“น้องกวินท์เป็นไงบ้าง” คำถามที่ได้ยินทำให้ ขวัญชีวากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เธอปล่อยโฮออกมาเพราะความอัดอั้นและความกลัว กลัวว่าจะเสียลูกชายไป
ปิยะดาเองก็พลอยตกใจที่จู่ๆ ขวัญชีวาร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนอกจากนั่งปลอบใจกันอยู่แบบนั้น กระทั่งขวัญชีวาหยุดร้องไห้เธอก็ยื่นบางอย่างใส่มือเพื่อนสนิท “อะไรนะเบล” “เงินเก็บเราเอามาช่วยค่ารักษาน้องกวินท์” “แต่เรา…” “รับไปเถอะ มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก มีเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน” ปิยะดาแทบจะเทหมดกระเป๋าเหมือนกันนั่นเพราะอยากช่วยจริงๆ หลังจากนี้ค่อยเก็บออมกันใหม่ “ขอบใจนะเบล ขอบใจเธอมาก” จากที่หยุดร้องไปแล้วตอนนี้ขวัญชีวาก็กลับมาร้องไห้อีกแถมยังหนักไม่แพ้เมื่อครู่แม้แต่น้อย ปิยะดานั่งปลอบให้ขวัญชีวาหายเศร้าแต่ถึงจะหยุดร้องแล้วอาการสะอื้นก็ยังมีให้เห็น ปิยะดาอยู่เป็นเพื่อนกระทั่งต้องกลับไปไลฟ์ขายของต่อนั่นทำให้ขวัญชีวาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอเปิดดูเงินในซองที่มีอยู่จำนวนหนึ่งพอนำมารวมกับเงินของตัวเองก็ยังคงเครียดเพราะยังขาดอยู่อีกมาก ถ้าวันนี้รอยส์เซ็นอนุมัติเรื่องลาออกทันทีเธอก็จะได้เงินกองทุนคืนมาเร็วขึ้น เงินเดือนบวกกับเงินที่เก็บสะสมมาก็พอจะเป็นค่ารักษาได้ส่วนหนึ่ง แต่มองยังไงก็ยังไม่พออยู่ดี ทุกอย่างมันบีบคั้นจนทำให้ขวัญชีวาอยากร้องไห้แต่ร้องไปก็เท่านั้นเพราะเวลานี้น้ำตาไม่อาจช่วยอะไรเธอได้ “ไม่ว่ายังไง เกี๊ยวจะหาเงินมารักษาน้องกวินท์ให้ได้” ขวัญชีวายังคงนั่งบีบมือพร้อมก้มหน้าอย่างอับจนหนทางอยู่ที่เดิม จู่ๆ ก็มีเท้าคู่หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เพราะคิดว่าเป็นหมอน่านหมอประจำตัวของลูกชายเธอจึงเงยหน้าขึ้นมองแต่แล้วคนที่เธอสบตาด้วยกลับไม่ใช่คนที่คิด “คุณรอยส์” สีหน้าของขวัญชีวาบ่งบอกว่าเธอทั้งตกใจและแปลกใจที่เห็นเจ้านายหนุ่มที่นี่ “ลูกชายคุณเป็นยังไงบ้าง” “ปลอดภัยแล้วค่ะ โชคดีที่คราวนี้หมอพาแกกลับมาได้” “แต่ถ้าไม่ผ่าตัดก็คงไม่โชคดีแบบนี้ทุกครั้ง” คำพูดของรอยส์ทำให้ขวัญชีวาไม่พอใจแต่ก็ต้องเก็บเหล่านั้นอารมณ์ไว้ “ขอบคุณนะคะที่แวะมา แต่ถ้าไม่เป็นการรบกวน ฉันอยากอยู่คนเดียว” ขวัญชีวาไล่เจ้านายหนุ่มกลายๆ แต่ดูเหมือนรอยส์จะตีมึนต่อคำพูดของเธอ เขาสอบถามอาการป่วยของลูกชายเธอมาคร่าวๆ แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอที่ทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ของเธอได้หลายๆ อย่าง “ผมมีบางอย่างจะเสนอ” “อะไรคะ” “คุยกันตรงนี้เลยเหรอ ไปหาที่เงียบๆ เป็นส่วนตัวหน่อยดีไหม” รอยส์หันมองรอบๆ ตัว เพราะดูจากสถานที่แล้วมันไม่ค่อยสะดวกที่จะคุยเรื่องสำคัญเสียเท่าไหร่ “ฉันสะดวกตรงนี้” “โอเค ตรงนี้ก็ตรงนี้” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อย คงต้องตัดเรื่องความเหมาะสมของสถานที่ออกไปก่อนชั่วคราว เขาเดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวข้างๆ กับขวัญชีวา “ผมจะเร่งการผ่าตัดลูกชายคุณให้เร็วขึ้น รวมถึงย้ายโรงพยาบาลด้วยเพราะที่นี่เครื่องไม้เครื่องมือเฉพาะทางคงไม่ทันสมัยเท่าโรงพยาบาลครอบครัวผม อีกอย่างที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องเกี่ยวกับผ่าตัดทางสมองเป็นพิเศษ คุณก็น่าจะรู้ดีว่ายิ่งมีปัจจัยดีๆ หลายๆ อย่างการผ่าตัดที่ซับซ้อนเกี่ยวกับสมองก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากตามไปด้วย” “ข้อแลกเปลี่ยนละคะ” ขวัญชีวาเอ่ยแทรกขึ้น เธอถามอย่างตรงไปตรงมานั่นเพราะข้อเสนอดีๆ แบบนี้รอยส์คงไม่ให้เธอฟรีๆ แน่นอน ดีไม่ดีเขาอาจขอให้เธออยู่ทำงานด้วยไปจนแก่ตาย “คุณนี่ ทำไมถึงรีบถามทั้งๆ ที่ผมยังพูดไม่จบ” “ก็คุณเสนอให้ฉันมากขนาดนั้นมันย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ ว่าไงคะข้อแลกเปลี่ยนของคุณคืออะไร” “นอนกับผม” “อะไรนะ!” ขวัญชีวาอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อได้ยินข้อแลกเปลี่ยนจากอีกฝ่าย สิ่งนี้มันไม่ได้อยู่ในหัวเธอด้วยซ้ำ “แค่คืนเดียวปัญหาที่คุณเจออยู่ตอนนี้ผมจะปลดล็อคให้ทุกอย่าง อ้อ…รวมถึงเงินจำนวนเจ็ดหลักจะถูกโอนเข้าบัญชีคุณอีกด้วย” รอยส์พูดเหมือนทุกอย่างแค่เรื่องปกติง่ายๆ สบายๆ สำหรับเขา ทว่ามันกลับหนักอึ้งในหัวใจของขวัญชีวา “ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้” แววตาของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวังนั่นเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดทุกอย่างได้อย่างไม่รู้สึกละอายใจเลย เขาพูดเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ “ผมก็ไม่ได้บอกนี่ว่าเป็นคนดี อีกอย่างผมเป็นนักธุรกิจถ้าทำอะไรแล้วขาดทุนผมจะเสียเวลาทำไปทำไม” ยิ่งได้ยินคำเปรียบเทียบที่ออกมาจากปากของรอยส์ ขวัญชีวาก็ยิ่งพูดไม่ออก“อ้อค่ะ” ขวัญชีวาเอ่ยรับ นั่งรถมาได้ครู่ใหญ่รอยส์ก็เลี้ยวรถไปยังคอมมูนิตี้มอล์แห่งหนึ่ง หลังจอดรถเสร็จเขาก็พาเธอเดินตรงไปยังร้านแห่งหนึ่งที่ด้านหน้ามีชุดเจ้าสาวตั้งโชว์อยู่ นั่นทำให้ขวัญชีวาหยุดกึกทันที“ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีชุดเจ้าสาวที่คุณชอบบ้างไหม”“อะไรนะคะ”“ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่รู้เซอร์ไพรส์แบบไหนหรือจะใช้คำไหนบอกก็เลยพาเกี๊ยวมาที่นี่แทน” ความซื่อในเรื่องพวกนี้ของรอยส์ทำให้ขวัญชีวายิ้มเขินออกมา“พูดคำง่ายๆ ว่าเราแต่งงานกันไหม แค่นี้ก็ได้ค่ะ”“เราแต่งงานกันไหมครับ” รอยส์พูดตามที่ขวัญชีวาแนะนำทันที เขาคิดเรื่องแต่งงานกับเธอมานานแล้วจึงไม่แปลกหากอยากแต่งงานทันที “ผมรักคุณ”“เกี๊ยวก็รักคุณ”“เราแต่งงานกันนะ”“นี่คุณยังไม่ล้มเลิกเรื่องขอฉันแต่งงานอีกเหรอ”“ยังครับ ถ้าวันนี้คุณไม่ตอบวันต่อๆ ไปผมก็จะพูดแบ
เพราะคิดถึงและโหยหาส่งผลให้สัมผัสของรอยส์นั้นเต็มไปด้วยความร้อนแรง ชายหนุ่มอุ้มขวัญชีวาจนตัวเธอลอยขึ้นจากพื้นแล้วก้าวยาวๆ ไปยังห้องพักผ่อนที่อยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้าน ทันทีที่มาถึงเขาก็วางเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่ที่อยู่ริมหน้าต่างแล้วโน้มตัวลงไปเล้าโลมอย่างคิดถึงพร้อมกระซิบถาม“คิดถึงผมหรือเปล่า”“คิดถึงค่ะ คิดถึงมากจนฝันถึงทุกคืน” คำตอบจากขวัญชีวาทำให้ซีอีโอหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะมอบจูบให้เธอ นั่นทำให้คนในอ้อมกอดครางกระเส่าออกมาอย่างต่อเนื่อง ความเสียวซ่านวาบหวามที่แสนคิดถึงทำให้เธอร้อนรุ่มไปทั้งตัวเพราะคิดถึงจังหวะรักของทั้งคู่จึงร้อนแรงและโหยหา เวลานี้ต่างช่วยกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้หลุดพ้นไปจากร่างกายโดยเฉพาะส่วนสำคัญที่ต้องไร้การขวางกั้น การเล้าโลมเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวทั้งสองก็อดใจไม่ไหวนั่นทำให้การสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงในขณะที่สะโพกสอบของรอยส์กำลังเคลื่อนไหวในจังหวะเข้าและออกหนักๆ เม็ดยอดสีชมพูบนหน้าอกอวบที่เวลานี้เปลือยเปล่าของขวัญชีวาช่างท้าทายสายตาเขาเ
แม้จะมั่นใจว่ารอยส์นั้นรักขวัญชีวาถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน แต่ภูริชก็ไม่วายบอกข่าวผิดๆ แก่รอยส์ นั่นทำเอาซีอีโอหนุ่มถึงกับหัวร้อนแล้วรีบบึ่งรถไปหาขวัญชีวาที่บ้านทันที“คุณจะทิ้งผมจริงๆ เหรอ”“ทิ้งคุณ!” สีหน้าและแววตาของขวัญชีวางุนงงอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะเธอไม่เคยคิดจะทิ้งรอยส์เลยแม้แต่ครั้งเดียวแล้วเขาโวยวายเรื่องนั้นขึ้นมาทำไม“ใช่ คุณหนึ่งบอกว่าคุณจะไปอยู่ที่ฟินแลนด์ด้วย แล้วผมละครับ คุณจะเอาผมไปวางไว้ตรงไหน” นอกจากโวยวายแล้วรอยส์ยังร้อนใจจนเก็บอาการไม่อยู่“วางไว้ที่เดิมค่ะ”“คุณเกี๊ยว”“ดื่มน้ำดับอารมณ์ร้อนก่อนดีไหมคะ” ขวัญชีวายังคงแสดงท่าทางสบายๆ ไม่ได้ร้อนรนอะไร“ไม่ครับ” น้ำเสียงห้วนๆ ของรอยส์เอ่ยรับขึ้น“ถ้างั้นก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ ฉันจะตามน้องกวินท์ไปที่ฟินแลนด์จริงๆ แต่แค่ไปส่งแล้วกลับค่ะไม่ได้ไปอยู่ถาวร”
อาการป่วยของกวินท์ดีวันดีคืน หมอจึงอนุญาตให้เด็กชายกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แต่ข่าวดีนี้ก็ถูกกลบด้วยบรรยากาศที่อึมครึมเมื่อพลอยใสเดินทางมาถึงเมืองไทยเพื่อคุยเรื่องหย่ากับภูริชเธอยังคงยืนกรานที่จะไม่หย่าในขณะที่ภูริชก็ยืนกรานที่จะหย่าเช่นกัน สุดท้ายภูริชก็ฟ้องหย่าและเพราะไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่โตจนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทางครอบบครัวของพลอยใสจึงกดดันให้ลูกสาวคนโตยอมเซ็นใบหย่าเงียบๆต่อให้พลอยใสอยากเอาชนะภูริชมากขนาดไหนสุดท้ายก็ทนแรงกดดันจากคนในครอบครัวที่ไม่มีใครเข้าข้างเธอเลยสักคนไม่ได้ เมื่อหย่าเสร็จเธอก็บินกลับไปใช้ชีวิตที่บอสตันส่วนภูริชก็มีคำสั่งจากบริษัทให้ย้ายไปทำงานที่ฟินแลนด์เช่นกัน เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากพากวินท์ไปด้วยทันทีที่ได้รู้ขวัญชีวาก็ถึงกับซึมนั่นเพราะไม่คิดว่าเธอจะต้องอยู่ห่างกับกวินท์ไกลถึงขนาดนั้น แต่ก็ยอมรับว่าที่นั่นดีต่อการดำเนินชีวิตของกวินท์ อีกอย่างเธอเป็นแค่ป้าคงไม่มีสิทธิ์เท่าพ่อแท้ๆ“ทำไมพี่หนึ่งใจร้ายกับแกแบบนั้น” ปิยะดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจที่จู่ๆ
“ขอบคุณมากนะครับที่คอยช่วยเหลือลูกชายผมกับเกี๊ยว” เมื่อมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ภูริชก็เอ่ยกับรอยส์ขึ้น“ผมยินดีและเต็มใจที่ได้ช่วยครับ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”“เกี๊ยวบอกว่าคุณเป็นเจ้านายเธอที่บริษัท”“ใช่ครับ เราทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว แต่จู่ๆ คุณเกี๊ยวก็ขอลาออกผมเลยรู้ว่าเธอกำลังมีปัญหา” หากไม่มีใบลาออกใบนั้นรอยส์ก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ขวัญชีวาบ้าง“ผมเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนเลยจริงๆ” ยิ่งคิดภูริชก็ยิ่งรู้สึกผิด ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกลูกชายเกลียดเอา“อย่าโทษตัวเองเลยครับเพราะอย่างน้อยตอนนี้คุณก็รู้ทุกอย่างแล้ว รู้ก่อนที่มันจะสายไป”“ผมเคยทำผิดแล้วครั้งหนึ่งที่เลิกรากับกุ้งโดยไม่รู้ว่าเธอกำลังตั้งท้องมารู้อีกทีคือวันที่ผมบินกลับร่วมงานศพของเธอ แต่แล้วก็ยังปล่อยปะละเลยชีวิตของกวินท์กับเกี๊ยวจนทำให้ทั้งคู่ลำบาก” ยิ่งคิดภูริชก็ยิ่งรู้สึกผิดหลังจากนี้เ
“เรากลับมาคุยกันก่อนนะคะคุณหนึ่ง” แม้จะไม่พอใจที่สามีบินกลับเมืองไทยโดยไม่บอกเธอ แต่สถานการณ์ในตอนนี้พลอยใสก็ต้องหว่านล้อมสามีให้กลับมาหาเธอให้ได้เสียก่อน “ต่อจากนี้เราคงไม่ต้องคุยอะไรกันอีก”“ไม่นะคะไม่ ถ้าคุณไม่สะดวกบินมาฉันจะบินไปหาคุณเพื่ออธิบายทุกอย่างเอง นะคะ”“อย่าเสียเวลาเลย”“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงหรือคุณจะหย่ากับฉันอย่างนั้นเหรอ”“ใช่”“คุณหนึ่ง!”“ผมคงใช้ชีวิตกับคุณต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราหย่ากันน่าจะดีที่สุด” เรื่องหย่าอยู่ในหัวของภูริชมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่แต่งงานกับพลอยใสด้วยซ้ำ เพียงแค่ที่ผ่านมาเขาพยายามไม่คิดถึงเรื่องหย่าและคิดว่าทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเพราะหลังจากเลิกรากับปานชีวาน้องสาวของ ขวัญชีวาไม่นานเขาก็แต่งงานสายฟ้าแลบกับเธอ ที่ตัดสินใจแต่งงานทันทีเพราะผู้ใหญ่บีบบังคับบวกกับเขาต้องการใครสักคนเพื่อให้ลืมปานชีวา จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บอสตันโดยเขาไปทำงานในขณะที่พลอยใสก็ตามไปดูแลแต่ไ