로그인พวกเขาเข้าเรือนไปสองต่อสอง มือที่จับกันยังไม่ยอมปล่อยเลยแม้ช่วงเวลาเดียว
เนื่องจากชิงหลินทิ้งระยะห่างอยู่หลายก้าว กว่าจะตามมาทันจนถึงตัวเรือนจึงใช้เวลาพอควร
หญิงสาวพยายามมองเข้าไปด้านในผ่านช่องเล็กๆ ของประตู ทำท่าจะยกมือขึ้นเคาะเพื่อร้องเรียกคนด้านใน แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะต้องบานประตู หูของนางพลันได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาก่อน
“อื้อ...ท่านพี่ฉวน อ๊ะ...”
เสียงแว่วหวานนั้นเป็นของชิงลี่ ฟังดูแล้วให้รู้สึกวาบหวิวหวามไหวในอกยิ่งนัก ทำเอามือเล็กๆ ของชิงหลินต้องนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อาจเคาะหรือร้องเรียกผู้ใด
“อา...ลี่เอ๋อร์”
อีกเสียงที่ดังผสานคือจางฉวน ทั้งแหบต่ำทั้งสั่นพร่า
“อื้ม...พี่ฉวน ข้าเจ็บเจ้าค่ะ” เสียงของชิงลี่เริ่มสะอื้นไห้
จางฉวนยิ่งส่งเสียงทุ้มนุ่มสั่นกระเส่า “ข้าจะทำเบาๆ”
“อื้ม...”
“เจ้าช่างงดงามนัก ไร้ที่ติยิ่ง”
“แต่ข้ายังไม่เติบโตเต็มที่เลยนะ อ๊ะ!”
“ข้าจะทำให้เจ้าโตเองกับมือ”
เสียงเสียดสีแว่วดังเป็นระลอก ผสานเสียงครางก่อนที่ฝ่ายสตรีจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อืม...ของลี่เอ๋อร์โตกว่าของพี่หญิงหลินหรือไม่”
“ตอนนี้ยัง ...แต่ต่อไปไม่แน่”
สิ้นคำนี้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดพลันหยุดชะงัก แต่เสียงของชิงลี่คล้ายเข้มขึ้น
“พี่ฉวนพูดเช่นนี้ เคยเห็นของพี่หลินแล้วรึ?”
จางฉวนแค่นเสียงไม่พอใจ “เจ้าจะพูดถึงหลินเอ๋อร์ทำไม ใครใหญ่กว่าสำคัญที่ใด ในเมื่อเจ้ายอมข้า เจ้าสาวของข้าย่อมเป็นเจ้า หาใช่สตรีที่แสดงท่าทีรังเกียจข้าไม่”
หลังสิ้นประโยคของบุรุษ ฝ่ายสตรีจึงหัวเราะคิก
“จริงหรือ?”
“ย่อมใช่!”
จากนั้นสรรพสำเนียงวาบหวามของชายหญิงที่สอดประสานอันทำให้ผู้แอบฟังนอกเรือนต้องหวามไหวพลันดังขึ้นต่อไป
ชิงหลินให้รู้สึกหนาวสะท้านในหัวใจ ทั่วร่างชาหนึบ ทว่าเจ็บแปลบถึงไขกระดูก เหงื่อเย็นไหลอาบ
นางไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จึงเดินอ้อมไปทางข้างเรือน เป้าหมายคือช่องเล็กของซอกหน้าต่าง เมื่อเจอแล้วก็กะพริบตา พาใบหน้าเข้าใกล้ช่องแคบนั้น
ชิงหลินแอบมองคู่หมั้นของตนกับน้องสาวหนึ่งเดียวด้วยดวงตาที่เริ่มพร่ามัว หัวใจเต้นระส่ำแทบทะลุออกมานอกอก
หญิงสาวแอบมองเนิ่นนาน ด้านในห้องมีโต๊ะน้ำชาทรงเตี้ยและตั่งตัวยาวคล้ายเตียงเล็กๆ ตั้งอยู่มุมหนึ่ง
บนเตียงมีเงาของคนสองคนซ้อนทับกันในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยผิวขาวเนียน ทั้งแขนและขาเกี่ยวกระหวัดรัดรึง มองเห็นรำไรว่าเป็นบุรุษทับสตรี เรือนร่างของพวกเขาโยกโยนสอดประสาน ส่งเสียงหอบครางไม่หยุด ลำตัวยังขยับไม่ยั้ง
ท่ามกลางเสียงครวญกระเส่าด้านใน ที่ไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดจากด้านนอก สาวน้อยผู้แอบฟังพยายามกลั้นหายใจสุดกำลัง ทั่วร่างหนาวเหน็บเย็นจัด ทว่าดวงตากลับร้อนผะผ่าว ความเจ็บปวดรวดร้าวสายหนึ่งกระแทกเข้ากลางใจอย่างแรง ประหนึ่งสายฟ้าฟาดผ่าแสกหน้า
ชิงหลินไม่เข้าใจ พวกเขาทำอะไร?
หญิงสาวหมุนตัววิ่งออกจากที่แห่งนั้นทันที สะอื้นไห้ไปตามทางที่มีมวลบุปผารายรอบ น้ำตาไหลรินเป็นสายดุจพิรุณ
ระยะทางจากเรือนอันร้อนเร่าห่างออกมาเท่าใดมิรู้ได้ เรือนร่างบอบบางถึงกับหอบเหนื่อยทรุดกายฮวบลงตรงริมลำธาร
ไม่หรอก ไม่ใช่!
คู่หมั้นยังคงรักนาง น้องสาวยังคงแสนดี
นางมิอาจคิดการไม่บังควร...
ชิงหลินไม่อาจทำใจ ทั้งไม่อาจยอมรับ ทั้งมึนงงสับสนและไม่ต้องการเข้าใจอะไรทั้งนั้น
นางทำได้เพียงร่ำไห้แล้ววิ่งหนีออกมา
การเผชิญหน้าตรงๆ ไม่เคยอยู่ในความคิด
นางกำลังกลัว...
หญิงสาวไม่รู้ว่าตนเองกำลังกลัวสิ่งใด อาจเป็นความจริงที่ไม่ต้องการยอมรับว่าชายคนรักได้เปลี่ยนใจจากนางอย่างไร้ซึ่งเยื่อใย ไร้ปรานีใดๆ
จางฉวนมิได้รักนางแล้ว...
ชิงหลินสะอึกสะอื้นร้องไห้จนตัวโยนเช่นนั้นครู่ใหญ่ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
มิรู้ว่าเมื่อครู่วิ่งอยู่นานเท่าใด หางตาพลันเหลือบไปเห็นศาลาริมทาง จึงพยายามพยุงร่างอ่อนแรงลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปทางนั้น
ศาลาแห่งนี้มักใช้จัดงานประจำปีตามเทศกาลต่างๆ ของหมู่บ้าน โดยเฉพาะเทศกาลจงหยวน ที่ชาวบ้านมักจะพากันมารวมตัวเพื่อลอยฟั่งเหอเติง[1] ทว่าช่วงนี้ไม่มีเทศกาลอันใด จึงไม่มีใครย่างกรายเข้ามา ทำให้ศาลาสงบไม่น้อย
ชิงหลินนั่งซึมเศร้าอยู่ในศาลาริมบึง มองไปเบื้องหน้าแบบไร้ทิศทางอย่างเหม่อลอยผ่านม่านน้ำตา
นางนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้น เรือนกายสั่นเทาไม่หยุด มีน้ำตาสีใสอาบสองข้างแก้มไหลนองเป็นทาง
หลายวันก่อนที่เฝ้ารอคู่หมั้นมาหา นางกินข้าวไม่ลง และวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ซ้ำร้ายยังวิ่งแบบลืมตัว
ร่างกายจึงเริ่มทนไม่ไหว
ชั่วจังหวะกำลังเผลอไผลให้กับความเศร้าโศกสุดระงับ ร่างระหงก็เริ่มโอนเอน ความหม่นเศร้าที่กำลังจู่โจมแปรเปลี่ยนเป็นความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสุดทานทน ลมหายใจสะดุดติดขัด รู้สึกหายใจลำบาก คล้ายสัญญาณชีพใกล้ดับสูญ สาวน้อยรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง ราวกลีบบุปผาโรยรา
ไม่ช้า ...เรือนร่างบอบบางพลันพลัดตกจากตั่งริมศาลา เสียงตูมจากลำธารเพราะเรือนร่างกระแทกน้ำซ่านเซ็นจึงเกิดขึ้นชั่วพริบตา ทุกสิ่งในห้วงความคิดจึงมืดสนิท ชิงหลินสติดับทันใด
[1] โคมประทีป รูปทรงโคมอาจเป็นรูปดอกบัว โคมไฟ บ้านเล็กๆ หรือลักษณะอื่น ๆ ข้างในมีเทียนหรือประทีปจุดไฟสว่างไสวสำหรับลอยน้ำบูชาเทพเจ้าตี้กวน
ค่ำคืนหนาวเหน็บยังคงคืบคลานผ่านไป อ๋องหนุ่มยืนมององครักษ์เกราะเหล็กผู้นี้อยู่เงียบๆหลังผ่านพ้นภาวะสะเทือนใจจากการได้รับรู้ความจริงบางประการ อู๋จวินจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แต่ยังคงหันหลังไม่หันหน้าไปทางผู้เฝ้ามอง เขาเพียงเอ่ยเสียงแหบพร่า“ทั้งหมดคือสาเหตุที่ท่านอ๋องเรียกกระหม่อมมากระมัง”ถังไห่เฉิงตอบเสียงเรียบ “ย่อมใช่”อู๋จวินแค่นยิ้มขื่น ฝืนข่มความทุกข์ใจแสนสาหัสเอาไว้ ให้เงาจันทร์อันยาวนานกลืนหายไป พร้อมวิญญาณของสตรีอันเป็นที่รักได้ไปสู่สุคติภูมิที่ดี“เป็นกระหม่อมที่ทำผิดต่อนางเหลือเกิน พยายามยื้อนางทุกวิถีทาง กระทั่งเดินทางไปขอสิ่งของบางอย่างจากนักพรตในอารามบนยอดเขา เพื่อตรึงวิญญาณของนางเอาไว้ให้วนเวียนอยู่ข้างกายตลอดเวลา แม้ไม่อาจเห็น ไม่อาจสัมผัส ไม่อาจสนทนา แต่ขอเพียงรู้ว่านางยังอยู่ ไม่หายไป...”ความลับเช่นนี้เมื่อถูกเอ่ยออกมา ผู้ฟังพลันเลิกคิ้วสูงถังไห่เฉิงถึงกับพูดไม่ออก เขามองอู๋จวินอย่างคาดไม่ถึง ได้ยินองครักษ์หนุ่มเอ่ยอีกว่า “เป็นกระหม่อมที่ไม่ยอมปล่อยวาง จนเป็นการทำร้ายนางอย่างร้ายแรง”อ๋องหนุ่มยังคงไร้ซึ่งวาจาอู๋จวินเองก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้นทั้งสองปล่อย
ราชองครักษ์หนุ่มปรายสายตามองสำรวจทุกสิ่งอยู่นิ่งๆ หาได้ประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด เพียงนึกแปลกใจเท่านั้นชั่วครู่ประตูห้องพลันปิดลงเองทั้งยังลั่นดาลจากด้านนอก ทั้งๆ ที่ไม่ใครอยู่หน้าห้องสักคนอู๋จวินขมวดคิ้วฉงน ร่างสูงยืนตระหง่านไม่ขยับบนดวงหน้าราบเรียบเพิ่มความเย็นเยียบขั้นสุด ดวงตาอันแสนจะเย็นชาเริ่มมีโทสะไหววูบ กระบี่ในมือเตรียมออกจากฝักได้ทุกเวลา ทว่าอึดใจกลับชะงักงันตัวเกร็ง ก้อนเนื้อในอกแกร่งด้านซ้ายคล้ายกับหยุดเต้นฉับพลันเมื่อเขาหันไปเห็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งค่อยๆ ผุดพรายออกมาจากกำแพงห้องรับรอง นางมีใบหน้าสะคราญโฉมเกินใคร ท่าทางองอาจสง่างามเกินอิสตรีทั่วไป แต่มีรอยยิ้มหวานล้ำที่สุดในใต้หล้านางผู้กุมหัวใจของอู๋จวินเอาไว้ทุกห้วงเวลาแม้ยามนิทราเส้นเสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกขานภรรยาผู้ลาลับแสนคะนึง“ชิงเอ๋อร์...” ...ห่างออกมาจากห้องรับรองคือห้องเก็บของจิปาทะ มีชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในนั้นถังไห่เฉิงเลือกเรือนลึกลับแห่งนี้ให้ลี่เซียนกระทำบางสิ่ง เขาไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด มิให้ผู้ใดรับรู้หรือรบกวนทั้งสิ้นประตูหน้าต่างของห้องรับรองอันมืดมิดที่อู๋จวินเดินเข้าไปล้วน
อ๋องทมิฬผู้นี้กำลังได้ค้นพบตนเองอีกด้านอย่างคาดไม่ถึงทว่าความกลัวของถังไห่เฉิงพลันสลายหายไปจนสิ้น เพราะลี่เซียนถึงขั้นเก็บเรื่องในสวนบุปผาไปฝันร้ายนางละเมอออกมาคล้ายเด็กหญิงตัวน้อยว่าเขากลับไปหาหญิงอื่นที่เป็นคนรักเก่า ในฝันของนาง หญิงผู้นั้นเป็นหลิงเจิน นางพูดออกมายามหลับฝันว่าต่อให้หลิงเจินเป็นคนดีสักปานใด และเขากับหลิงเจินจักรักกันมากแค่ไหน นางก็ยังไม่อาจวางใจนางพร้อมจะหลีกทางให้จริงๆ เพียงแต่กลับมิอาจตัดใจจากเขาได้เลย จึงคิดเอาไว้แบบไม่บอกใครว่าจะใช้พลังเร้นกายลอบติดตามปกป้องเขาเงียบๆ ไม่ต้องเป็นพระชายาก็ได้หลิงเจินคงไม่รู้ใช่ไหม? ว่านางมีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้!แม้ไม่สามารถกดกอดคลอเคลียร่วมรักกันได้เหมือนเก่า แต่นางขอตามปกป้องเงียบๆ แบบหญิงแพศยาลอบมีความรู้สึกอันดีกับเขาได้หรือไม่เขาที่กำลังกล่อมนางนอนถึงกับกลั้นยิ้มจนปวดกราม ลี่เซียนมีความคิดเถรตรงเหมือนมารดาของเขามากเลยทีเดียวอ๋องหนุ่มคิดไปคิดมาก็สรุปได้ว่าสตรีที่เขารักสองคนนี้เหมือนกันจริงๆกาลก่อนเสด็จแม่ก็ลอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเสด็จพ่อแม้มิใช่ความคิดที่ดีเท่าใด หากแต่เสด็จแม่เป็นนางมารที่ต้องกลับใจมิให้ทำเรื่องชั
อ๋องหนุ่มเดินตรงเข้ามาทางหญิงสาวที่เก้าอี้หินอย่างเร็ว สีหน้าของเขาเย็นชา สายตายิ่งดุดัน กระนั้นเขากลับไม่พูดไม่จาต่อจากนั้น เพียงโน้มตัวลงและยื่นมือเรียวยาวให้ลี่เซียนเพราะหากชักช้า ภรรยาของเขาคงได้นอนหลับตรงนี้แน่ทุกครั้งที่นางฟังนิทาน พลังมหาศาลคล้ายถูกสูบจนสิ้น และนางย่อมต้องได้นอนกลางวันหลังกินอาหารอิ่มก่อนเท่านั้นอ๋องทมิฬผู้เคร่งขรึมเหี้ยมโหดโฉดทุกสมรภูมิผู้นี้เป็นสามีที่ดูแลเอาใจใส่และทะนุถนอมภรรยาหนึ่งเดียวของเขามากเมื่อแม่นางน้อยเหลือบตาเห็นถังไห่เฉิง สองแขนเรียวเล็กก็กางออกโดยสัญชาตญาณชายหนุ่มโอบร่างนุ่มด้วยอ้อมแขนอย่างรักใคร่หวงแหน ให้นางได้ซุกซบแผงอกอุ่นของเขา มองนางถูใบหน้านวลเนียนคลอเคลียไปมาเบาๆ เพื่อหามุมสบาย ฟังเสียงครางหวิวอย่างผ่อนคลายคล้ายลูกแมวน้อยอยู่ครู่หนึ่งจึงปรายตามองหลิงเจินอย่างอำมหิตคาดโทษ แม้อีกฝ่ายจักเป็นสหายตั้งแต่เด็ก เป็นถึงศิษย์รักของพี่หญิงใหญ่ เขาก็ไม่ละเว้นรุ่ยชินอ๋องอุ้มพระชายาเดินจากไปอย่างเป็นธรรมชาติ ปล่อยทุกสายตาโดยรอบบริเวณให้มองอย่างคาดไม่ถึงอยู่เช่นนั้น หลิงเจินถึงกับอ้าปากตาค้างนั่นใช่ถังไห่เฉิงที่นางรู้จักหรือไม่?อิงอิงยิ่งตก
ภายใต้ต้นไม้กฤษณาหอมกรุ่นร่มรื่นเย็นสบายลี่เซียนเห็นอีกฝ่ายจู่ๆ เงียบงัน ก็มิได้เอ่ยคำทำลายความเงียบนั้น เพียงพินิจอีกฝ่ายนิ่งๆ สังเกตจากรูปร่างหน้าตางดงามและผิวพรรณเนียนละเอียดขาวผ่องเปล่งประกาย ดูก็รู้ว่าเชื้อสายคงเป็นสตรีชั้นสูง นางจึงคาดเดาได้ไม่ยาก พลางถามเสียงเนือย“เจ้าเป็นลูกของภรรยาเอกผู้แทรกกลางนางนั้นหรือ?”หลิงเจินยังคงทอดมองเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า หาได้เปล่งวาจาใด แต่นั่นย่อมเพียงพอแล้วสำหรับลี่เซียนหมอหญิงแค่นยิ้มเย็นชา แต่ในใจกลับรู้สึกเป็นมิตรต่อพระชายามากยิ่งขึ้นนางจึงกล่าวต่ออย่างเถรตรงเฉกเช่นสหายที่ดีที่พึงกระทำต่อกัน ไร้ฐานันดรของอีกฝ่ายกางกั้น ปราศจากความห่างเหินแบ่งแยกชนชั้นเหมือนเช่นคราแรก สรรพนามที่เรียกขานยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย“สามีมากภรรยานับเป็นเรื่องธรรมดาของชายหญิงทั่วไป ทว่าบุตรของพวกเขามิได้คิดเช่นนั้นกันทุกคน ข้าหนีออกจากบ้านด้วยเงินทองที่แอบเก็บออมเอาไว้ รวมกับที่แอบขโมยท่านแม่มา”“...”ลี่เซียนชะงักพลางมุ่นคิ้ว ขโมย?หลิงเจินปรายตามองลี่เซียนนิ่งๆ ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาที่หรี่แคบพร้อมคำถามคาดคั้นกับคำว่า ‘ขโมย’นางเหยียดยิ้มหยันแล้วเล่าต่อ “เงิน
หลิงเจินไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่านางกำลังจะกลายเป็นสหายที่รู้ใจที่สุดผู้หนึ่งของลี่เซียนหมอหญิงจับประคองพระชายาเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้หิน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้กฤษณากลิ่นหอมกรุ่นจรรโลงจิตใจ ส่งผลให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่ได้ผ่อนคลายเมื่อนั่งเคียงกันแล้ว สองตาหลิงเจินเพียงมองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่อันไกลโพ้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า“หมู่บ้านห่างไกลความเจริญมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเป็นเพียงหมอชาวบ้านธรรมดา ทว่ากลับมีรูปร่างหน้าตาสง่างามโดดเด่น พื้นเพของเขาเป็นเพียงสามัญชนไร้สกุลยิ่งใหญ่ บิดามารดาล้วนตายจากไป ญาติมิตรอพยพย้ายถิ่นฐานจนหมดสิ้น เนื่องจากไม่เคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติจึงอยู่กินกับภรรยาตั้งแต่อายุยังน้อยโดยมิได้ผ่านการแต่งงานอันใด ยามนั้นพวกเขายังไม่มีฐานะอะไร ต่อมา...ฝ่ายชายมีโอกาสสร้างผลงานความดีความชอบเพราะสามีภรรยาเดินทางเข้าเมืองหลวงและได้รักษาอาการเจ็บป่วยปางตายให้ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งจนขุนนางผู้นั้นหายดีเป็นปลิดทิ้ง จากนั้น...หมอหนุ่มซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจึงเริ่มมีชื่อเสียง เงินทองไหลมาเทมา กระทั่งมีหน้ามีตาและมีฐานะที่ดี ผู้คนนับถือ มีเกียรติย







