร่งของถังไห่เฉิงเพราะลี่เซียนถ่ายทอดให้เพื่อใช้ปกป้องภยันตรายจากบรรดาภูตผีปีศาจนั้นไม่ผิด ทว่าท้ายที่สุดกลับเป็นการช่วยลี่เซียนให้พ้นภัยในเสี้ยวเวลาเพราะไอเซียนกับปราณบริสุทธิ์ย่อมสื่อถึงกัน ถังไห่เฉิงที่อยู่นอกถ้ำจึงรับรู้ได้ทันทีว่าลี่เซียนกำลังปรากฏกายอยู่ใกล้ๆเสียงกรีดร้องของนางเพียงชั่ววูบเดียวทำเขาเหลียวหลังวิ่งกลับเข้าถ้ำอย่างไม่ต้องคิดอะไร กลไกใดๆ ล้วนมิอาจสกัดกั้นความห่วงหาที่กำลังปะทุเดือดพล่านสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่ถังไห่เฉิงเชื่อมั่นเสมอ แม้ไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใด แต่ทันทีที่เห็นนางผลักเจ้าซุนยวี่จนกระเด็นเช่นนั้น เขาย่อมต้องฆ่ามันก่อนค่อยสอบถามทีหลังเปลวเพลิงยังคงลุกโหม มองเห็นเศษชิ้นส่วนร่างกายของซุนยวี่กำลังถูกไฟเผาผลาญจนมอดไหม้ไม่เหลือซากกลิ่นสาบสางคาวคลุ้ง บรรยากาศรอบกายรู้สึกถึงความวังเวงอย่างประหลาด เมื่อหลับตานิ่งฟังยังได้ยินเสียงร่ำร้องโหยหวนดังเล็ดลอดออกมาจากมีดสั้นสีดำอักขระโบราณมีดสั้นเล่มนี้ผ่านการร่ายคาถาอาคมเหนือชั้นมาอย่างดีโดยปรมาจารย์สูงส่งเหนือเมฆผู้หนึ่ง ซึ่งมารดาของอ๋องหนุ่มเป็นผู้มอบให้อีกที อาวุธร้ายทำลายล้างที่ติดกา

  • พยัคฆ์สาวจ้าวดวงใจ   ตอนที่37 ชั่วช้าสามานย์3

    ทุกคนเบิกตาถลน ถามดังลั่น “อาจารย์ ท่านทำอะไร?”ซุนยวี่ชะงักงันทันใด เสกม่านพลิ้วไหวปกปิดทันที“ออกไป!”คำสั่งนั้นคล้ายสายลมโชยวูบไม่เข้าหูแม้แต่น้อยแม้นม่านคลี่คลุมปิดกั้นจนมิด ทว่าภาพบัดสีที่เห็นเมื่อครู่ทำให้บัดนี้นักพรตน้อยทุกคนขาแข็งไปแล้วก้าวออกไปมิได้สักคน“อาจารย์! ท่าน...”สุ้มเสียงวุ่นวายทำมือที่กำลังปลดกางเกงชะงักงันอีกคราและนั่นคือเสี้ยวเวลาแห่งเหรินเซียนโดยแท้ สตรีผู้มีสติเหลือเพียงน้อยนิดได้มีโอกาสฮึดสู้สุดชีวิตทันทีลี่เซียนปล่อยพลังปราณสายหนึ่งกระแทกซุนยวี่อย่างแรง จนร่างแกร่งของเขาลอยไปกระแทกกับผนังถ้ำดังอั่กนางรู้สึกรังเกียจชายผู้นี้ วงแขนของเขาน่าขยะแขยงสิ้นดีหญิงสาวยกมือสะบัดอีกครา ก่อเกิดม่านพลังพุ่งใส่ซุนยวี่ จนร่างของเขาลอยตัวขึ้นแล้วตกกระแทกพื้นดังอึกหากแต่แค่นี้ไหนเลยจะคณามือนักพรตวิชาแก่กล้าปลายเท้าซุนยวี่ยังคงยืนหยัดมั่นคง สองตาหลุบลงมองพื้นหินที่ถูกพลังปราณครูดเป็นทางยาว เขาเหยียดยิ้มมุมปากอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ค่อยๆ เดินกลับไปหาคนงามที่ปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายก่อนนอนทอดกายระหงอ่อนนุ่มรอเขาอยู่บนแท่นหินยามนี้ลี่เซียนหมดแรงแล้วจริงๆ เนื่องจากแสงเรืองรองของ

  • พยัคฆ์สาวจ้าวดวงใจ   ตอนที่37 ชั่วช้าสามานย์2

    ซุนยวี่พยักหน้าเบาๆ พลางกล่าวพึมพำหยอกเอิน“อา...ท่านเป็นเซียนสูงส่งหากแต่เยาว์วัยบริสุทธิ์ยิ่งนัก ไฉนจึงฉลาดนักเล่า” เสียงหัวเราะทุ้มแผ่วดังขึ้นเล็กน้อยก่อนกล่าวต่ออย่างมีหลักการ “ข้าย่อมทำตามสัจจะไม่มีผิดศีลทั้งสิ้น และยามนี้ ท่านเป็นของข้า! มาเถิด อย่ามัวหยอกล้อให้เสียเวลา”ลี่เซียนไหนเลยปรารถนาตอบโต้หยอกเย้าตัวนางโง่เขลาไม่ค่อยทันใครเป็นเพียงเด็กหญิงไม่ประสา หากแต่อารมณ์แปรปรวนยิ่ง“ปล่อยข้า”หญิงสาวแม้บริสุทธิ์ดุจกระจกใสไร้ราคีปราศจากซึ่งมลทินหากแต่ความจริงไม่เคยไร้คลื่นอารมณ์ เมื่อโกรธาขึ้นมาพลังทำลายล้างที่ซ่อนเร้นเพราะใช้ไม่เป็นจึงเผยได้เอง ยังผลให้ม่านมนตราค่ายกลเริ่มปริแตกแยกตัวออกทีละน้อยดวงตาซุนยวี่เบิกกว้างชะงักนิ้วที่ปลายคาง หุบยิ้มทันทีค่ายกลกักแดนไร้สีไร้แสงแต่ทรงพลานุภาพต่อเทพเซียนกำลังมีคลื่นสั่นไหวมิอาจตรึงกายาได้อีกต่อไปทว่าซุนยวี่ได้เตรียมการไว้แล้วอย่างดีเยี่ยมยันต์กำราบเซียนซึ่งเขียนและร่ายเวทเอาไว้ถูกนำมาใช้ทันท่วงที ลี่เซียนถูกตรึงพลังอีกครั้ง ทั้งที่ยังไม่ทันได้ขยับไปทางใด นางรู้สึกแสบร้อนจากอิทธิฤทธิ์ของยันต์กำราบเซียน จนขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาปริ่มๆ คลอเบ้

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status