บนเตียงนอนสีแดงที่คลุมทับด้วยผ้าสีขาว มีร่างอรชรเปล่าเปลือยนอนอย่างเดียวดาย ไร้ร่างสามีเคียงข้าง ทั่วเรือนกายนางเต็มไปด้วยริ้วสีแดงเป็นจ้ำและรอยฟันขบกัด
ชิงหลินตื่นขึ้นมานานแล้วแต่ก็ยังร่ำไห้ไม่หยุด เรือนร่างสั่นสะท้านอย่างสิ้นหวัง สีหน้าซีดเผือดราวกับเลือดในกายถูกน้ำวนในทะเลสาบน้ำแข็งดูดกลืน
ภาพของชายที่ครอบครองนางอย่างทารุณยังคงติดตา ความเดียดฉันท์ชิงชังยังคงติดตรึงฝังแน่นในจิตใจ
แทนที่จะได้เข้าหอกับบุรุษหล่อเหลาซึ่งเขาคือคนที่ชอบ แต่กลับต้องเข้าหอกับบุรุษน่าเกลียดปานนั้น
นางรังเกียจกงหนิวยิ่งนัก
ขยะแขยงสิ้นดี
ท้ายที่สุดสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของตนเองย่ำแย่ยิ่งกว่าคือความจริงที่ครอบครัวและชายคนรักกระทำ
ก่อนหน้านี้ทั้งบิดามารดารวมถึงน้องสาวล้วนบอกกล่าวแก่นางว่าให้รอเป็นเจ้าสาวของพี่จางฉวน เขามิได้คิดจะถอนหมั้นแต่อย่างใด ให้นางรออยู่ในเรือนอย่าออกไปไหน
เดิมทีนางลองถามถึงความสัมพันธ์อันซ่อนร้อนของคู่หมั้นกับน้องสาวแล้ว ทว่าชิงลี่กลับตอบกลับว่า
‘พี่สาวคงตาฝาดไปเองแล้วเจ้าค่ะ’
แน่นอนว่านางไม่อาจเชื่อ ทว่าชิงลี่กลับร้องห่มร้องไห้จนเรื่องราวบานปลาย เรียกร้องสายตาตำหนิจากทุกคนในบ้าน ยามนั้นชิงลี่ยังเอ่ยฉะฉานว่า
‘ข้าไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับคุณชายจางฉวน และไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน พี่สาวคือพี่ของข้านะ ข้าจะเฉือนใจพี่ได้อย่างไร ขอให้พี่สบายใจ เตรียมตัวเป็นภรรยาแสนดีให้สามีเท่านั้น อย่าคิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่เป็นไปมิได้เชียว’
สีหน้าจริงจังวาจาหนักแน่นแววตาน่าเชื่อถือของชิงลี่ ทำให้ทุกคนคิดว่าชิงหลินงี่เง่าไร้สาระหึงหวงบุรุษกับน้องสาวได้อย่างน่าอาย บังเกิดความกดดันให้ชิงหลินต้องเชื่อชิงลี่จนหมดใจ
ต่อมาทุกคนยังช่วยปลอบประโลมด้วยประโยคที่ว่าจะได้แต่งงานกับจางฉวนอยู่แล้ว ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยอะไรทั้งนั้น
ยามนี้ยิ่งคิดยิ่งสะอื้นไห้ ความเสียใจเข้าถาโถมกระแทกห้วงอารมณ์คล้ายคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวสูงแล้วโหมซัดอย่างรุนแรง
นางถูกหลอก! ทุกคนหลอกนาง...
ในสมองมีแต่คำถามว่าทำไมซ้ำๆ เหตุใดทุกคนถึงใจดำกับนางถึงเพียงนี้ ทำไมต้องทำร้ายกัน ทำไม?
หญิงสาวช้ำใจแทบกระอักเลือด แล้วสรุปได้ถึงความเลือดเย็นของโชคชะตา ท้ายที่สุดก็นึกเกลียดตนเอง
เกลียดที่ตนเองโง่เง่าไร้น้ำยา เกลียดที่ตนเองเกิดมาก็เป็นชิงหลิน เป็นสตรีที่สมควรตายๆ ไปเสีย
ในเมื่อโลกนี้ไม่ยุติธรรม นางควรยุติมันเอง!
นางไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไป ความอัปยศอดสูนี้นางไม่ขอแบกรับเอาไว้ ความแค้นใดๆ นางล้วนไม่ยินดีรับมัน
ในเมื่ออดีตมิอาจแก้ไข อนาคตมิอาจก้าวเดินได้ไหว
พอกันที! ชีวิตอันแสนบัดซบ
ชีวิตที่มีแต่ความเจ็บปวดตอบแทนความโง่เขลาเบาปัญญา
ชิงหลินสบถหลายประโยคและคิดสั้นๆ ได้แค่นั้น ก่อนปิดเปลือกตาลงช้าๆ ใบหน้าขมขื่นสุดจะทน กล้ำกลืนความทรมานอันตกตะกอนเป็นลิ่มเลือดหนาทึบอัดแน่นไว้ในอก
ไม่นาน ...ผ้าปูเตียงผืนยาวสีขาวกับคานเรือนจึงบรรจบ พร้อมปล่อยร่างระหงให้ลู่ลงตามน้ำหนักตัว
ชิงหลินสิ้นลมหายใจในเวลาต่อมา…
บนคานเรือนในห้องหอ
มีร่างระหงเปล่าเปลือยแขวนคอค้างเติ่ง แน่นิ่งไม่ขยับ ทว่าเพียงอึดใจ ทั้งร่างนั้นกลับกระตุกเฮือก
ทันทีที่ลืมตาอีกครา ซานซานรู้สึกหายใจไม่ออกจนลิ้นแน่นจุกปาก ผ้าขาวยิ่งรัดรึงที่ลำคอ พลันนั้นก็รู้สึกตัวและได้สติ
หญิงสาวออกแรงเฮือกหนึ่ง เสือกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ จับผ้าเอาไว้มั่น แล้วดันร่างตีลังกาขึ้น ใช้เรียวขาเกี่ยวกับขื่อคาน ไขว้เท้าทั้งสองข้างคล้องเอาไว้แน่น ขยับมือแก้ปมผ้าที่ลำคอโดยไว ก่อนจะทิ้งร่างดิ่งลงมากระแทกพื้นห้องเสียงดังตุ้บ
ซานซานถึงกับจุก ร้องไม่ออก
นอกจากจุกที่ท้อง ยังปวดตุบๆ ที่ส่วนสงวนของกายสาว
หญิงสาวขมวดคิ้วโกรธกรุ่น นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าของร่างไม่ฆ่าตัวตายก่อนเข้าหอเล่า!
ให้ตายเถอะ!
หลังจากจ้าวเหว่ยได้ขึ้นครองราชย์ อดีตฮ่องเต้ก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ไม่นานยังหายป่วยเป็นปลิดทิ้งนับเป็นไท่ซ่างหวงที่สมบูรณ์แข็งแรงผู้หนึ่ง จึงออกท่องเที่ยวไปทั่วหล้าประหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยไร้เดียงสากระนั้น ยังไม่ลืมพาจ้าวสุนกับลู่หลิ่งออกท่องเที่ยวพร้อมกัน จนหลี่กุ้ยเฟยต้องนั่งกุมขมับ พร่ำบ่นเช้าค่ำถึงความซุกซนของสามีกับหลานสาวการเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจและการสละราชสมบัติ นับเป็นช่วงเวลาอันดีที่ซ้อนเร้นสิ่งเลวร้ายช่วงหนึ่งของทุกราชวงศ์ความวุ่นวายจึงก่อตัวขึ้นช่วงนี้ หรือกล่าวอีกทีก็คือกบฏทรราชฉวยโอกาสก่อเรื่องช่วงที่ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งประทับนั่งยังไม่มั่นคงคนผู้นั้นคือองค์ชายสี่ จ้าวเหวินร่วมมือกับองค์ชายรอง จ้าวหยางทั้งสองคือผู้ร้ายตัวจริงที่สวมรอยโซวอ๋องหมายจัดการจ้าวเหว่ย ด้วยพันธะสัญญาว่า หากจ้าวเหวินได้ยึดครองบัลลังก์ กลายเป็นโอรสสวรรค์ผู้มีอำนาจล้นฟ้า จ้าวหยางย่อมได้ยศคืน แล้วกลับมาสูงส่งเป็นอ๋องปกครองดินแดนบูรพาอันสมบูรณ์มั่งคั่งคลื่นใต้น้ำห่าใหญ่กำลังคืบคลานชอนไชรอซัดโหมกระหน่ำโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัวสักคน...ยามที่จ้าวเหว่ยกำลังประชุมท้องพระโรงหลังจากถ่ายทอดคำสั่งเพื่อให้ขุนนางด
วันเวลาคืบคลานไปช้าๆ สองสามีภรรยาต่างร่วมมือกันก้าวผ่านทุกสิ่ง ดีบ้างชั่วบ้าง แล้วแต่วาระโอกาสจ้าวเหว่ยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนถังเทียนเหมินฮ่องเต้ ซานซานเป็นแม่ทัพหญิงผู้ยิ่งใหญ่ มีสหายร่วมรบมากมายส่วนฮ่องเต้ยังคงประชวรต่อไป นานนับปียังสุขภาพไม่สู้ดีหลี่กุ้ยเฟยมาคอยดูแลฮ่องเต้ถึงห้องบรรทมทุกวัน หลายครั้งยังถูกลู่หลิ่งออดอ้อนขอแสดงความจงรักภักดีโดยการติดตามมาปรนนิบัติด้วยแรกเริ่มฮ่องเต้ทรงมองเด็กหญิงด้วยสายตาหวาดระแวง แต่เพราะประชวรหนักไม่อาจขยับแม้ปลายพระกร จึงทำได้แค่นอนนิ่งๆ ให้ลู่หลิ่งปรนนิบัติรินน้ำชา เตรียมโจ๊ก เช็ดพระวรกาย นวดพระบาท เหน็บชายผ้าห่ม นั่งโบกพัด กระทั่งชวนคุยและเล่าเรื่องสนุกสนานตามจินตนาการจากสมองน้อยๆ จนเรียกเสียงหัวเราะจากคนบนเตียงได้ไม่ยากความน่ารักสดใสของเด็กหญิงเป็นอาวุธชั้นเลิศท้ายที่สุดฮ่องเต้มิอาจต่อต้านได้ จึงยอมรับหลานสาวผู้นี้อย่างจำนนหมดทั้งใจเมื่อได้อยู่เพียงลำพังกับสนมคนโปรด ฮ่องเต้จึงตัดสินพระทัยบอกความจริงทั้งหมดแก่หลี่กุ้ยเฟยด้วยสุรเสียงแหบแห้ง แววพระเนตรรู้สึกผิดเต็มส่วนครั้นหลี่กุ้ยเฟยได้ฟังยังแทบล้มทั้งยืน “ที่แท้หลิ่งเอ๋อร์กับซานซา
สามวันต่อมา...ราชโองการสมรสพระราชทานอย่างเป็นทางการก็เดินทางมาถึงจวนสกุลหลิวมหาขันทีส่วนพระองค์ยืนอยู่กลางโถง สองมือถือแผ่นผ้าสีทองกางออกเบื้องหน้า ทำท่าจะประกาศก้องอย่างเป็นทางการ กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณหนูหลิวฉานเหยาจู่ๆ ก็ล้มตึงลงบนพื้นห้อง สองตาเหลือกถลน กลีบปากอวบอิ่มที่ทาชาดสีแดงมีน้ำลายฟูมออกมา นางชักดิ้นชักงอมีท่าทางอเนจอนาถอย่างมาก ขันทีจำต้องม้วนพระราชโองการมงคลสมรสเก็บใส่กล่อง ยืนมองเหตุการณ์วุ่นวายกลางโถงเงียบๆสมรสพระราชทานยังมิได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ทั้งยังไม่มีใครรับราชโองการ ขั้นตอนยังไม่ทันสมบูรณ์กลับเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ลางร้ายโดยแท้...หลิวฉานเหยาหมดสติหลับใหลนับแต่วันนั้น หลายวันผ่านไปยังคงไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมา หมอแต่ละคนตรวจอาการเสร็จก็ทำได้แค่ส่ายหน้า จนปัญญาหาสาเหตุ ทำได้แค่รักษาตามอาการประคองลมหายใจหนึ่งเดือนต่อมาในค่ำคืนหนึ่ง หลิวฉานเหยาพลันฟื้นคืนสติขึ้นมา ทว่ากลับกลายเป็นสตรีไม่สมบูรณ์เหมือนเก่า นางนั่งเหม่อลอยคล้ายเด็กน้อย พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง บางครั้งยังซึมเซา บางคราวยังนั่งกล่าวคำเรื่อยเปื่อยแล้วหัวเราะคนเดียวถึงแม้ว่าราชโองการยังไม่ถู
หญิงสาวหมุนตัวอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง ซบหน้าลงตรงแผงอกหนา แนบพวงแก้มกับกล้ามเนื้อตึงแน่น ใช้มือลูบไล้เบาๆ ส่งผ่านความรู้สึกวาบหวามผ่านปลายนิ้วทะลุเนื้อผ้า“ท่านอยากแต่งกับนางหรือไม่เล่า?”ชายหนุ่มเชยคางมน ก้มหน้าสบตาภรรยาที่ได้กราบไหว้ฟ้าดินแล้วตั้งแต่บ้านไผ่ริมธาร“ใจข้ามีเพียงเจ้า”รอยยิ้มหวานพลันปรากฏบนใบหน้างาม ซานซานรับรู้ถึงความจริงใจจากแววตามั่นคงและวาจาหนักแน่นนั้นจ้าวเหว่ยก้มหน้าลงจุมพิตกลีบปากอิ่ม ส่งผ่านความร้อนจากปลายลิ้นให้ซึมลึกถึงความรู้สึกแห่งก้นบึ้งของหัวใจเนิ่นนานผ่านไปจึงถอนริมฝีปากตนออกอย่างเอื่อยเฉื่อย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าคุ้นชิน จับร่างเล็กนุ่มนิ่มให้หมุนเข้าหา จับสองขาเรียวเสลาแยกออกแล้วตวัดรอบเอวเขาสองเรือนกายเริ่มบดเบียดเนิบนาบ เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าเกิดขึ้นครู่ใหญ่ ก่อนที่ทุกชิ้นที่ห่อหุ้มทั้งสองค่อยๆ คลายตัวเลื่อนออกจากช่วงไหล่ เผยผิวกายขาวเนียนใต้แสงเทียนรำไรทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กัน ซานซานรู้สึกได้ถึงความคะนึงหา รับรู้ความรักของเขาได้จากอ้อมอกอบอุ่นกว้างหนา วงแขนแข็งแกร่งทรงพลัง ฝ่ามือหยาบกระด้าง ทุกสัมผัสที่เขามอบให้นัยน์ตาลึกล้ำของจ้าวเหว่
หลังงานเลี้ยงเลิกรา ซานซานยังไม่ลืมลอบไปหาบุตรสาวที่ตำหนักฮุ่ยเยี่ยนเนื่องจากดึกมากแล้ว เด็กหญิงลู่หลิ่งจึงนอนตัวกลมอยู่บนเตียงอุ่น ซานซานเข้ามาหอมแก้มลูกน้อยหลายที จนลู่หลิ่งปรือตาสะลึมสะลือ“ท่านแม่”เห็นลูกงัวเงียยกมือขยี้ตาทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง ซานซานจึงตบก้นกล่อมแม่นางน้อยให้นอนหลับต่อ“ไม่ต้องลุก แม่มิได้จะรบกวนเจ้า แค่อยากมาหอมแก้มให้หายคิดถึง”เด็กหญิงนอนลง กลิ้งใบหน้าซุกหมอนหนุน ม้วนตัวกับผ้าห่มอุ่น บ่นอู้อี้ “ท่านพ่อรอนานแล้วกระมัง ท่านแม่รีบไป”คนถูกไล่พลันหรี่ตา “เจ้าลูกคนนี้ เห็นพ่อดีกว่าแม่”เด็กหญิงหัวเราะคิก หันหลังหลับต่อเนื่องจากซานซานย้ายออกจากตำหนักฮุ่ยเยี่ยนแล้ว เรือนพักเดิมจึงไม่มีสิทธิ์เข้านอนตามอำเภอใจ นางจึงลอบไปตำหนักบูรพา ทำตัวเป็นจอมโจรเด็ดบุปผาแน่นอนว่าโจรคือนาง บุปผาคือสามีเมื่อเข้ามายังด้านในอันเป็นห้องส่วนตัวอยู่ชั้นสองของเรือนหลัก ปลายเท้าเล็กแตะพื้นแผ่วเบา ดวงตางามกวาดมอง แสงเทียนในห้องมีเพียงริบหรี่ สาดส่องรำไร เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษยืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง คล้ายรอคอยอยู่แล้วเป็นนาน ซานซานเดินเงียบเชียบ มองสามีผู้สูงศักดิ์ของตนนิ่งๆ เนิ่
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เบาๆ “ดี...เช่นนั้นเราประสงค์มอบสมรสพระราชทานให้เจ้ากับรัชทายาทเป็นไร?”โดยไม่ต้องคิด หลิวฉานเหยารีบคุกเข่าตอบรับอย่างเร็ว ด้วยเกรงว่าฮ่องเต้จะเปลี่ยนพระทัยและกลัวรัชทายาทจะปฏิเสธทั้งรวดเร็วและรวบรัด ทั่วทั้งงานพลันเงียบสงัดในบัดดลจ้าวเหว่ยพลันเบิกตา เรียวนิ้วที่คลึงจอกเหล้าชะงักค้าง สายตาคมมองพระบิดาอย่างไม่อาจเชื่อแต่ไหนแต่ไรมา เสด็จพ่อมักจะถามความเห็นชอบจากเขาก่อนเสมอ ไม่เคยกระทำการอุกอาจเช่นนี้ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง ไม่ทันได้ยับยั้ง ยิ่งไม่ถามความคิดเห็นใดๆ ก่อนใคร หมายความว่าอย่างไร?มีความจริงอีกหนึ่งประการ ตระกูลหลิวเป็นตระกูลใหญ่ ค้ำชูราชวงศ์ต้าถังมาช้านาน ฮองเฮายังประทับนั่งอยู่เคียงข้างโอรสสวรรค์ จ้าวเหว่ยไหนเลยจักปฏิเสธได้ยิ่งไม่อาจหักหาญน้ำใจขุนนางที่จงรักภักดีจากรุ่นสู่รุ่นต่อพระพักตร์ฮ่องเต้และธารกำนัลในยามนี้ จ้าวเหว่ยจึงทำได้แค่ลุกขึ้นแล้วเดินมายืนเบื้องหน้าแท่นประทับ ประสานมือโค้งคำนับอย่างเงียบงัน ปรายสายตามองพระบิดาอย่างเย็นชาลมราตรีเย็นฉ่ำ ชายผ้าบุรุษพลิ้วไหว แผ่ซ่านกลิ่นอายอันน่าหลงใหลเฉพาะตัวออกมารัชทายาทหนุ่มรูปงามในอาภรณ์ม่วงอมทอง ก