หน้าหลัก / แฟนตาซี / พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ / ตอนที่ 1 : เริ่มต้นใหม่..บนเส้นทางสายเก่า

แชร์

ตอนที่ 1 : เริ่มต้นใหม่..บนเส้นทางสายเก่า

ผู้เขียน: บุปผารัญจวน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-22 18:27:33

อินทุภากำลังปอกมันฝรั่ง หลังจากหั่นหอมหัวใหญ่และมะเขือเทศเสร็จเรียบร้อย เธอเตรียมจะใส่ลงในหม้อที่กำลังเคี่ยวเนื้อวัวติดมันที่หั่นเป็นก้อนๆ กลิ่นหอมฉุยฟุ้งกระจายไปทั่วครัว เธอตั้งใจจะเคี่ยวให้นานหน่อย ตั้งใจทำให้เนื้อเปื่อยนุ่มเหมือนละลายในปาก เพื่อให้ผู้สูงอายุก็สามารถทานได้อย่างสบาย สตูเนื้อนี้เข้ากันได้ดีกับหมั่นโถวเนื้อนุ่ม ที่ญาติพี่น้องกำลังช่วยกันทำอยู่ในครัวด้านในตัวบ้าน  

เธอมาเมืองจีนเป็นครั้งแรกกับพ่อ เพื่อร่วมฉลองวันครบรอบอายุร้อยยี่สิบปีของคุณทวดซุนเหม่ยหลิง ซึ่งเป็นญาติสนิทกับคุณทวดเยว่ไท่อิงทวดของเธอเอง ในงานวันนี้ มีญาติพี่น้องมากมายจากหลายสกุลมาร่วมงาน เพื่อมาร่วมอวยพรกันอย่างคึกคัก

แม่ของคุณทวด เยว่ไท่อิง เดิมมีแซ่ซุน แต่เมื่อแต่งงานกับญาติห่างๆ ที่แซ่เยว่ จึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของสามี ทำให้พ่อของอินทุภาถือแซ่เยว่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขากลับใกล้ชิดกับญาติฝั่งตระกูลซุนมากกว่า 

อินทุภาทุ่มเทให้กับงานจนแทบไม่มีเวลาติดต่อกับญาติพี่น้อง เธอทำงานในบริษัทของแม่ในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายการผลิต ซึ่งรับผิดชอบด้านการผลิตและออกแบบเครื่องประดับ รวมถึงงานโฆษณาทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในธุรกิจทั้งหมดของมารดา นอกจากนี้ เธอยังทำงานฟรีแลนซ์ ออกแบบเครื่องประดับสตรีให้กับหลายแบรนด์ ทั้งที่มีชื่อเสียงและไม่มีชื่อเสียง บางรุ่นติดตลาดจนกลายเป็นเทรนด์สินค้าขายดีบนโซเชียลมีเดียหลายสัปดาห์ แม้ว่าเธอจะเป็นที่รู้จักแค่เพียงในแวดวงนักออกแบบ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จเล็กๆ ที่เธอรู้สึกพอใจแล้ว  

เวลาคิดงานไม่ออก อินทุภามักออกไปหาแรงบันดาลใจในยิมมวย สนามขี่ม้า สนามยิงปืน หรือสนามฝึกซ้อมธนู หากยังไม่ได้ผล เธอก็จะออกเดินทางไปต่างจังหวัด แบกเป้ตั้งแคมป์ในป่าเพื่อพักสมอง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเธอมีความสามารถด้านศิลปะป้องกันตัว ล่าสุดเพิ่งสอบได้ยูโดสายดำขั้นที่ห้า และยังถนัดหย่งชุน ซึ่งเหมาะกับสรีระที่เล็กบางของเธอ เพราะช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและว่องไว

คนที่สนใจอยากสานสัมพันธ์กับเธอ มักมองจากภายนอกแล้วคิดไปเองว่าเธอเป็นผู้หญิงอ่อนหวาน อ่อนโยน และบอบบาง จึงมักมีคนประเภท 'อัศวินผู้พิทักษ์' ที่ชอบเสนอตัวเข้ามาใกล้อยู่เสมอ แต่เมื่อได้รู้จักกันไปสักพัก พวกเขากลับขยาดและถอยห่างเป็นแถว โดยเฉพาะพวกมือปลาหมึกที่พอเจอท่าตัดหนวดของเธอเข้า ก็มักจะหนีหายไปหมด  

อินทุภาสูงร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร รูปร่างโปร่งบาง ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่งเหมือนแม่ที่เป็นคนทางเหนือ ผสมกับความขาวแบบลูกครึ่งไทย-จีนจากพ่อ เธอได้รับใบหน้าคมสันจากบิดา และดวงตากลมโตแววหวานจากมารดามาอย่างครบถ้วน ทำให้เป็นหญิงสาวที่รูปลักษณ์ดูสะดุดตา   

เธอรู้สึกว่าเธอโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น สมาชิกในบ้านเคารพในไลฟ์สไตล์ของกันและกันเสมอ เช่น พ่อที่ชอบเดินทางไปเป็นแพทย์อาสาตามประเทศต่างๆ ส่วนแม่เป็นนักธุรกิจที่มองเห็นโอกาสในทุกสิ่ง หยิบจับอะไรก็เป็นธุรกิจไปหมด ความสนใจของอินทุภาหลายอย่างก็ได้รับอิทธิพลจากมารดาเช่นกัน  

อรรพี แม่ของเธอ เป็นเจ้าของธุรกิจหลายประเภท ตั้งแต่ร้านอาหาร ร้านเครื่องประดับ ฟิตเนส ไปจนถึงโรงเรียนสอนดนตรี แน่นอนว่าหญิงสาวเองก็ซึมซับความสนใจด้านนี้ไปโดยปริยาย เพียงแต่เธอไม่ได้สนใจเครื่องดนตรีสากลเหมือนแม่ แต่กลับหลงใหลในเครื่องดนตรีจีน โดยเฉพาะผีผา ซอเอ้อหู และขลุ่ยผิว เวลาว่างๆ เธอกับแม่มักเล่นดนตรีร่วมกันเสมอ ส่วนพ่อก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ บางครั้งก็ร่วมวงโดยรับหน้าที่เป็นมือกลอง เคาะโต๊ะให้จังหวะ  

จิรพงศ์ หรือ เยว่หัว พ่อของอินทุภา เป็นแพทย์อายุรกรรมเฉพาะทางในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง คุณย่า-แม่ของพ่อที่เป็นชาวจีนมาพบรักกับหนุ่มไทย และตัดสินใจลงหลักปักฐานในประเทศไทย แต่ทุกปีพวกเขาจะพาคุณพ่อในสมัยเด็กกลับไปเยี่ยมคุณทวดที่ประเทศจีนเสมอ  

“อาอิง! ..อาอิง! ..เยว่อิง!”

อินทุภาสะดุ้ง เพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ได้ยินเสียงเรียกของซุนจ่งซาน ซึ่งเป็นญาติผู้พี่ดังมาแต่ไกล

“อยู่นี่ พี่ซาน!”

“เรียบร้อยหรือยัง? จะตั้งโต๊ะกินข้าวกันแล้วนะ”

“เสร็จพอดี จะยกไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ”

ซุนจ่งซานเดินเข้ามาในครัวแยกด้านนอกตัวบ้าน มือเท้าสะเอว กวาดตามองไปที่ถ้วยซุปที่วางเรียงรายอยู่ในถาดโดยรอบ

“จะต้องเดินกี่รอบกันล่ะนี่!?!” เขาบ่น คิ้วขมวดมุ่นจนญาติผู้น้องต้องหัวเราะ

“เรายกไปคนละถาดก่อน แล้วค่อยให้น้องๆ ข้างในมาช่วยยกถาดที่เหลือก็ได้” หญิงสาวพูดพร้อมวางถ้วยซุปร้อนๆ ถ้วยสุดท้ายลงในถาดอย่างเรียบร้อยครบตามจำนวนคน  

ซุนจ่งซานเข้ามาหยิบไปถาดหนึ่ง ยืนรอจนหญิงสาวยกอีกถาดขึ้น จากนั้นจึงเดินนำออกไปก่อน  

เขามองญาติผู้น้องตัวเล็กเชื้อสายไทยคนนี้ ด้วยความเอ็นดู อายุยี่สิบห้า แต่ใบหน้ากลับดูอ่อนกว่าวัย ราวกับเด็กสาวอายุสิบแปด ดูยังไงก็เหมือนสาวน้อย มากกว่าคนที่เข้าสู่วัยเบญจเพส ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ที่ทำให้เขารู้สึกถูกชะตา ยังมีนิสัยร่าเริง เป็นมิตรกับสิ่งรอบตัว และรอยยิ้มสดใสนั่นด้วย ที่เขารู้สึกชื่นชอบ 

“หลังกินข้าว พี่จะออกไปตรวจคนไข้ตามหมู่บ้านที่ค้างจากเมื่อวาน วันนี้จะไปด้วยกันอีกไหม? หรือเหนื่อยแล้ว?” ซุนจ่งซานถามขณะเดินเข้าตัวบ้าน  

“เมื่อวานได้ยินพี่บอกว่าจะเข้าเมือง หนูยังคิดอยู่เลยว่าจะติดรถตามไปด้วย”  

“เสร็จจากตรวจคนไข้ก่อน แล้วค่อยเข้าไปในเมือง พี่ว่าจะเอาสมุนไพรไปเพิ่มที่ร้าน”  

“พี่ซานอยู่เฝ้าร้านก็ได้นะ หนูไปเดินดูรอบๆ คนเดียวก็ได้” 

“โอเค แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวด้วยนะ เรามาต่างถิ่น คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”  

“เยส เซอร์!” อินทุภารับคำ ก่อนทำท่าตบเท้าแบบทหาร  

ซุนจ่งซานหันมายิ้มอย่างเอ็นดูจนตาหยีเป็นเส้นเดียว  

เมื่ออินทุภาก้าวเข้ามาในบ้าน สายตาก็ปะทะเข้ากับคุณทวด ผู้เป็นแขกสำคัญของงานเลี้ยง ซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ในตำแหน่งประธาน ท่านรูปร่างผอมบาง แม้จะอยู่บนรถเข็น แต่ยังดูสง่างามและเปี่ยมอำนาจ  ใบหน้าของท่าน  ดูอ่อนกว่าอายุจริง   เส้นผมสีดอกเลา เกล้ามวยไว้ข้างหลัง เสียบปิ่นหยกสีขาวราวกับหิมะ ไว้อย่างประณีต  

อินทุภาสังเกตว่า ตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ คุณทวดมักจะมองเธอนิ่งๆ อย่างพิจารณาแทบทุกครั้ง ที่สบตากันผ่านกรอบแว่นตาสีทอง เธอสัมผัสได้ถึงความครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่แววรังเกียจหรือเดียดฉันท์ คล้ายกับว่า ในดวงตาคู่นั้น กลับเต็มไปด้วยคำถาม ที่รอคอยการค้นหาคำตอบมากกว่า

“อาอิงมานั่งใกล้ๆ ทวดนี่” คุณทวดกวักมือเรียก พร้อมแตะพนักเก้าอี้ข้างๆ ตัว

“ไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหมวันนี้ กินข้าวเสร็จแล้ว อยู่คุยกับทวดหน่อยได้ไหม”

“ไปในเมืองกับผมครับย่า” ซุนจ่งซานตอบแทน

“อ้อ” คุณทวดแตะหลังมืออินทุภา ที่วางประสานมืออยู่บนตัก

“งั้นแวะไปหาทวดที่ห้องก่อนนะ ทวดมีอะไรจะให้ดู”

“ได้ค่ะ” อินทุภารับคำ ยิ้มกว้างจนดูสว่างสดใสไปทั้งใบหน้า ทำให้คุณทวดชะงักนิดหนึ่ง

“เหมือนกันจริงๆ” คุณทวดรำพึงออกมาเบาๆ

“อะไรนะคะ คุณทวด?” อินทุภาถามอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ถนัด คุณทวดได้สติ กะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะก้มหน้าน้อยๆ แล้วพูดตัดบท

“กินข้าวก่อน แล้วค่อยไปหาที่ห้อง”

………………………………….

อินทุภาหยุดยืนหน้าประตูห้องคุณทวด สายตาสอดส่องไปเห็นป้าลี่ก้มๆ เงยๆ ค้นหาบางสิ่งในลังไม้ใบใหญ่ของคุณทวด จนกระทั่งได้ยินเสียงอุทานอย่างดีใจ เมื่อพบสิ่งที่ตามหา  

“อันนี้ใช่ไหมเจ้าคะคุณท่าน! ลักษณะเหมือนที่คุณท่านบอกเป๊ะเลย” ป้าลี่เดินเข้ามาใกล้ ยื่นของในมือให้คุณทวดดูชัดๆ  

“อืม ใช่แล้ว! เออนะ..หามาตั้งนาน หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เหมือนมีใครเอาไปซ่อน! แล้วดูวันนี้สิ กลับหาเจอได้ง่ายๆ อย่างกับรู้ว่า..เจ้าของเขามาแล้ว” คุณทวดพูดพลางจ้องมองของสิ่งนั้นนิ่งนาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้น และเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู  

"อ้าว! อาอิงมาแล้วหรือ มานี่ มานั่งใกล้ๆ" คุณทวดเอ่ยเรียก เมื่อเห็นอินทุภายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้อง  

"เอ้า..เอาไปดูสิว่า สวยไหม?"  

อินทุภายื่นมือออกไปรับแหวนจากคุณทวด แหวนวงนั้นมีขนาดพอดี ไม่หนาหรือใหญ่จนเกินไป เป็นแหวนที่ทำจากหยก มีสีเหลืองเจือส้มแกมแดง ดูคล้ายสีของเปลวเพลิง มันวาวราวกับเคลือบขี้ผึ้ง ให้ความรู้สึกนุ่มนวลเหมือนปุยนุ่น  

สีสันของหยกสอดประสานกันเป็นลวดลายงดงาม ราวกับถูกแกะสลักขึ้นจากเนื้อหยกโดยธรรมชาติ พื้นผิวด้านนอกเรียบลื่นเป็นมัน เส้นสีแดงเข้มพาดซิกแซกตัดผ่านลวดลายอย่างลงตัว ส่วนที่เป็นสีขาวนั้นบริสุทธิ์ราวกับหิมะ เนื้อหยกละเอียดโปร่งใส ถือเป็นหยกคุณภาพสูง ไร้รอยตำหนิหรือรอยแตกร้าว ไม่มีมลทินภายนอก และปราศจากมลทินภายใน ที่มักพบเป็นแร่สีดำ หรือน้ำตาลเข้มกระจายเป็นหย่อมๆ

เธอเพ่งพินิจใกล้ๆ และแน่ใจว่าเป็นชนิดเดียวกันกับ ไวท์ เจไดต์ ที่เป็นหยกหาได้ยากมีราคาสูง และได้รับความนิยมรองจากหยกสีเขียวจักรพรรดิ ถ้าไม่เป็นแหวนสำหรับนิ้วก้อยของผู้ชาย ก็คงเป็นขนาดนิ้วกลางของผู้หญิง

“สวยค่ะคุณทวด สีสันในเนื้อหยก สอดผสานกันเป็นลวดลายดูสวยแปลกตามากๆ หนูเคยเห็นหยกมามากมายหลายชนิด แต่ไม่เคยเห็นหยกที่มีสี และลวดลายแบบนี้มาก่อนเลย”

"เก็บเอาไว้ให้ดี นี่เป็นของเก่าสมัยราชวงศ์ เป็นหยกประจำตระกูล ท่านฝากไว้ให้เป็นของแทนใจ ก่อนหนูจะมา หาแหวนเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ คิดไว้ว่า..ถ้าหาไม่เจอจริงๆ คงต้องให้ดูภาพวาดแทนไปก่อน"  คุณทวดกล่าวเสียงเรียบ พลางหันไปหยิบของที่วางอยู่บนโต๊ะ

"หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ! ของเก่าแบบนี้มีมูลค่าสูงมาก" อินทุภารีบยื่นแหวนคืนให้ แต่คุณทวดกลับไม่รับ  

"ดูนี่ก่อน" คุณทวดพูดตัดบท ก่อนยื่นม้วนภาพเขียนให้แทน  

หญิงสาวกำแหวนไว้มือหนึ่ง รับภาพมาแล้วค่อยๆ คลายม้วนออก ดวงตากลมหวานเบิกกว้างขึ้น เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าเต็มตา  

"ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรือคะ?" อินทุภาพึมพำเบาๆ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาวในภาพ "งดงามมาก... น่ารักเหมือนตุ๊กตาจีน"  

ภาพวาดนั้นละเอียดอ่อนจนแทบไม่น่าเชื่อว่าถูกวาดขึ้นด้วยมือ เส้นสายของแสงและเงาที่เก็บรายละเอียดไว้อย่างประณีต ทำให้ภาพแลดูสมจริงดูมีชีวิตชีวา ราวกับถูกถ่ายจากกล้องสมัยปัจจุบัน  

เธอเพ่งมองใบหน้าของหญิงสาวในภาพอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย 

"แปลกจัง... ใบหน้าคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก" อินทุภายืดภาพออกจนสุดแขน หวังจะมองรายละเอียดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น… 

เอ๋...!?!

เธอมองหน้าคุณทวด เห็นท่านกำลังยิ้มน้อยๆ มองอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะเอ่ยปากถาม

“เหมือนใช่ไหม? เห็นใช่ไหมว่าเหมือนใคร?” 

ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไร ก็เห็นคุณทวดหันหน้าไปทางเสียงที่กำลังจะเดินเข้ามาในห้อง จึงมองตาม

“อาอิง! คงต้องเลื่อนนัดแล้วล่ะ พี่ต้องไปดูลุงหมิ่น แกป่วยตั้งแต่เมื่อวาน เมียแกเพิ่งจะมาตามให้พี่ไปดูวันนี้ บ้านแกอยู่ไกลคงเสียเวลาทั้งวัน”

“ไม่เป็นไรพี่ หนูกำลังอยากอยู่คุยกับคุณทวดพอดี” เธอกำลังอยากรู้ ในสิ่งที่คุณทวดกำลังจะบอก

“งั้นพรุ่งนี้ค่อยเข้าเมือง ออกเช้าหน่อย ตื่นไหวไหม?”

“ไม่มีปัญหา!”

“ตามนั้น เออ! เตรียมคิดเมนูเย็นนี้ไว้ได้เลย ขากลับคงจะมีเนื้อหมูติดมือมาฝาก” ซุนจ่งซานพูด แล้วยิ้มอย่างนึกขัน

“แถวนั้นมีตลาดด้วยหรือคะ?” อินทุภาอดแปลกใจไม่ได้ เพราะแต่ละบ้านมีพื้นที่อยู่ห่างกันมาก มองไม่เห็นว่าตรงไหนจะเป็นตลาด

“หมูลุงหมิ่นน่ะแหละ แกเลี้ยงไว้ขาย แกจ่ายค่ารักษาให้พี่เป็นเนื้อหมูแทน”

“เขาก็อยากให้เป็นเงินไม่ใช่หรือเล่า แต่แกต่างหากที่ไม่เอา เขาก็ต้องตอบแทนเป็นอย่างอื่น นี่ถ้ามีเป็ด มีไก่ มีวัวก็คงยัดเยียดให้แบกมาด้วยจนได้น่ะแหละ” คุณทวดพูด พลางส่งสายตาค้อนหลานชายไปด้วย

“ก็ลุงเขาต้องส่งเงินให้ลูกชายไว้เรียนหนังสือ เหลือไว้ใช้ไม่เท่าไหร่ แล้วผมก็ไม่ได้เสียเงินซื้อสมุนไพรมาจากไหน ผมหาเอาจากในป่าทั้งนั้น” ซุนจ่งซานพูด พลางยกมือลูบท้ายทอย หัวเราะแก้เก้อไปด้วย

ซุนจ่งซาน เป็นแพทย์แผนจีนโบราณ อายุสามสิบปลายๆ ผิวขาว นัยน์ตาดำยาวรีคมสวย ขนตางอนยาว เครื่องหน้าโดยรวม ทำให้ใบหน้าดูหวานกว่าผู้ชายทั่วไป ผมดำดกหนาอยู่เหนือหน้าผากกว้าง บอกลักษณะเป็นคนฉลาดเฉลียว เขาเป็นคนสูงมาก อาจจะถึงร้อยแปดสิบห้า รูปล่างล่ำสันก็จริงแต่ดูเพรียว มีกล้ามเล็กน้อย แต่คล้ายกล้ามของนักเทนนิส มากกว่ากล้ามของนักยกน้ำหนัก

เขาเป็นแพทย์มีปริญญา เลือกที่จะศึกษาศาสตร์ด้านสมุนไพรจีน เขาเปิดคลินิกรักษาโรคด้วยสมุนไพรในตัวเมือง และไม่ค่อยจะร่ำรวยเหมือนแพทย์ปริญญาคนอื่นๆ

คนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านในละแวกชุมชน และมีเงินน้อย บางครั้งก็รักษาฟรี แล้วก็ได้ค่ารักษาเป็นผัก เป็นเนื้อ ติดมือกลับมาอยู่บ่อยๆ แต่ซุนจ่งซานก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร

เขาบอกว่า ก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อของเธอ ที่ไปเป็นแพทย์อาสา ตัวเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ที่เรียนหมอก็เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านหมอคนหนึ่ง ที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ในวัยเด็ก จากที่ป่วยหนักจนเกือบจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ กลับฟื้นคืนชีวิตราวกับปาฏิหาริย์ เขาเคยเป็นผู้ได้รับมาก่อน ชีวิตที่เหมือนได้เกิดใหม่ ก็สมควรแล้วที่จะเป็นผู้ให้บ้าง

“พี่ไปนะอิงอิน ผมไปแล้วครับย่า”

ซุนจ่งซานเดินไปกอดคุณทวดไว้หลวมๆ แล้วหันมายิ้มให้ญาติผู้น้องนิดหนึ่งก่อนจะเดินออกไป

อินทุภาอมยิ้มตามหลัง เขาชอบล้อเธอว่ามีเชื้อจีนอยู่เพียงเสี้ยวเดียว แต่ก็ยังอุตส่าห์มีชื่อจีนกับเขาด้วย จึงเรียกชื่อไทย-จีนของเธอผสมกันแบบนี้ คงจะเป็นเรื่องสนุกของเขา 

อินทุภามีชื่อจีนว่า ‘เยว่อิง’ ซึ่งแปลว่า จันทร์กระจ่าง พ่อได้ไอเดียมาจากนางเอกเรื่องสามก๊ก และตรงกับคำแปลชื่อไทยที่แม่ตั้งให้อินทุภาที่แปลว่า ‘แสงจันทร์’ พอดี

อินทุภากับคุณทวด คุยกันจนลืมเวลา จนป้าลี่เดินถือถ้วยชาเข้ามาแล้วอุทาน

“อั๊ยหยา! คุณท่าน! วันนี้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเจ้าคะ ไม่เหนื่อย ไม่เพลียเลย” นางพูด พลางอมยิ้มขำๆ ไปด้วย

“ตายจริง! หนูลืมเวลานอนกลางวันของคุณทวด” อินทุภาขอโทษคุณทวด รู้สึกแย่ ที่ไม่ได้ใส่ใจคุณทวดเท่าที่ควร ไม่สมกับที่พ่อไว้วางใจให้ดูแล ซึ่งกำชับแล้วกำชับอีก ก่อนออกเดินทางไปแอฟริกา

“ไม่เป็นไร ย่าไม่ได้เพลียอะไร มีความรู้สึกว่าต้องรีบพูดรีบบอก ก่อนที่จะไม่มีเวลาให้ได้พูดอีกแล้ว”

“หนูยังอยู่อีกหลายวันนะคะคุณทวด ต้องรอพ่อกลับจากแพทย์อาสาก่อน”

“ทวดมีชีวิตอยู่..  เพื่อรักษาคำมั่นสัญญา   ที่เคยให้ไว้กับ..ท่านทวดเยว่ฮวา เพื่อมอบของสองสิ่งนี้ให้ถึงมือของเจ้าของให้ได้ เมื่อหมดพันธะแล้ว จิตวิญญาณก็คงจะได้เป็นอิสระเสียที”

คุณทวดพูด พลางถอนใจยาว จับมือข้างที่อินทุภากำแหวนไว้ในมือมาบีบเบาๆ แล้วมองเธอนิ่งนาน

“จำคำทวดไว้นะ.. เมื่อพระจันทร์ดวงเดียวเด่นเต็มดวง แสงแห่งจันทร์โชติช่วงอีกดวงจะกลับมา”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนพิเศษ (2) : แฝดร้ายสายเกรียน! แห่งหยางซื่อ  

    หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ    ตอนพิเศษ (1) 

    ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 67 : ตอนจบ (2) ต้นกำเนิดแห่งสายเลือดและชะตากรรม

    "มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 66 : ตอนจบ (1)

    สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 65 : ลั่นกลองรบ!

    ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 64 :  ความลับที่มาพร้อมกับเรกิ!!

    "เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status