พระจันทร์สองใจ
[1]
บ่วงพิศวาส
“ฟังให้ดีๆ นะคะ ฉันไม่ได้ขอให้พี่มาแต่งงานกับฉัน หรือคบกับฉัน ไม่จำเป็นต้องรักฉันด้วย พี่แค่ทำยังไงก็ได้ ให้ฉันท้องก็พอ! โอเคนะ!”
นั่นคือประโยคที่กำลังรบกวนจิตใจของ ศศิน ศิวเศขร อย่างหนักหน่วง แม่สาวจอมแสบช่างใจกล้าหน้าด้านมาพูดแบบนั้น หล่อนคงเพี้ยนหรือไม่ก็บ้าไปแล้ว นี่เขาคือใครล่ะ เขาคือ ศศินนะ บิ๊กบอสของ ศิวเศขร คอร์ปอเรชั่น หล่อนกล้าดีอย่างไรมาเสนออะไรพิลึกพิลั่นปานนั้น แม้ทางครอบครัวจะสนิทสนมกัน แต่เขาไม่ได้สนิทกับหล่อนจนเห็นว่าเรื่องที่หล่อนเอ่ยมาจะสามารถตกลงกันได้ด้วยดี บิดาที่รักคิดอะไรอยู่ถึงได้ให้ความร่วมมือกับคนพวกนั้น น่าโมโหจริงๆ แค่ที่ยอมบริจาคสเปิร์มให้เจ้าหล่อนไปทำกิ๊ฟท์ถึงสามครั้ง มันก็มากพอแล้วนะ นับว่าเป็นความกรุณาอย่างที่สุดจากเขาแล้ว
“อา...น่าหงุดหงิดจริงๆ ทำไมหยุดคิดเรื่องยัยบ้านั่นไม่ได้นะ”
ศศินรำคาญตัวเอง เขาวางปากกาลงเมื่อใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่งคอยแต่เข้ามารบกวนจิตใจ กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นกับเขา มันปฏิเสธได้ยากนักในเมื่อมีเรื่องความเป็นความตายเข้ามาข้องเกี่ยว ทว่า...เขาไม่เชื่อทั้งหมดหรอกนะ เขารู้ดีว่าบิดาที่รักกำลังทำสิ่งใดอยู่ ท่านคงหวังให้เขายอมแต่งงานกับยัยตัวแสบ บุตรสาวของผู้มีพระคุณของท่านสินะ แต่อย่าเลย เขายังไม่คิดเรื่องแต่งงานหรอก ยังพอใจในชีวิตอันราบเรียบของตัวเองอยู่
ด้านนอกตึกสูง ท้องฟ้ามืดครึ้มราวราตรีกาล เมฆฝนตั้งเค้ามาตั้งแต่เมื่อเช้า และกำลังตกกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ศศินปัดความคิดเรื่องยัยตัวป่วนออกจากสมอง เขาลุกจากเก้าอี้ทำงาน ร่างสูงสง่าในชุดสูทพอดีตัว ดูปราดเปรียวแคล่วคล่องด้วยการตัดเย็บอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมทาบอยู่ตัวเขาราวกับจับวาง มันพอเหมาะ เข้ารูปจนดูเซ็กซี่แม้เป็นชุดสูทภูมิฐาน
ชายหนุ่มก้าวออกจากห้องทำงาน ใช้ลิฟต์โดยสารเพื่อลงมาด้านล่างพร้อมกับร่มหนึ่งคันในมือ เนื่องด้วยทางเดินที่ทอดสู่ลานจอดรถไร้ที่กำบัง เลขาคนเก่งของเขาเลยเตรียมร่มไว้ให้
จากชั้นยี่สิบลงมาถึงล็อบบีด้านล่างสุดที่โอ่โถงยิ่งกว่าล็อบบีของโรงแรมห้าดาว เวลานี้พนักงานคงกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือเพียงหน่วยรักษาความปลอดภัยกับบรรดาแม่บ้านล่วงเวลาที่กำลังทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง เขาเดินช้าๆ เหลือบมองผนังกระจกโดยรอบ แลเห็นเค้าโครงใบหน้าของตัวเอง มีแต่คนชมชอบใบหน้านี้ ใบหน้างดงามราวกับเทพบุตรผู้มาจากดวงจันทร์ โครงหน้าคมประหนึ่งชาวตะวันตกทั้งที่ไม่มีใครในตระกูลเป็นชาวต่างชาติ คิ้วดกหนาพาดเหนือดวงตาคมดุ จมูกโด่งจนน่าใจหาย ริมฝีปากรูปกระจับที่ไร้การคลี่ยิ้ม
ใบหน้านี้หรือที่ใครๆ ลงความเห็นว่ามันดูดี ไม่รู้สิ...เขารู้สึกเฉยๆ กับมัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา การศึกษาหรือชาติตระกูลและความมั่งคั่ง เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมัน อาจเป็นเพราะชีวิตของเขานี้ สมบูรณ์แบบเกินไปจนน่ารำคาญกระมัง
ศศินคิดผิดอย่างสิ้นเชิงเรื่องพนักงาน ยังมีหนึ่งสตรียืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเขา ร่มที่ถืออยู่ในมือกางออกจนสุด เขาจ้องคนที่ยืนอยู่ เจ้าหล่อนดูกระวนกระวาย ทั้งยังพลิกข้อมือดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่าสลับกับมองหยาดพิรุณที่กำลังกระหน่ำเท
“ยังไม่กลับหรือครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยวาจาถามไถ่ ปกติแล้วพนักงานระดับล่างๆ เขาจะไม่ค่อยเสวนาด้วย ทว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้านี้ กลับดึงดูดให้เขาต้องเอ่ยวาจา หล่อนอยู่ในชุดสูทแบบสาวออฟฟิศ ตัวสูงเกือบจะเท่าเขา ผมของหล่อนยาวประบ่า เซตยุ่งๆ แบบสาวแดนโสม ชุดสูทแบบกางเกงนั้นทำให้เขาเห็นช่วงขาอันเพรียวยาว และเมื่อหล่อนหันมา ใบหน้างดงามก็ทำให้ใจเขาไหวสั่น ใบหน้าที่ดูตื่นตระหนกกลับประทับในหัวใจเขาอย่างน่าตกใจเช่นกัน
“คะ? บะ...บอส เอ่อ...ยังค่ะ...บอสก็เพิ่งกลับหรือคะ”
รวีกานต์ ภคินี ตอบออกไปอย่างประหม่า ไอฝนถูกลมพัดเข้ามา ทว่าไม่ทำให้เธอหนาวเย็นได้เท่ากับการสานสบสายตากับชายรูปงาม
ศศินไม่ตอบในสิ่งที่ไม่จำเป็น “ค่ำมากแล้ว กลับเถอะครับ”
“ค่ะ ฉันรอฝนหยุดน่ะ ถ้าเดินไปป้ายรถเมล์ตอนนี้คงได้เปียกซ่ก ฉันยังต้องไปต่อรถไฟฟ้าอีก ถ้าเปียกคงไม่ดีแน่ๆ ความจริงฉันรอฝนหยุดมาตั้งชั่วโมงแล้วค่ะ”
รวีกานต์เอ่ยรัวเป็นชุด ใจยังเต้นตึกๆ ทำงานที่นี่มาเกือบแปดปี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้คุยกับบอสใหญ่ อย่างเป็นส่วนตัวเสียด้วย
“เอาร่มผมไปก็ได้”
“คะ? แบบนั้นไม่ดีหรอกค่ะ”
ร่มสีนิลสนิทถูกยื่นมาให้รวีกานต์ หญิงสาวรับไว้ด้วยความตื่นเต้นปนมึนงง ก่อนที่ร่างสูงจะวิ่งฝ่าสายฝนไปที่รถของตัวเอง รวีกานต์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอศกรีมช็อกโกแลต มันกำลังละลายเพราะถูกมองจากสายตาเขาและกับสิ่งดีๆ ที่เขามอบให้
“ให้ตายเถอะ! ถ้ารู้ว่าถอดแว่นแล้วโชคดีขนาดนี้ ฉันถอดไปตั้งนานแล้ว”
รวีกานต์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าถือ กำแว่นสายตาแน่นๆ น่าดีใจไหมเล่าที่เธอได้คุยกับเขา บอสใหญ่ หรือรุ่นพี่ที่เธอเคยแอบปลื้ม เธอเคยเรียนที่เดียวกับเขานะ แต่เขาคงจำเธอไม่ได้หรอก แน่ล่ะ เธอกับเพื่อนรักเป็นได้แค่หิ่งห้อยตัวน้อยๆ ตอนอยู่ใต้รั้วมหาวิทยาลัย แต่เขาสิ เขาเหมือนพระจันทร์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงกระจ่างฟ้า เป็นเดือนมหาลัยที่ใครๆ ต่างกล่าวขาน โอ...เหมือนฝันเลย นี่เธอได้คุยกับเขาจริงๆ ใช่ไหม ต้องขอบคุณใครดีนะ ขอบคุณพ่อเด็กน้อยที่ร้านกาแฟดีไหมที่แนะให้เธอถอดแว่นคุณป้าแล้วมาใส่คอนแทคเลนส์แทน
ตกค่ำ วันเดียวกันศศินเดินเข้ามาในห้องอย่างมึนงง เขายังไม่ชินนักกับการมีเวนิสาอยู่ร่วมชายคา ไม่ชินกับอากาศเย็นๆ ของแอร์ในห้องด้วย ปกติแล้วเมื่อกลับมาถึงบ้านแบบนี้ เขาต้องรอหลายนาทีกว่าแอร์จะเย็น ตอนนี้เวนิสาหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง หล่อนขยับกายเล็กน้อย คงได้ยินเสียงเขาเดินเข้ามา“อะไรกัน นอนหลับอะไรป่านนี้ หรือว่าจะไม่สบาย” ถามตัวเองแล้วเดินเข้าไปดู กล้าๆ เกร็งๆ แต่สุดท้ายก็เลื่อนหลังมือไปอังหน้าผากมน มีไออุ่นแผ่ออกมาเล็กน้อย“ไม่ได้ป่วยแฮะ สงสัยจะเสียเลือดมากจนเพลีย”ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียง พิจารณาวงหน้างามของคนหลับอย่างทึ่งๆ ใบหน้าเรียวสวยนี่เข้ามาวนเวียนในสมองเขากว่าปีมาแล้ว สลัดอย่างไรก็ไม่พ้น หล่อนเป็นตัวปัญหาที่พาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้ เป็นยัยตัวแสบที่แสนดื้อ น่าจับตีก้นเป็นที่สุด เขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่เวนิสามีต่อเขามันปกติธรรมดาหรือว่าพิเศษ หล่อนไม่เคยปริปากบอกอะไร แค่แสดงให้เขารู้ว่าหล่อนมีความจริงจังในสิ่งที่ต้องการก็แค่นั้น“อย่าฝันถึงเรื่องอีโรติก สำหรับเธอกับฉันมันต้องฮาร์ดคอร์เท่านั้น”
ประตูห้องน้ำปิดลงแทนคำตอบที่ศศินควรได้รับ เขายืนอึ้งอยู่หน้าห้องน้ำ อะไรกันเล่า มีเลือดออกขนาดนั้นยังยืนแหกปากอยู่ได้ ไม่เจ็บไม่ปวดบ้างหรืออย่างไร!“กรี๊ดดด!!!”“อะไร! วีนัส! เกิดอะไรขึ้นฮะ!”“เกิดเหตุฆาตกรรมในห้องน้ำ! เลือดโชกมาก ฮือออ...”ศศินส่ายหัวระอา ทั้งถอนหายใจอย่างโล่งอก มั่นใจได้เลยว่าเวนิสายังอยู่รอดปลอดภัย ฟังจากเสียงกรีดร้องนั่นเถอะ“ให้เรียกรถพยาบาลไหม”“ประชดฉันเหรอ! ผู้ชายไม่เคยเข้าใจอะไรหรอกน่า”“แน่นอน ถ้าเธอไม่เป็นอะไร งั้นฉันไปทำงานแล้วนะ อย่าลืมเคลียร์พื้นที่เกิดเหตุด้วยล่ะ อย่าให้เหลือร่องรอย ไม่งั้นคืนนี้ฉันจะให้เธอนอนในนั้น โอเคนะ!”ศศินร้องผ่านบานประตู เขาถอยออกมาจากตรงนั้น มายืนผูกเนกไทอยู่ข้างเตียง แล้วเสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นหัวใจศศินเต้นรัว เวนิสาโผล่ส่วนศีรษะถึงหัวไหล่ขาวๆ ออกมา หน้าตาเต็มไปด้วยหยดน้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แต่หล่อนยังยิ้มทะเล้นน่าตี“อย่าลืมทานมื้อเช้าก่อนไปทำงานน้า ขับรถดีๆ นะคะพ
“ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ลำบาก” คนสวยแต่โทรมเอ่ยขึ้นยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาจ้องเธอนิ่งนาน เธอคงโทรมจนน่าตกใจ หรือไม่ก็ เขาคงระอากับตัวภาระอย่างเธอหัวใจของศศินเต้นผิดจังหวะยามได้ยินเสียงอ่อนแรงของเวนิสา หล่อนดูน่าสงสาร น่าทะนุถนอม แต่ว่า...เขาคงถนอมหล่อนไม่ลง เพราะสำหรับเขานั้น เวนิสาคือตัวปัญหาดีๆ นี่เองชายหนุ่มหันกลับไปนอนบนเตียง ตั้งใจว่าคราวนี้จะหลับลึกไม่ลุกขึ้นมาอีก แต่ความตั้งใจของเขาก็มีอันต้องพังยับตุ้บ!“โอ๊ย! ก้นฉัน!!”“นี่!? ฉันจะนอน!”ศศินดิ้นพล่านเตะลมอากาศอย่างขุ่นเคือง นี่แค่คืนแรกนะ ชีวิตเขาคงไร้ความสงบไปอีกสองเดือนกับยี่สิบเก้าวันใช่ไหม!“ฮือ...พี่ขา ฉันตกเก้าอี้...”คนสวยส่งเสียงร้องฮือๆ อย่างน่ารำคาญ มือข้างหนึ่งลูบบั้นท้ายป้อยๆ บอกแล้วว่าการนอนบนอะไรที่เล็กกว่าเตียง เป็นการท้าทายความสามารถของเธอ และในที่สุด เธอก็พ่ายแพ้บิ๊กบอสแห่งศิวเศขรเม้มปากแน่นๆ มองไปที่เวนิสาอย่างข่มใจมิให้ร้องด่าหล่อน ก่อนฝืนใจกวักมือเรียก“คะ?”“จนได้นะ
“ปิดไฟด้วยสิ” เขาสั่งเวนิสาลุกไปปิดไฟดวงใหญ่ เหลือไว้เพียงไฟห้องน้ำ“ปิดให้หมด”“ไม่ ฉันนอนไม่หลับถ้าไม่มีแสงไฟ อีกอย่าง...วันนี้วันแดงเดือด ฉันต้องเข้าห้องน้ำบ่อยแน่ๆ พี่ก็นอนๆ ไปเถอะน่า” บ่นให้เขาอย่างนึกรำคาญ ผู้ชายอะไรจู้จี้ชะมัด มองคนนี่มองแค่ภายในนอกไม่ได้จริงๆ ไม่รู้เธอปลื้มเขาเข้าไปได้ยังไงนะ เจอเขาครั้งแรกเธอคงเมาขี้ตาจนเห็นซาตานเป็นเจ้าชายโอ๊ย...หงุดหงิดตัวเอง!หญิงสาวพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่หลายนาที แปลกที่ว่ามากแล้ว ที่นอนไม่ได้ดั่งใจยิ่งน่าหงุดหงิดกว่า สุดท้ายก็นอนไม่หลับ ลุกมานั่งแช็ตไลน์กับเพื่อนทั้งสอง แช็ตไปแช็ตมา อาการปวดท้องเมนส์ก็กำเริบ ต้องรีบหายามารับประทาน น่าตกใจที่มันเหลือติดกระปุกแค่เม็ดเดียวเท่านั้น แต่นี่วันที่สองแล้ว คงไม่ปวดเท่าวันแรกกระมัง“พี่...หลับแล้วเหรอ” ถามเขาแต่ได้รับเพียงความเงียบ เธอจัดการปิดแช็ตไลน์เพราะนาฬิกาบอกว่าดึกมากแล้ว ศศินหลับง่ายเหลือเกิน เธอนอนลงบ้าง หนาวนิดหน่อยเพราะไม่มีผ้าห่ม แต่ช่างเถอะ เขานอนแล้ว และเธอไม่อยากเข้าไปรื้อข้าวของหาผ้านวมในห้องแ
[2]จูบนี้ที่รอคอย_______________หญิงสาวหยิบเสื้อผ้าขึ้นแขวน ปากก็บ่นพึมพำให้พรพ่อยอดดวงใจของรวีกานต์ ก็จริงที่เธอเองก็ปลื้มเขาไม่น้อย แต่พอได้ยินวาจาคมกริบปานใบมีดนั้น ก็ชักจะปลื้มไม่ลง ทีกับคนอื่นทำมาดนิ่งสุขุม ติดเย็นชาด้วยซ้ำ ทีกับเธอนี่พร้อมจะเผากันให้ตายด้วยวาจานั่น น่าโมโห!“ทำไมต้องเป็นฉันด้วยก็ไม่รู้ น่าหงุดหงิดจริงๆ” เขาบ่นอย่างระอา“นี่! มีเซ็กซ์กับฉันนี่มันไม่น่ารื่นเริงใจเลยหรือไง ฉันไม่ดีตรงไหนฮะ!”เวนิสามีเคือง เขาพูดอย่างกับเธอหน้าตาน่าเกลียดจนกอดไม่ลงศศินไม่พูด มองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช่...เวนิสาเป็นคนสวย หุ่นดี สมบูรณ์แบบเลยล่ะ และด้วยความสมบูรณ์แบบเกินไปมันทำให้เขาหงุดหงิด หล่อนคงมีหนุ่มๆ ดาหน้ามาจีบเป็นขบวน ทำไมไม่เลือกสักคนในกลุ่มคนพวกนั้น ทำไมต้องเป็นเขาด้วยก็ไม่รู้“ฉันไม่มีอารมณ์ ไปอาบน้ำแล้วนอนซะ”เวนิสาเบะปากใส่ ภารกิจทำลูกเพื่อความอยู่รอดจะไปรอดไหม คืนแรกก็กัดกันเป็นหมาแล้วศศินปรายหางตามองแม่
ณ ร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง ภายในโรงแรมที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบริษัทศิวเศขรมากนัก รวีกานต์นั่งใจเต้นตึกๆ อยู่ต่อหน้าบิ๊กบอสผู้หล่อเหลา มีสาวๆ มากกว่าห้าโต๊ะจ้องมองมาทางนี้ แน่ล่ะ ทุกสายตามองมาที่เธอราวอยากจะฆ่า แต่รวีกานต์ไม่สนหรอกนะ เชิญอิจฉาให้อกแตกตาย วันนี้ศศินเป็นของเธอคนเดียวเท่านั้น!“ไม่หิวหรือครับ” บุรุษผู้สมบูรณ์แบบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ต่อหน้า เจ้าหล่อนยังไม่ยอมจับมีดขึ้นมาหั่นสเต๊กสักคำ“เอ่อ...ค่ะ หิวค่ะ ฉันแค่ไม่ชินกับความหรูน่ะ” เธอตอบตามจริง มองศศินแล้วหยิบมีดและส้อมตามเขา ค่อยๆ หั่นเนื้อคำเล็กๆ เขาปาก รสชาติของมันแทบจะละลายในปากเลยดีเทียว “โอ...อร่อย”ศศินมีรอยยิ้มบางๆ ไม่เคยเห็นกิริยาอันเปิดเผยของเหล่าสตรีมากนัก เพราะหากเจ้าหล่อนทั้งหลายได้มานั่งตรงหน้าเขาแล้วละก็ ส่วนมากจะสงวนท่าที จะทำทุกวิถีทางให้ดูสมบูรณ์แบบเพื่อคู่ควรกับเขารวีกานต์เริ่มอร่อยกับอาหารในจานของตัวเอง เธอหั่นเนื้อชิ้นโตเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ห่วงสวย“คงถูกปากนะครับ” เขาถามแล
วันนี้อากาศสดใสไร้ลมฝน ศิวเศขร คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงเปิดทำการเฉกเช่นวันอื่นๆ วันศุกร์สุดสัปดาห์อย่างนี้ดูเหมือนจะเป็นวันดีๆ ของพนักงานหลายๆ คน ยกเว้นรวีกานต์ เพราะสาวมั่นคนงามอยากให้วันนี้เป็นวันจันทร์ จะได้มาแอบมองบอสใหญ่อีก เขาจะเดินผ่านเธอไปยังลิฟต์โดยสาร เพื่อขึ้นไปยังห้องทำงานที่ชั้นยี่สิบ เธอจะรีบมาก่อนเวลา ทำทีเป็นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ล็อบบีด้านล่างเพื่อรอการมาของเขาวันนี้ก็เช่นกัน เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม วงหน้าขาวจัดนั่นประหนึ่งไม่เคยโดนแสงแดด เขาทักทายพนักงานพอเป็นพิธี ไม่ได้คลี่ยิ้ม เพียงแค่ก้มหน้าให้เล็กน้อยยามสบตาคนที่ยืนรอ เธอมองเขาจนเขาเดินเข้าลิฟต์ไป แน่นอนว่าหลังจากนั้นเธอต้องวิ่งสี่คูณร้อยเพื่อไปให้ทันเวลาสแกนบัตรเข้างานของตัวเองใกล้เวลาพักเที่ยง รวีกานต์ด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้องบอสใหญ่ เลขาของเขากำลังจัดเก็บแฟ้มงานให้เรียงกันเป็นตั้ง บุรุษร่างผอมแกรน อายุมากกว่าเธอหลายปี หันมามองเธออย่างใคร่รู้ แน่ล่ะ เกือบแปดปีที่ทำงานที่นี่ เธอไม่เคยขึ้นมาถึงชั้นนี้เลยนี่นา“เอ่อ...มีธุระอะไรหรือเปล่าครั
คฤหาสน์ ศิวเศขร เวลา 21:30 นาฬิกาศศินลงรถมาด้วยความสงสัย รถของบ้านโน้นเพิ่งขับสวนรถเขาออกไป เขาจำได้ดี มาทำไมดึกดื่นมืดค่ำขนาดนี้ก็ไม่รู้ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในคฤหาสน์หลังงามปานวังเจ้าชาย แม้ปราสาทจะกว้างใหญ่แต่ความอบอุ่นไม่ค่อยมีมากนัก นั่นเพราะทุกเวลานาทีของเขามีค่ายิ่ง เขาเลยไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพื่อทำหน้าที่ลูกที่ดี“มาแล้วเหรอ วันนี้กลับเร็วนะ”บุรุษสูงวัยในชุดลำลอง นั่งไขว่ห้างอย่างมีมาดอยู่ที่เก้าอี้ตัวโปรด บนโต๊ะตรงหน้ายังมีกาน้ำชาลายสวยตั้งวางไว้ ถ้วยชาสองใบเล็กๆ วางไว้ห่างจากกัน ใบหนึ่งนั้นปรากฏว่ามีไอร้อนลอยขึ้นมาให้เห็น“บ้านโน้นมาอีกแล้วหรือครับ จะมาจับผมรีดน้ำเชื้ออีกหรือไง” ถามอย่างเคืองๆ“เฮ้อ...ฟังแกพูดเข้าสิ ปากจัดยิ่งกว่ากรรไกรผ่าตัดซะอีก”ศศินเมินคำประชดของบิดาเสีย เขาถอดสูทพาดไว้ตรงพนักเก้าอี้ แล้วนั่งลงตรงข้ามท่าน โซฟาบุผ้าไหมลายสวยไม่ได้ทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นมาเลย“ตอบผมก่อนสิครับ”วศิน ศิวเศขร มองบุตรชายยิ้มๆ รู้ละว่าสิ่งใดจะเกิดยามท่านเอื้อนเอ่ย
“สงวนมาสามสิบปี ไข่แดงยังอยู่ไม่โดนจิ้มสักที คนสวยเครียดค่ะเจ๊” เวนิสาคร่ำครวญ ความสมบูรณ์แบบเกินไปก็ทำให้ผู้ชายขยาด คงคิดเอาว่าสวยๆ อย่างนี้น่าจะมีแฟนแล้วเลยไม่มีใครกล้าจีบ ให้ตายสิ!“ว่าไปนั่น ฉันว่าอีกไม่นานแกคงเสร็จคุณนายแม่ โดนจับแต่งงานกับอีตาเจ้าของสเปิร์มชัวร์!” รวีกานต์เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ“แหม...ถ้าเขายอมแต่งฉันก็แต่งนะ คนนี้น่ะข้อยกเว้น โอ้ว! คนอะไร หล่อ รวย ตัวสูงด้วย ปากน่าจูบอีกต่างหาก โอ๊ย...อยากจะพลีร่างให้เดี๋ยวนี้เลย”เวนิสาทำหน้าเคลิ้มฝัน สองเพื่อนรักส่ายหน้าทำท่าแขยง ก่อนจะหยิบน่องไก่ชิ้นหนึ่งยัดเข้าปากชะนีสายหื่น“พูดซะอยากจะเห็นหน้าเลย บอกมาซิ เขาเป็นใคร”กะเทยร่างหมีถามมา แต่เวนิสาส่ายหน้าพรืด“บอกไม่ได้ เดี๋ยวโดนฟ้อง แม่บอกว่าเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เอาเรื่องบ้าๆ นี่ไปขอให้เขาช่วย ฉันต้องปิดเป็นความลับ ห้ามเปิดเผยว่าเขาเป็นใคร แต่ว่า...ถ้าเอ่ยชื่อออกไปใครๆ ก็คงรู้จัก เพราะเขาฮอตมาก!”“เฮ้อ...เกิดเป็นคนรวยนี่ดีจริงๆ ทำอะไรเพี้ยนๆ ได้หน้าตาเฉย เอ