บนเตียงนอนสีแดงที่คลุมทับด้วยผ้าสีขาว มีร่างอรชรเปล่าเปลือยนอนอย่างเดียวดาย ไร้ร่างสามีเคียงข้าง ทั่วเรือนกายนางเต็มไปด้วยริ้วสีแดงเป็นจ้ำและรอยฟันขบกัด
ชิงหลินตื่นขึ้นมานานแล้วแต่ก็ยังร่ำไห้ไม่หยุด เรือนร่างสั่นสะท้านอย่างสิ้นหวัง สีหน้าซีดเผือดราวกับเลือดในกายถูกน้ำวนในทะเลสาบน้ำแข็งดูดกลืน
ภาพของชายที่ครอบครองนางอย่างทารุณยังคงติดตา ความเดียดฉันท์ชิงชังยังคงติดตรึงฝังแน่นในจิตใจ
แทนที่จะได้เข้าหอกับบุรุษหล่อเหลาซึ่งเขาคือคนที่ชอบ แต่กลับต้องเข้าหอกับบุรุษน่าเกลียดปานนั้น
นางรังเกียจกงหนิวยิ่งนัก
ขยะแขยงสิ้นดี
ท้ายที่สุดสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของตนเองย่ำแย่ยิ่งกว่าคือความจริงที่ครอบครัวและชายคนรักกระทำ
ก่อนหน้านี้ทั้งบิดามารดารวมถึงน้องสาวล้วนบอกกล่าวแก่นางว่าให้รอเป็นเจ้าสาวของพี่จางฉวน เขามิได้คิดจะถอนหมั้นแต่อย่างใด ให้นางรออยู่ในเรือนอย่าออกไปไหน
เดิมทีนางลองถามถึงความสัมพันธ์อันซ่อนร้อนของคู่หมั้นกับน้องสาวแล้ว ทว่าชิงลี่กลับตอบกลับว่า
‘พี่สาวคงตาฝาดไปเองแล้วเจ้าค่ะ’
แน่นอนว่านางไม่อาจเชื่อ ทว่าชิงลี่กลับร้องห่มร้องไห้จนเรื่องราวบานปลาย เรียกร้องสายตาตำหนิจากทุกคนในบ้าน ยามนั้นชิงลี่ยังเอ่ยฉะฉานว่า
‘ข้าไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับคุณชายจางฉวน และไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน พี่สาวคือพี่ของข้านะ ข้าจะเฉือนใจพี่ได้อย่างไร ขอให้พี่สบายใจ เตรียมตัวเป็นภรรยาแสนดีให้สามีเท่านั้น อย่าคิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่เป็นไปมิได้เชียว’
สีหน้าจริงจังวาจาหนักแน่นแววตาน่าเชื่อถือของชิงลี่ ทำให้ทุกคนคิดว่าชิงหลินงี่เง่าไร้สาระหึงหวงบุรุษกับน้องสาวได้อย่างน่าอาย บังเกิดความกดดันให้ชิงหลินต้องเชื่อชิงลี่จนหมดใจ
ต่อมาทุกคนยังช่วยปลอบประโลมด้วยประโยคที่ว่าจะได้แต่งงานกับจางฉวนอยู่แล้ว ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยอะไรทั้งนั้น
ยามนี้ยิ่งคิดยิ่งสะอื้นไห้ ความเสียใจเข้าถาโถมกระแทกห้วงอารมณ์คล้ายคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวสูงแล้วโหมซัดอย่างรุนแรง
นางถูกหลอก! ทุกคนหลอกนาง...
ในสมองมีแต่คำถามว่าทำไมซ้ำๆ เหตุใดทุกคนถึงใจดำกับนางถึงเพียงนี้ ทำไมต้องทำร้ายกัน ทำไม?
หญิงสาวช้ำใจแทบกระอักเลือด แล้วสรุปได้ถึงความเลือดเย็นของโชคชะตา ท้ายที่สุดก็นึกเกลียดตนเอง
เกลียดที่ตนเองโง่เง่าไร้น้ำยา เกลียดที่ตนเองเกิดมาก็เป็นชิงหลิน เป็นสตรีที่สมควรตายๆ ไปเสีย
ในเมื่อโลกนี้ไม่ยุติธรรม นางควรยุติมันเอง!
นางไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไป ความอัปยศอดสูนี้นางไม่ขอแบกรับเอาไว้ ความแค้นใดๆ นางล้วนไม่ยินดีรับมัน
ในเมื่ออดีตมิอาจแก้ไข อนาคตมิอาจก้าวเดินได้ไหว
พอกันที! ชีวิตอันแสนบัดซบ
ชีวิตที่มีแต่ความเจ็บปวดตอบแทนความโง่เขลาเบาปัญญา
ชิงหลินสบถหลายประโยคและคิดสั้นๆ ได้แค่นั้น ก่อนปิดเปลือกตาลงช้าๆ ใบหน้าขมขื่นสุดจะทน กล้ำกลืนความทรมานอันตกตะกอนเป็นลิ่มเลือดหนาทึบอัดแน่นไว้ในอก
ไม่นาน ...ผ้าปูเตียงผืนยาวสีขาวกับคานเรือนจึงบรรจบ พร้อมปล่อยร่างระหงให้ลู่ลงตามน้ำหนักตัว
ชิงหลินสิ้นลมหายใจในเวลาต่อมา…
บนคานเรือนในห้องหอ
มีร่างระหงเปล่าเปลือยแขวนคอค้างเติ่ง แน่นิ่งไม่ขยับ ทว่าเพียงอึดใจ ทั้งร่างนั้นกลับกระตุกเฮือก
ทันทีที่ลืมตาอีกครา ซานซานรู้สึกหายใจไม่ออกจนลิ้นแน่นจุกปาก ผ้าขาวยิ่งรัดรึงที่ลำคอ พลันนั้นก็รู้สึกตัวและได้สติ
หญิงสาวออกแรงเฮือกหนึ่ง เสือกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ จับผ้าเอาไว้มั่น แล้วดันร่างตีลังกาขึ้น ใช้เรียวขาเกี่ยวกับขื่อคาน ไขว้เท้าทั้งสองข้างคล้องเอาไว้แน่น ขยับมือแก้ปมผ้าที่ลำคอโดยไว ก่อนจะทิ้งร่างดิ่งลงมากระแทกพื้นห้องเสียงดังตุ้บ
ซานซานถึงกับจุก ร้องไม่ออก
นอกจากจุกที่ท้อง ยังปวดตุบๆ ที่ส่วนสงวนของกายสาว
หญิงสาวขมวดคิ้วโกรธกรุ่น นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าของร่างไม่ฆ่าตัวตายก่อนเข้าหอเล่า!
ให้ตายเถอะ!
บัดนี้...สตรีท่าทางอ่อนแอ ใบหน้าอ่อนหวานแต่คล้ายกับอมโรคร้ายตลอดเวลาได้เปลี่ยนไปซานซานในร่างของชิงหลินกำลังนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาทอประกายชั่วร้าย ระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าของร่างจดจำได้อยู่เงียบๆก่อนหน้านั้นสตรีผู้ชั่วช้าอำมหิตอย่างนาง ถูกท่านอาจารย์ผู้ชั่วร้ายโหดเหี้ยมยิ่งกว่า ลงทัณฑ์ด้วยวิชามารขั้นสูง ชดใช้ความผิดที่คิดแย่งชิงคนรักผู้อื่นหึ! ทั้งๆ ที่ยังทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ วิญญาณของนางก็หลุดจากร่างเดิมแล้วอาจารย์นะอาจารย์ ท่านช่างเห็นแก่วิถีเซียนเหลือเกิน…เรียวนิ้วขาวผ่องถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่หลงเหลืออยู่เต็มสองข้างแก้มซึ่งยังไหลอาบไม่ทันเหือดหายเจ้าของร่างเดิมสิ้นใจตาย แล้วนางก็เข้าร่างมาบัดนี้ซานซานยังคงจดจำความรู้สึกทุกข์ระทมของเจ้าของร่างเดิมได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเจ็บร้าวที่ถูกหญิงแพศยาแย่งชิงชายคนรัก ความรู้สึกเศร้าหนักที่ถูกกระทำอย่างย่ำแย่และความรู้สึกสิ้นหวังที่ถาโถม ทรมานยิ่ง!ซานซานได้รับรู้ความจริงถึงความรู้สึกทุกข์ระทมของการถูกแย่งชิงก็ครานี้ ในใจได้รู้ซึ้งและสำนึกผิดทันทีนางในยามนี้ได้เห็นทุกความทรงจำตั้งแต่ชิงหลินยังเป
คืนนั้นชิงลี่แอบมาหาจางฉวนแล้วบอกกล่าวเรื่องราวทั้งสองจึงแอบตามหาชิงหลินอย่างเงียบเชียบ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็บังเอิญเห็นไกลๆ ว่าชิงหลินอยู่กับกงหนิวที่ริมธารคู่หมั้นบัดซบกับนังน้องสาวแพศยาจึงสบโอกาสเหมาะที่จะผลักไสชิงหลินให้พ้นตัวอย่างหมดจดงดงามพวกมันว่าจ้างพยานมาบีบคั้นชิงหลินเรื่องกงหนิววันนั้นจางฉวนทำทีเป็นโกรธกรุ่นหึงหวงไม่ฟังความ ทำให้ชิงหลินที่พูดช้าเสียงเบาไม่อาจทัดทาน เพื่อให้หานอี้ซวนเรียกคุย หมายยุติเรื่องราวมิให้ใหญ่โตบานปลายเสื่อมเสียชื่อเสียงเมื่อเข้าห้องหนังสือกับหานอี้ซวน จางฉวนทำทียอมสงบสติอารมณ์เอ่ยปากยินยอมว่าไม่ถอนหมั้น เพื่อเป็นการปกป้องมิให้บ้านหานเสื่อมเกียรติก็ย่อมได้ หากแต่เจ้าสาวของเขาต้องมิใช่สตรีที่ลักลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่นอย่างชิงหลิน นั่นจึงทำให้บิดาลอบเปลี่ยนสถานะคู่หมั้นของคนพี่เป็นของคนน้องทันที เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อแวดวงการค้าของเขาส่วนมารดาผู้รักสามีเหลือเกินล้วนรู้เห็นเป็นใจมิกล้าขัดในขณะที่ชิงลี่ยังปลอบประโลมชิงหลินไม่ห่างกาย บอกอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไร้เดียงสาว่าเรื่องเลวร้ายจะผ่านไป จางฉวนย่อมให้อภัย และแต่งงานแน่นอนจากนั้
หลังพุ่มไม้ริมลำธาร ซึ่งห่างออกมาไกลพอควรจากตัวบ้านไม้ไผ่ที่มีรอยถูกไฟไหม้เสียหายไปหลายส่วนสายน้ำเย็นใสไหลเอื่อยเฉื่อยสะท้อนแสงตะวันแผดกล้า บุรุษหนุ่มหลังค่อมสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งเก่าทั้งขาด นั่งตกปลาอย่างเงียบงัน ท่าทางเคร่งขรึมเย็นชา แผ่กลิ่นอายแห่งราชันย์ออกมาเยื้องไปทางข้างกายด้านซ้ายของเขา คือชายชุดดำกำลังค้อมศีรษะ ประสานมือ คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่อย่างเงียบเชียบภายใต้หนวดเครารุงรังเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นอันปิดบังรูปโฉมหล่อเหลาจนเผยเพียงความน่าเกลียดน่ากลัวออกมา กำลังมีแววตาเย็นเยียบทวีความหงุดหงิดอย่างรุนแรง สืบเนื่องจากเรื่องราวอันแสนจะอัปยศเมื่อคืนวานถังจ้าวเหว่ย คือนามที่แท้จริงของเขาน้ำเสียงแหบพร่าฟังดูแปล่งหูทว่ากลับแฝงความทรงอำนาจเอาไว้ เริ่มเอ่ยคำออกมาจากริมฝีปากได้รูปที่ถูกหนวดสากระคายปกคลุมจนมิด“เมื่อคืนข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด หาไม่คงมิทำเรื่องหยาบช้าเช่นนั้นกับนางเป็นแน่!”บุรุษชุดดำสะดุ้งสุดตัว นึกตระหนกกับความผิดของตน ที่เจ้านายถูกวางยาแต่ไม่อาจช่วยเหลือ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า“เพื่อความแนบเนียนในการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ กระหม่อมจึงไม่อาจขัดขวางแผนก
สตรีชุดครามค่อยๆ เดินก้าวขาอย่างยากลำบากร่างกายของชิงหลินเป็นสตรีนางน้อยที่แสนจะธรรมดา กำลังวังชาอันใดก็ไม่มี ถูกสามีเคี่ยวกรำเมื่อคืนจึงอ่อนปวกเปียกไปหมด ซานซานจึงเดินไปสูดปากไป เจ็บตรงหว่างขาไม่เบาหลังจากสำรวจภายในห้องและตัวเรือนจนทั่วก็ตัดสินใจเดินออกมาด้านนอกบ้านหลังนี้ปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่ ตั้งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ด้านขวาของตัวบ้านติดกับลำธาร ด้านซ้ายติดชายป่า ด้านหน้าเป็นลานกว้าง เต็มไปด้วยต้นหญ้ารกทึบ เว้นทางไว้เดินเล็กน้อยหญิงสาวออกมาที่ลานหน้าบ้าน เดินเยื้องไปทางขวาอีกหลายก้าว เห็นสามีหมาดๆ กำลังนั่งตกปลาอยู่ริมลำธารนางหรี่ตามอง ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาเมื่อซานซานเดินมาถึงร่างโค้งงอที่นั่งตกปลาเงียบเชียบ จึงได้สังเกตเขาชัดเจนประสบการณ์อันโชกโชนของนางก่อนตายด้วยฝีมือของอาจารย์ ทำให้สังเกตความผิดปกติบางประการจากสามีกระดูกที่ผิดรูปของเขา มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!การที่ซานซานสามารถฝึกวิชามารจนแตกฉานเมื่อชาติที่แล้วได้นั้น ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทุกส่วนของร่างกายจึงไม่ด้อยถึงแม้นางจะมาเข้าสิงร่างของชิงหลินที่ไม่เคยฝึกวิชายุทธ์ใดๆ หากแต่สมองของนางล้วนจดจำเคล็ดวิชาได้ทั้งหมด ส
หลังจากตกอยู่ในภาวะตะลึงเนิ่นนาน จ้าวเหว่ยจึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่าแหบต่ำว่า“ข้าอาจจะเป็นแค่ตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ แต่ในเมื่อแต่งเจ้าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้แล้ว ย่อมต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม จะอย่างไรข้ายังเป็นบุรุษ เมื่อมีเนื้อเข้าปากย่อมต้องเคี้ยวแล้วกลืนให้อิ่มหนำ”ถึงแม้จะอยู่ในสภาพย่ำแย่ทว่าความหยิ่งยโสทะนงตนยังคงมีตามวิสัย ชายหนุ่มจึงเอ่ยเช่นนี้ เพราะชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมา มีสตรีนับร้อยที่อยากให้เขาครอบครองอีกอย่าง...ยามนี้พวกเขาทั้งสองคือสามีภรรยากันแล้ว การพูดจาเยี่ยงนี้ไม่นับเป็นอะไรซานซานได้ยินประโยคยาวเหยียดจากสามีถึงกับตกใจ“หา! ท่านพูดได้หรือ?”หากจำไม่ผิด ชาวบ้านต่างบอกว่าเขาเป็นใบ้นี่นา อืม...อีกคราที่ซานซานจ้องมองสามีอย่างพิจารณาจ้าวเหว่ยหรี่ตามองสตรีตรงหน้าอย่างตำหนิที่นางบังอาจจ้องเขาอย่างถือวิสาสะเช่นนั้น ทว่าอึดใจพลันตระหนักว่าสถานะของตนยามนี้มิใช่องค์รัชทายาทผู้สูงส่ง จึงเอ่ยปากตามตรง“อันที่จริง ข้าต้องขอโทษเจ้า เมื่อคืนข้าถูกยามอมเมากระตุ้นเร้า จึงไม่อาจยั้งกาย...”เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแหบแห้งสั่นพร่าหากแต่แววตากลับสงบนิ่งเผยความสุ
อาหารเช้านี้คือปลาที่สามีกำลังนั่งตกอย่างเฉยชาซานซานมิได้ถือสาท่าทีเย็นชานั่น มีอะไรให้กินก็กินได้ทั้งนั้น ระหว่างรออาหารนางก็เดินสำรวจรอบบ้านอย่างใจเย็น เห็นเรือนเป็นไม้ไผ่ทั้งหลังก็ชั่งใจว่าควรต่อเติมเพิ่มความเข็งแรงอย่างไรดี เผื่อว่าสามีบังเกิดความรักใคร่ภรรยาร้อนแรงยิ่งกว่านี้บ้านอาจจะพังเอาได้ในจังหวะที่เดินวนกลับมาที่หน้าเรือนอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นทางเบื้องหลัง ซานซานหันหน้าไปมอง ก็เห็นเป็นเจียหรู๋กับอนุจูและชิงลี่ ยังมีเพื่อนบ้านที่เป็นสตรีอีกสี่คนติดตามมาด้วย พวกเขาเดินตรงเข้ามาที่ลานกว้างหน้าเรือนชาวบ้านผิงเหยียนปลูกเรือนตามฐานะ หากยากจนย่อมไม่มีกำแพง บางบ้านกระทั่งรั้วไม้เตี้ยๆ ก็ไม่มีที่นี่ก็เช่นกัน หากมีแขกมาย่อมเข้ามาหาได้โดยสะดวก ทั้งนี้เรือนไม้ไผ่อยู่ห่างไกลอย่างโดดเดี่ยวและกงหนิวก็ไม่เคยมีใครมาหามาก่อน หากนับครั้งแรกที่ผู้คนพากันมาเผาบ้าน ครั้งนี้ก็คือครั้งสองที่มีคนพากันมาเป็นกลุ่มจ้าวเหว่ยกำลังเดินมาทางเรือน หิ้วปลามาด้วยหลายตัวเขาเพียงยืนนิ่งหรี่ตามองอย่างเย็นชา ปกปิดกลิ่นอายสูงศักดิ์อันน่าเกรงขามและตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์และเรือน
แน่นอนว่าคนที่วางแผนบีบคั้นกงหนิวให้รับผิดชอบแต่งงานกับชิงหลิน ย่อมต้องเป็นจางฉวนกับชิงลี่รวมหัวกันหมายกำจัดชิงหลินออกจากชีวิต โดยที่พวกเขาไม่ต้องแบกรับความผิดอันต่ำทรามที่ร่วมกันหักหลังอีกฝ่ายเพียงแต่การแต่งงานครั้งนี้ ยังคงมีคำครหาที่เสื่อมเสียต่อคนบ้านหานตามมาอย่างช่วยไม่ได้ ว่านางเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วหรือไม่ ในคืนที่หายตัวไปเจียหรู๋จึงไม่อาจนิ่งดูดาย กระทั่งออกโรงปกป้องชิงหลินด้วยตนเองเช่นนี้เมื่อซานซานคิดให้ดีอีกทีก็นับว่าสมควรแล้ว ถือเสียว่าช่วยล้างมลทินให้เจ้าของร่างก็แล้วกัน นางกระซิบตอบชิงลี่ทันที“ในเมื่อคำว่าร้ายทั้งหลายต้นสายปลายเหตุล้วนเป็นเพราะเจ้า ก็สมควรแล้วที่เจ้าจะต้องแก้ไข ข้าต้องขอบคุณด้วยรึ?” ประโยคนี้ทำรอยยิ้มชิงลี่แข็งค้างทันใด แววตายังวูบวาบสั่นไหวคล้ายไม่แน่ใจกับคนตรงหน้าซานซานจึงกระตุกมุมปากแสยะยิ้มแลดูเยือกเย็นเพิ่มความสับสนให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องครานี้ชิงลี่พลันผวาเฮือก จ้องมองพี่สาวอย่างตื่นตะลึง เห็นรอยยิ้มชวนสะพรึงก็นึกแปลกใจ นางส่ายหน้าเล็กน้อย ท่าทางไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น พลางเอ่ยพึมพำ “ข้าหวังดีและนับว่ามีบุญคุณกับพี่นะ เหตุใดมองกันเช่นนี้”ชิ
ท่ามกลางเหล่าสตรีที่ลานบ้าน จ้าวเหว่ยเห็นว่าฉากงิ้วตรงหน้าช่างไร้สาระ จึงก้มลงหยิบปลาแล้วเดินตัดผ่านลานบ้านเข้าเรือนด้วยท่าทางเรียบเฉย ใบหน้านิ่งสงบ ทุกกิริยาล้วนไร้อารมณ์ คล้ายว่าทุกคนไม่มีตัวตนและไม่มีค่าพอให้ใส่ใจชิงลี่ลอบมองพี่สาวหลายครา นัยน์ตาคล้ายสับสนระคนไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง นางถามเสียงเบาอย่างเอื้ออาทร“พี่หลินเป็นอะไรหรือ? ไม่สบายหรือเปล่า? พี่ดูผิดปกติไปนะ ข้ารู้สึกเป็นห่วง...”น้องสาวช่างแสดงออกอย่างมีน้ำใจได้อย่างล้นเหลือ คำพูดคำจาเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเหลือเฟือ ทั้งยังมีเมตตาปรานีต่อพี่สาวเต็มที่แต่ซานซานกลับตอบเสียงเย็น “มารยาสาไถยยิ่ง!”“...!?”อีกครั้งที่ชิงลี่ต้องผงะซานซานหรี่ตากระซิบตอกหน้าน้องสาวอีกว่า “เสแสร้งให้น้อยลงหน่อยเถิด ไม่เหนื่อยหรือไร ข้าแค่มองยังเหนื่อยแทน”“พะ...พี่หลิน!” ชิงลี่รู้สึกเหมือนเจอผี นางถึงกับพูดจาติดขัดไม่ชัดถ้อยชัดคำ “พี่เป็นอะไรไป? ไยพูดจาเยี่ยงนี้ เมื่อก่อนพี่ไม่เคย...”ซานซานเลิกคิ้วกระตุกมุมปากยกยิ้มยียวนพลางปรายหางตามองไปทางพวกฮูหยินที่กำลังส่งเสียงคุยกัน เห็นไม่มีใครสนใจพวกนางสองพี่น้องทั้งนั้น จึงลอบเอื้อมมือไปหยิ
ฉับพลันในห้วงภวังค์ของซานซานก็มีอู๋เจี๋ยแทรกเข้ามา องครักษ์หนุ่มผู้เป็นสามีของนางขณะเดียวกันก็มีใบหน้าของซูเหยา สตรีอ่อนแอที่คุกเข่าทั้งน้ำตาต่อหน้า ไหล่บอบบางสั่นไหวเพราะร่ำไห้เสียใจสุดแสน ปากยังขอร้องแทนบุรุษไม่หยุด เล่ห์เหลี่ยมยิ่งไม่มีให้เห็นวันที่ประจันหน้ากับอู๋เจี๋ย สายตาของเขายามมองนางกับมองซูเหยาต่างกันในแววตาที่มองนางมีเพียงความหวาดกลัวและรู้สึกผิด แต่แววตาที่มองซูเหยากลับมีความรู้สึกผิดและความรักท่วมท้นพวกเขารักกันมาก่อน ทั้งยังรักกันปานนั้นหากนางไม่ตัดใจ ย่อมมิใช่คนแล้ว...หญิงสาวยิ่งครุ่นคิดหนักหน่วง นางพยายามนึกถึงอู๋เจี๋ยทว่ายิ่งเพ่งพินิจนึกถึงภาพอู๋เจี๋ย ซานซานยิ่งสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง ลักษณะท่าทางยังคล้ายคนแปลกหน้า ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด หากแต่เหตุการณ์เมื่อคืนกับรัชทายาทจ้าวเหว่ยกลับคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งยังมีประโยคเด่นชัดในห้วงฝันนั่นอีก!คิดไปคิดมาก็พลันนึกถึงฉากรักกับจ้าวเหว่ยคิดถึงลีลากอดเกี่ยวโอบกระหวัด ท่วงท่าต่างๆ ยามรึงรัด รสสัมผัสเคล้นคลึงจากฝ่ามือหนา วงแขนแข็งแรงที่กกกอด ยามประทับจุมพิต ทิศทางการไล้แผ่วปลายนิ้วไปตามส่วนโค้งเว้าใบหน้าหล่อเหลาป
หลี่กุ้ยเฟยถอนหายใจหนักอก แล้วเอ่ยตามตรง“อาซาน ฐานะทางสังคมของเจ้าต่ำต้อยด้อยศักดิ์เกินไป ทั้งนิสัยใจคอของเจ้ายังร้ายกาจเกินไป ข้าไม่อาจให้เจ้าพลาดพลั้งถลำใจไปกับเสน่หาอันลึกล้ำของรัชทายาทได้ หากเจ้าชอบเขามากๆ แล้วพระชายาในภายภาคหน้าของเขาจะเป็นเช่นไร มิเหลือแต่ซากรึ?”“...!?”ประโยคที่ได้ยินทำผู้ฟังแปลกใจจนเลิกคิ้วสูง นึกฉงนไม่น้อย ได้ยินพระนางกล่าวอีกว่า“ข้ามั่นใจว่า สตรีที่จะได้เป็นพระชายาของเขา ย่อมต้องเป็นสตรีหนึ่งเดียวในดวงใจแน่ เจ้าไม่ควรเป็นศัตรูหัวใจกับนาง”“...!?”“เอาล่ะๆ เมื่อคืนเจ้าทำดีแล้วแต่อารมณ์กำหนัดของบุรุษข้าเองก็ไม่ควรเพิกเฉย หากปล่อยปละละเลยอาจป่วยไข้เอาได้ จำไว้ว่าต่อให้เจ้าได้ปรนนิบัติบุตรชายข้า ก็อย่าได้คิดเกินเลยกว่าฐานะสาวใช้อุ่นเตียง และอย่าเข้าใกล้หากไม่จำเป็น เขารูปงามปานนั้น สูงส่งน่าหลงใหล เจ้าทนทานมิให้บังเกิดรักปักใจต่อเขามิได้หรอก หากเป็นเช่นนั้น ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้าต้องลำบากแน่ๆ”“...!?”ซานซานรับฟังด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หมดคำใดจะเอื้อนเอ่ย ได้ยินหลี่กุ้ยเฟยเอ่ยย้ำอีกครั้ง“ไปคัดกฎระเบียบราชวังหนึ่งร้อยจบ อย่าให้ใครครหาเอาได้ว่าเจ้าใช้ความโปรดปรานข
ชาติก่อนซานซานคือนางมารจอมชั่วร้ายผู้หนึ่ง ชาตินี้นับว่าเป็นคนดีมากนัก เหลือไม่ดีอีกเล็กน้อยเท่านั้นยกตัวอย่างเช่นเรื่องนี้แอบมีสัมพันธ์สวาทกับบุตรชายสุดที่รักของเจ้านาย ทำตัวคล้ายบ่าวหญิงแพศยาในเรือนขุนนางนอกวังไม่ผิดเพี้ยน เรื่องแบบนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นในวังหลวง หญิงรับใช้ใกล้ชิดของพระสนมยังแอบปีนเตียงฮ่องเต้เพื่อยกฐานะตน เพียงแต่ซานซานมิได้ต้องการฐานะอันใดให้ยุ่งยากซับซ้อน ขอแค่เงินทองเยอะๆยี่ซินตีหน้าขรึมเอ่ยเสียงเข้ม “อย่ามาโกหกเลย อาซาน เจ้ากล้าปฏิเสธรัชทายาทเชียวรึ?”“โอว...” ซานซานมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ไม่ปฏิเสธได้รึ?”ยี่ซินถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไป “เจ้านี่นะ”หลี่กุ้ยเฟยนั่งจิบชานิ่งฟังบทสนทนาด้วยสีหน้าเยือกเย็น รู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของซานซานไม่เบา ได้ยินเสียงสนทนากระซิบกระซาบของคนสนิททั้งสองเกิดขึ้นต่อเนื่องว่า“พี่ซินๆ”“หืม?”“รัชทายาทมีนางกำนัลอุ่นเตียงเยอะหรือไม่?”“เจ้าถามทำไม?”“พระองค์ยังมิได้แต่งงาน แสดงว่ามีคนอุ่นเตียงเยอะแล้ว เช่นนั้นข้าจึงเห็นสมควรว่าไม่ควรเข้าไปเพิ่มจำนวนให้วุ่นวาย”“เหลวไหล!” ยี่ซินเริ่มเสียงดัง “รัชทายาทของพวกเราเป็นบุรุษที่หวงเ
แสงตะวันยามเช้าแผดกล้าร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกได้ว่าถึงเวลาที่ควรไปดูแลบุตรสาวตัวน้อย อันสำคัญเหนืออื่นใดซานซานจึงส่ายศีรษะไล่ความง่วงงุนให้สิ้นไปแล้วลุกขึ้น ยังไม่ลืมทำลายหลักฐานบนเตียงนอน ที่บัดนี้โชยคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายวสันต์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะหลังร่วมรักส่วนยาห้ามครรภ์ แน่นอนว่าซานซานปรุงขึ้นได้ไม่ยาก และไม่มีใครรู้ด้วยนางจะทำเป็นยาลูกกลอนเม็ดกลมเล็กๆ จะได้พกพาสะดวกหลังจากล้างเนื้อตัวจนสะอาดหอมกรุ่น ยังไม่ลืมลบเลือนริ้วรอยฝากรักก่อนสวมใส่ชุดนางกำนัลเช่นเดิม ออกจากห้องมาหาบุตรสาว กินข้าวเช้าด้วยกัน คุยเล่นหยอกเย้า ชี้แนะทุกเรื่องราว พาไปส่งสำนักศึกษาประจำราชวัง ได้ร่ำเรียนร่วมกับบุตรหลานเชื้อพระวงศ์เด็กๆ ในชั้นเดียวกันยังอายุน้อย ปัญหาปากเสียงกระทบกระเทียบระหว่างชนชั้นจึงไม่มี ลู่หลิ่งเข้ากับทุกคนได้ดียิ่งโดยเฉพาะองค์ชายห้า นามว่า ถังจ้าวสุนถังจ้าวสุนคือโอรสหนึ่งเดียวของฮองเฮาแห่งต้าถัง หลายครั้งที่ซานซานได้เห็น เด็กชายอ้วนท้วนอายุเพียงเจ็ดปีผู้นี้จูงมือหลิงเอ๋อร์ในวัยสี่ปีวิ่งเล่นไปทั่วอุทยาน หากรอดพ้นสายตานางกำนัลได้ ก็มักจะสลับกันผัดหน้าทาชาดสนุกสนาน บางวันยังมีน้ำมันหอ
ผู้ฝึกยุทธ์มักเปี่ยมกำลังวังชา การศึกครานี้จึงใช้เวลายาวนานนัก การทรมานอันสุขสมคล้ายนิรันดร์การเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างซานซานและจ้าวเหว่ย ยังคงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอ นับตั้งแต่ห้าปีก่อนที่เรือนริมธาร กระทั่งยามนี้ที่ตำหนักใน ความสัมพันธ์ทางกายสนิทสนมเยี่ยงนี้คล้ายโซ่ตรวนชนิดหนึ่ง ซึ่งผูกพันทั้งสองเอาไว้จนยากจะคลายตัวลมราตรียังคงเย็นเยียบโชยผ่านเรือนพัก แต่ใครจะรู้ว่าเตียงในห้องๆ หนึ่งจักอุ่นร้อนเพียงใด จ้าวเหว่ยไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยซานซานเอาไว้ให้นอนคนเดียว กำลังวังชามากมายของเขาล้วนใช้ไปกับกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาทำเอาซานซานถึงกับอ่อนระโหยโรยแรงหน้ามืดตาลายไปหมด หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่า องค์รัชทายาทผู้สูงส่งเลิศล้ำจักเป็นบุรุษเช่นนี้ ทำนางมึนงงสิ้นดี พอเสียทีได้ไหม?“หยุด...หยุดก่อน...” เส้นเสียงแหบแห้งเพราะผ่านการครวญครางนับครั้งไม่ถ้วนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ไม่ไหวแล้ว...”ขณะที่หยาดเหงื่อกำลังผุดพราย รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์พลันปรากฏบนใบหน้าบุรุษ จ้าวเหว่ยก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกโด่งสันหอมแก้มนางไปอีกหนึ่งครั้ง ก่อนมอบอิสระให้แก่ร่างอุ่นนุ่มโดยการปล่อยนางออกจากวงแขนร้อนผ่าวชื้นเหงื่อ แล
รัชทายาทหนุ่มไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดีซานซานยังคงคิดถึงชายอัปลักษณ์แม้ว่ากำลังร่วมรักกับชายงามสูงศักดิ์จ้าวเหว่ยรู้ดี ว่านางใต้ร่างมิได้รักเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองอู๋เจี๋ยที่คิดว่าเป็นเหย่หนิวก็ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่เช่นกันก่อนหน้านี้ยามที่ประจันหน้า ทั้งแววตาทั้งท่าทาง เผยชัดแจ้งถึงความแค้นเคืองชิงชัง ไม่มีความหลังให้จดจำหวนคืนนางชัดเจนปานนั้น แต่กลับ…ชั่วขณะหนึ่งที่เห็นเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลายามก้มลงต่ำพร้อมลมหายใจหนักหน่วงรินรดข้างแก้ม ซานซานก็เริ่มจับกระแสความคิดของจ้าวเหว่ยได้เพราะใบหน้าใกล้กันถึงเพียงนี้ สายตาดำจัดของเขาร้อนแรงปานนั้น ราวกับมีเปลวเพลิงเต้นระริกไม่หยุด ทั้งตื่นเต้นทั้งสับสนระคนแปลกใจเรียวคิ้วงามขมวดวูบ “ท่านได้ยินนี่”เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มพลันบังเกิด “ข้ามิได้หูหนวก”ซานซานยิ่งรู้สึกผิด “หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ”จ้าวเหว่ยหยุดขยับกาย แต่ยังรักษาความรู้สึกรัญจวนใจเอาไว้ด้วยการฝังนิ่งตรึงนาง ก้มหน้าหอมแก้มนวลแรงๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงสั่นพร่าอย่างใจดีว่า “เจ้าแก้ตัวด้วยการเรียกนามข้าได้”หญิงสาวเบือนหน้าหนี “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”ชายหนุ่มไม
บนเตียงนุ่มที่เริ่มอุ่นร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร่างสองร่างเปล่าเปลือยกอดกระหวัดรัดรึงด้วยความทุลักทุเลเพราะฝ่ายสตรีไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มานานมาก ทั้งยังรู้สึกแปลกหน้ายิ่ง จึงตอบสนองเงอะงะพอควรจ้าวเหว่ยถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาว ในใจนึกเอ็นดูระคนสงสาร แต่ท่าทางตื่นเต้นของซานซานทำเขานึกอยากแกล้งอย่างที่สุด ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความคิดที่จะคลายวงแขนปลายจมูกโด่งสันไล่หอมแก้มนวลไม่หยุดยั้ง ริมฝีปากยังไล่จุมพิตไปทั่วใบหน้า ลำคอ เนินอก ทิ้งร่องรอยลึกซึ้งไม่มีเกรงใจ จนซานซานต้องถอยร่นจนชิดผนังห้องข้างเตียงอย่างหมดท่าบุรุษยิ่งนานยิ่งรุกล้ำ จนใบหน้าขาวผ่องเนียนนุ่มยิ่งนานยิ่งเห่อแดงร้อนแรงกว่าถ่านไฟ กิริยาท่าทางดุจดรุณีวัยแรกแย้ม มิใช่จอมยุทธ์หญิงอีกต่อไป ซึ่งซานซานเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงได้กลายร่างเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปเช่นนี้จ้าวเหว่ยยังคงรุกไล่จุมพิตซานซานไปทั่ว ฝังใบหน้ากับหน้าอกอวบอิ่ม ดูดกลืนยอดถันชูชัน กระทั่งนางเขินอายจนพลิกตัวหันหลังให้เพื่อทำใจ เขาก็ยังไล่จูบนางทางด้านหลังประทับตราตั้งแต่เรือนผม ท้ายทอย หัวไหล่ แผ่นหลังนวลเนียนฝ่ามือร้อนลวกยังจับกระชับเอวคอดกิ่ว ลูบไล้วกวนตรงหน้าท้องแบนราบ จนซ
บรรยากาศตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายทันที จ้าวเหว่ยยิ้มอ่อน วงแขนยิ่งกระชับ “หากบอกว่าใช่”ซานซานให้รู้สึกขนลุกชูชัน “เราตกลงกันแล้วว่าไม่มีเรื่องงมงายไร้สาระ หากยังเอ่ยเช่นนี้ เห็นทีหม่อมฉันคงไม่สะดวกแล้ว”จ้าวเหว่ยหัวเราะในลำคอเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้ากล้า”ซานซานแค่นยิ้ม “จ้องนาน สี่หีบ!”“...”สมเป็นนาง...ไม่ว่าเรื่องใดยิ่งไม่เคยนึกหวั่น นอกจากไม่กลัวหรือเขินอายยังกล้าท้าทาย...แน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่มีทางปล่อยซานซานไปสามีที่ห่างเหินการร่วมรักกับภรรยาเนิ่นนานปี เมื่อเจอกันอีกทีไม่พุ่งกายเข้าใส่ก็คงมิใช่คนปกติเขายังไม่ลืมย้ำเสียงหนัก“เจ้าปรนนิบัติข้าได้แค่คนเดียว เข้าใจหรือไม่?”“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ รีบๆ ทำเถิด”แม้เอ่ยเช่นนั้น แต่ร่างระหงอ้อนแอ้นกลับนอนนิ่งแข็งทื่อบุรุษยกยิ้มเอ็นดูแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าลงจรดริมฝีปากตนกับนางแผ่วเบาคล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาซานซานพลันเบิกตากว้าง รู้สึกได้ว่ากลีบปากอีกฝ่ายร้อนมากๆ จนอาจจะลวกปากนางได้อึดใจก็เปลี่ยนเป็นกะพริบตาถี่ๆ เพราะรู้สึกได้ถึงจุมพิตที่แนบแน่นยิ่งขึ้น ต่อมาก็กลายเป็นรุกล้ำแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เรียวลิ้นร้อนชื้นตวัดออกมาจากปากชายเหนือร่างเข้า
ความอุ่นร้อนจากวงแขนและแผงอกแผ่ซ่านรอบกายทันใด ซานซานพลันตัวแข็งทื่อ ใบหน้าร้อนผ่าว ใบหูแดงก่ำ ท่าทางประหนึ่งสาวน้อยแรกแย้มเพิ่งเข้าหอครั้งแรกเพราะห่างเหินรสสัมผัสและการร่วมรักมานานปี ทั้งยังเป็นชายอื่นมิใช่สามี ไม่เกร็งก็คงไม่ใช่และนางก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงยินยอมให้เขาง่ายดายในขณะที่กำลังสั่นระริกทั้งตัว หัวใจเต้นตุบๆ แทบทะลุอก ซานซานยังได้ยินเจ้าของวงแขนเอ่ยเสียงเครียด“เจ้าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้ และยิ่งมิใช่หญิงขายเรือนร่าง”“แน่นอนว่าหม่อมฉันมิใช่ แต่ในเมื่อเป็นพระบัญชา ไยต้องคิดมากเล่า”“เจ้า...” รัชทายาทหนุ่มนึกเข่นเขี้ยวเหลือเกิน “เรื่องเช่นนี้ เจ้าควรคิดให้มาก เข้าใจหรือไม่?”ซานซานได้ฟังพลันนิ่งเงียบไปหากศักดิ์ศรีของนางที่ต้องรักษาคือสิ่งที่สามารถยึดเหนี่ยวบุรุษใจร้ายให้เห็นค่า มิสู้ทำลายศักดิ์ศรีนั้นทิ้งไปเสียหากต้องแย่งชิงบุรุษไร้ใจกับสตรีแสนดีเช่นซูเหยานางคงทรมานจนตาย หากสะสมเงินทองได้มากพอก็ออกจากวังไปเป็นเจ้าสำนักดูแลสมุนมารเหตุผลอันหลากหลายประการ ซานซานพลันสรุปได้ว่า รัชทายาทหนุ่มตรงหน้านับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ไม่เลวหึ! เป็นสตรีที่ดีแล้วอย่างไร สามีก็ทิ้งไปอยู่ดี