/ แฟนตาซี / พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ / ตอนที่ 2 : คน..หรือวิญญาณ!!

공유

ตอนที่ 2 : คน..หรือวิญญาณ!!

last update 최신 업데이트: 2025-02-22 18:29:32

อินทุภาออกมานั่งสูดอากาศยามค่ำคืนใต้ต้นอวี้หลัน เธอเงยหน้ามองพระจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวง หลับตารับรู้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาตามลม

คนจีนส่วนใหญ่จะชอบดอกอวี้หลันมาก หากพอมีที่ดินหรือลานบ้าน มักจะต้องปลูกต้นอวี้หลันสักต้น และจะออกดอกเพียงปีละครั้ง มีข้อเสียอย่างเดียวตรงที่ จะเบ่งบานได้แค่เพียงสิบวัน แต่ดอกอวี้หลันของที่นี่ มีมากมายหลายสิบพันธุ์ และมีหลากสีสัน ช่วงเวลาที่ทยอยกันบานจึงนานนับเดือน อวี้หลันทนความหนาวเย็น ลบยี่สิบองศาได้ดี และสู้ความร้อนที่มากกว่าสี่สิบองศาได้อีกด้วย ไม่ต้องให้ปุ๋ยหรือให้การดูแลที่ดีก็โตได้

อินทุภาถอนใจ เพราะทุกครั้งที่ยืนอยู่ใต้ต้นอวี้หลันต้นนี้ ก็รู้สึกว่า..ถึงแม้จะผลิดอกขาวทั้งต้น และทั้งๆ ที่สวยงามแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเหงามาก ใบร่วงหล่นโกร๋นไปทั้งต้น ก่อนดอกตูมจะผลิออกมา ซึ่งใบกับดอกไม่เคยพบกัน ทั้งที่พวกมันก็อยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้ เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการพลัดพราก และรอคอย

อินทุภาคิดไปพลาง คลำแหวนหยกที่คออย่างเผลอๆ เธอได้นำแหวนที่ได้จากคุณทวด มาร้อยใส่สร้อยห้อยคอไว้ เพราะของที่มีมูลค่าสูงแบบนี้ ใส่ไว้ในมืออาจเกิดแตกหักสูญหาย คงจะน่าเสียดายไม่น้อย

เธอหวนนึกถึงภาพวาดหญิงสาวที่คุณทวดให้ดู...

“เหมือนใช่ไหม? เห็นใช่ไหมว่าเหมือนใคร?” คุณทวดถาม พลางอมยิ้มเล็กน้อย

“อยากจะบอกว่า หนูมีส่วนคล้ายๆ หญิงสาวในภาพนี้ ก็ยังรู้สึกอายเกินกว่าจะเปรียบเทียบเลยค่ะ เพราะคนในภาพช่างงดงามดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน” เธอมองที่ภาพ ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น

อินทุภามองภาพในมือ เป็นภาพวาดแค่ช่วงอก ลำตัวหันข้างไปทางขวา ผมดำเป็นมันยาวสยายไพล่ไหล่ไว้ข้างหนึ่ง ใบหน้าเบี่ยงมาทางซ้ายเล็กน้อยตามองตรง ผมปลิวสยายไปตามแรงลม

อินทุภาลูบไล้เบาๆ ไปที่ภาพเหมือนมีชีวิตภาพนั้น ปลายนิ้วลากพาดผ่านปิ่นดอกอวี้หลันสีทอง เธอชะงักเล็กน้อย รู้สึกเหมือนจะเคยเห็นปิ่นลักษณะแบบนี้มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน เธอจำได้เลือนรางว่า ตอนเห็นปิ่นแบบนี้ครั้งแรก เธอรู้สึกรักและคุ้นเคยกับมันมาก

และสิ่งที่สะดุดตาอินทุภาที่สุดในภาพนี้ คือนัยน์ตากลมโตของหญิงสาวที่ฉายแววอบอุ่นอ่อนหวาน ริมฝีปากอิ่มเต็มแดงระเรื่อ มุมปากโค้งในอาการแย้มยิ้มน้อยๆ

ซึ่งลักษณะการแย้มยิ้มชองสาวน้อยในภาพเรียกได้ว่า ยิ้มทั้งปากและตา ทำให้นัยน์ตากลมโตดูอ่อนหวาน ส่องประกายที่น่าดึงดูดใจ ว่ากันว่า รอยยิ้มที่มาจากใจที่มีความสุข คือรอยยิ้มที่สวยที่สุด เพราะถ้าใจยิ้มได้ ปากจะยิ้มตาม แล้วดวงตาก็จะยิ้มไปด้วย ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ใช่ว่าทุกคนจะมี เพราะการที่จะถ่ายทอด ออกมาทางดวงตาได้นั้น เราจะต้องมีความสุขมาจากข้างในเสียก่อน

ความสุขแบบไหนกันนะ ที่กำลังสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของสาวน้อยคนนี้?

อินทุภามองเลื่อนไปยังบทกลอนที่ใต้ภาพ แปลได้ความว่า…

เกลียวคลื่น .. กระทบฝั่ง .. แล้วเลือนหาย

จากกันไกล .. หัวใจ .. ยังห่วงหา

เขาเขียว .. ทอดแนว .. ร่วมสัญญา

รอเดือนเพ็ญ .. คืนฟ้า .. ทั้งสองดวง

 อินทุภาตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงคุณทวดพูดต่อ

“ท่านทวด ท่านชื่อเยว่ฮวา แปลว่าพระจันทร์ทรงกลด คำแปลเหมือนกับชื่อของหลาน รูปร่างหน้าตาตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เหมือนกันราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน”

“ก่อนท่านทวดเยว่ฮวาจะสิ้นลม ได้ฝากแหวนหยกกับภาพนี้ไว้ให้ย่าเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ท่านว่าเป็นของชายที่ท่านรักสุดหัวใจ ฝากไว้ให้กับเจ้าของภาพนี้”

เจ้าของภาพ?

"คนในภาพไม่ใช่ท่านทวดเย่วฮวาหรือคะ?"

เป็นฝาแฝดของท่านทวดหรือยังไงนะ? หมอนี่มันชักจะยังไงกันแน่?

“ท่านว่า ท่านรักชายคนนี้มาก รักมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่เขารักผู้หญิงอีกคนที่เหมือนกับท่านแต่ไม่ใช่ท่าน”

“แล้วเขาก็ยังฝากของแทนใจไว้ให้ท่านทวดเยว่ฮวาเก็บรักษา เพื่อส่งต่อให้ผู้หญิงคนนั้นหรือคะ?” อินทุภายกมือกุมที่คออย่างเผลอๆ รู้สึกสะเทือนใจ

“หัวจิตหัวใจทำด้วยอะไรกันนี่! ทำไมถึงได้เย็นชาอย่างนี้ คิดถึงผู้หญิงอีกคนแล้วยังทำร้ายจิตใจผู้หญิงอีกคนได้ลงคอ!!”

อินทุภารู้สงสารท่านทวดเยว่ฮวาจับใจ ถ้ามีผู้ชายคนไหนมาทำแบบนี้กับเธอ มีหวังต้องแหลกกันไปข้างหนึ่ง! เธอกำมือแน่น กระแทกหมัดไปที่พื้นเก้าอี้หวายที่นั่งอยู่เต็มแรง!

อย่าให้เจอนะ! คนเลวๆ แบบนี้!

“แต่เอ๊ะ! ทำไมคุณทวดถึงคิดว่าเราคือเจ้าของแหวนล่ะ?” เธอคิดเป็นคำพูดออกมา

อินทุภาอยากเขกตัวเองที่เพิ่งจะมาสะกิดใจเอาตอนนี้ คุณทวดคงจะเข้านอนแล้ว เลยต้องคาใจข้ามคืนกันไปอีก

ทันใดนั้นก็มีเสียงขลุ่ยแว่วลอยมาตามลมเบาๆ ทำให้อินทุภาตื่นจากภวังค์ความคิด ถึงแม้เสียงจะเบาแต่แฝงไปด้วยความเว้าวอนอ่อนหวาน ฟังดูเหงาๆ ปนเศร้าเล็กน้อย เหมือนกำลังโหยหาความรักที่อยู่ไกลแสนไกล หรืออาจจะเป็นความรักที่ไม่มีวันหวนกลับมา

เธอหลับตาลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้หวายที่นั่งอยู่ ปล่อยใจให้ซึมซับเสียงขลุ่ย เพื่อสัมผัสให้ถึงแก่นแท้ของอารมณ์ที่ผู้บรรเลงต้องการถ่ายทอดออกมา

เสียงหายใจคล้ายเสียงสะอื้นของตัวเองทำให้อินทุภาได้สติ ลืมตาขึ้น ยกมือลูบที่แก้ม พลันเสียงขลุ่ยนั้นก็เงียบลงไปด้วย

น้ำตาเหรอ!?! เราอินไปด้วยขนาดนี้เชียว?

เธอตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นน้ำใสๆ ที่ปลายนิ้ว พร้อมกับรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง จึงหันไปดู แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ปากอ้าตาค้างตัวแข็งอยู่กับที่ เมื่อหันไปเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า

ผู้ชายร่างสูง ผิวขาวใบหน้าคมเข้มเหมือนรูปสลัก ดวงตาของเขายาวรีดำสนิท ผมปล่อยยาวสยายเต็มหลัง มีปอยผมลุ่ยสองข้างขมับ แต่งชุดฮั่นฝูเสื้อตัวในสีขาวมีลวดลายตรงคอเสื้อเล็กน้อย คลุมด้วยเสื้อตัวนอกสีเทา มัดเอวไว้ด้วยเข็มขัดผ้าสีเทาเข้มหัวเข็มขัดปักลวดลายเป็นสีทอง เนื้อผ้าส่วนที่เป็นเสื้อคลุมเป็นมันวับตรงลายสอดสานในเนื้อผ้า เมื่อกระทบกับแสงส่องประกายระยิบระยับ

เขายืนห่างจากที่เธอนั่งอยู่ไปเพียงเล็กน้อย มือที่กำลังถือขลุ่ยอยู่นั้น ตกค้างลงมาอยู่แค่อก ปากอ้านิดๆ นัยน์ตาตื่นตะลึงจ้องนิ่งมาที่เธอ เขาทำปากพะงาบ หลังจากที่นิ่งไปนาน เหมือนพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่ไม่มีเสียง

ผีเหรอ!?!

อินทุภาลุกพรวดขึ้นเมื่อได้สติ หลังจากที่ตัวแข็งนิ่งขึงอยู่นานหลายนาที แสงขาวๆ ที่ซ้อนตัวเขาวูบวาบไปมานั้น ตอกย้ำความคิดให้หนักแน่นขึ้น

นั่นมันเหมือนวิญญาณชัดๆ!!

เธอไม่หยุดคิดอะไรอีกแล้ว ใส่เกียร์หมาออกวิ่งสุดชีวิต ราวกับเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งยังไงยังงั้น

อินทุภาหลับหูตารีบวิ่งเพื่อให้ถึงห้องให้เร็วที่สุด เลยชนเข้ากับซุนจ่งซาน ที่เดินเลี้ยวมุมทางเดินที่จะออกไปสวนกลางบ้าน แรงปะทะทำให้อินทุภากระเด็นจนเกือบจะไปกระแทกกับเสาศาลา โชคดีที่ซุนจ่งซานได้สติ กระชากแขนญาติผู้น้องดึงแรงเข้าหาตัว รับร่างโปร่งบางไว้ด้วยสองแขนแล้วหมุนตัวเธอออก หันตัวเองปะทะเสาแทน

“อาอิง! เยว่อิง! เกิดอะไรขึ้น? หนีใครมา?”

ซุนจ่งซานจับไหล่ร่างเล็กไว้ทั้งสองมือ ดันออกเพื่อมองหน้าชัดๆ ด้วยความเป็นห่วง

“พี่ซาน!!..บ้านเรา..บ้านเรามีผี!!..หนูเห็น..วิญญาณ..ที่สวนหลังบ้าน!!” เธอตาโตเบิกกว้าง ละล่ำละลักบอก เพราะกำลังสั่นเทาไปทั้งตัว

“ใจเย็นๆ! ผีอะไร เล่ามาซิ” อะดีนาลีนที่กำลังฉีดแรงของซุนจ่งซานค่อยๆ ลดระดับลง เพราะคิดว่ามีคนร้าย แต่กลับกลายเป็นผี!

“ผีผู้ชาย!!..สวมชุดโบราณ..ถึงจะหล่อแต่ก็เป็นผี!!”

ชายหนุ่มอดที่จะหัวเราะไม่ได้ ขำความคิดของญาติผู้น้อง ที่ขนาดว่ากลัวจนตัวสั่น ก็ยังเห็นความหล่อทะลุมิติ

“โธ่!! พี่ซาน!! เจอผีไม่ใช่เรื่องตลก หนูเห็นกับตาจริงๆ กลัวจนมือเย็นเลยนี่!”

เขาปล่อยมือจากไหล่มาจับมือเล็กเรียวบาง รับรู้ว่าเย็นจริง แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นผีหรือวิญญาณตามที่บอก

“มานี่! มาคุยกับพี่ก่อน” เขาพูดพลางจูงมือ นำไปที่ห้องรับแขกในตัวบ้าน

“นั่ง! แล้วเล่ามาให้ละเอียด” เขาจับไหล่กดให้นั่ง แล้วเดินไปรินน้ำชามาวางไว้ตรงหน้า

ชายหนุ่มนั่งฟังหญิงสาวเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนได้ยินเสียงขลุ่ย จนกระทั่งเสียงนั้นหายไป บรรยายรูปลักษณะที่เห็นนั้นด้วย ซึ่งขณะที่เล่านี้อาการสั่นเพราะความตกใจกลัวของหญิงสาว ก็อยู่ในระดับปกติแล้ว

ซุนจ่งซานนั่งกอดอกด้วยแขนข้างเดียวรับน้ำหนักศอกของแขนอีกข้าง นิ้วชี้กับนิ้วโป้งลูบขอบปากไปมา สลับกับขมวดคิ้ว แล้วก็ทำหน้านิ่ง หันมองเธอตรงๆ

“อาอิง เจอเขาแล้วเหรอ?”

“ใครคะ? วิญญาณนั่นน่ะเหรอ เขาคือใคร?”

“หยางหมิงอ๋อง! แม่ทัพหยาง องค์ชายสี่”

“โอ้โฮ! หนูเจอผีเจ้าตัวจริงเสียงจริงหรือนี่!”

อินทุภาห่อปากตาโต ตื่นเต้นที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าเชื้อพระวงค์อย่างใกล้ชิด

หล่อทะลุมิติอีกด้วยสิ!!

“หรือท่านจะเป็นเจ้าที่ ที่ปกปักรักษาบ้านเราคะ?”

โก้ไปเลยแฮะ ที่มีท่านเจ้าที่มีอดีตเป็นถึงคนใหญ่คนโต

“แต่ว่า..จากเจ้าชาย กลายมาเป็นเจ้าที่ แบบนี้จะเรียกว่า ได้ตำแหน่งหรือถูกลดตำแหน่งดีล่ะคะ เป็นเทพเทวดาถือว่าได้ดิบได้ดี แต่ดันมาตกต่ำจากเจ้าชายกลายมาเป็นเจ้าที่นี่สิ!!”

ซุนจ่งซานอดขำไม่ได้ ดีดนิ้วไปที่หน้าผากอินทุภาไม่แรงนัก

“บ๊องไปแล้ว ความกลัวก่อนหน้านี้หายไปไหน?”

“ก็กลัวนะคะ ถ้าเขาเป็นผีร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ” เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่โดนดีด  “แต่ว่า.. ทำไมเขาต้องตกใจ ตะลึงค้างมองหนูแบบนั้นล่ะ?” เธอยังจำหน้าขาวซีดนั้นได้ติดตา

“พี่ก็เคยเจอเขาสองครั้ง เมื่อตอนเด็กๆ”

“ฮ้าาาา!!” อินทุภาประหลาดใจ ที่ซุนจ่งซานไม่กลัว ทั้งๆ ที่เคยเห็นตั้งสองครั้ง

“เขาไม่ใช่เจ้าที่หรอก จะพูดยังไงดีล่ะ ท่านหมอท่านนั้นได้พูดอะไรบางอย่างช่วงที่พี่หลับๆ ตื่นๆ ตอนที่เจอกันครั้งสุดท้าย”

ซุนจ่งซานมองญาติผู้น้องที่นั่งตัวตรงตาโต ตั้งใจฟังเพราะความอยากรู้เต็มที่ เลยยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วเล่าต่อ

“จับใจความได้ประมาณว่า คนที่มากับท่านหมอในวันนั้น คือหยางหมิงอ๋อง ท่านกำลังตามหา และรอคอยคนรักของท่านที่จากไป และต้นอวี้หลันต้นนั้น คือสถานที่ที่ท่านกับคนรัก ได้เจอกันครั้งแรก และคนรักของท่านชื่อ…”

ซุนจ่งซานจงใจหยุดพูดทิ้งค้างเอาไว้ ตวัดสายตาจับจ้องหน้าญาติผู้น้องนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ ชัดๆ

“เยว่-อิง!”

“หือ? จริงอะ พี่จะเล่นมุกให้หนูขำล่ะสิ ใช่ปะ?”

“จริง-ทุก-คำ!” ซุนจ่งซานพูดเน้นคำ พยักหน้าหนักแน่น

“พี่ซาน!..กำลังจะบอกอะไร? หนูงงไปหมดแล้ว!” อินทุภารำพึงออกมาด้วยความสับสน

“เหมือนกับว่า เขาอยู่อีกมิติหนึ่ง เราอยู่อีกมิติหนึ่ง ต่างก็เป็นมิติปัจจุบันของตัวเอง แต่มันมาเหลื่อมกัน ด้วยเงื่อนไขอะไรสักอย่าง ที่พี่ก็หาคำตอบไม่ได้ แต่จากที่เจอทั้งสองครั้งนั้น ก็ได้สัมผัสถูกเนื้อหนังจริงๆ ทำให้คิดได้ว่า เขาก็เป็นคนมีเลือดมีเนื้อเหมือนกันกับเรา”

“อ๋อ พี่กับคุณทวดก็เลยคิดว่า หนูอาจจะเป็นคนรักที่เขารอคอย เพราะชื่อเหมือนกัน?”

“แล้วเธอคิดว่าเป็นไปไม่ได้เหรอ ทั้งๆ ที่ชื่อกับหน้าเธอ และภาพเหมือนนั่น จะอธิบายว่าอย่างไร?”

“มิติที่เหลื่อมกันเหรอ? แล้วหนูกับเขาไปเจอกันตอนไหนล่ะ? ตั้งแต่จำความได้ หนูก็เพิ่งจะเคยมาเมืองจีนครั้งแรกนี่แหละ” อินทุภาตั้งข้อสังเกต ให้ซุนจ่งซานเห็นชัดๆ ว่าเป็นไปไม่ได้

“พี่ก็อธิบายมากกว่านี้ไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้อความสุดท้ายที่ท่านหมอบอกไว้ก็คือ ‘เมื่อพระจันทร์ดวงเดียวเด่นเต็มดวง แสงแห่งจันทร์โชติช่วงอีกดวงจะกลับมา’ ...”

อินทุภาชะงัก เพราะเป็นข้อความเดียวกันกับที่คุณทวดพูดไว้

แต่ความหมายของข้อความนั่น.. คืออะไร?

…………………………….

 อินทุภา ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวจะเข้าเมืองกับซุนจ่งซานตามที่นัดกันไว้ แต่ตั้งใจจะแวะไปหาคุณทวดก่อน ถามเรื่องที่คาใจเมื่อวาน ตอนนี้ยังมีเวลาเหลือกว่าจะถึงเวลานัด

ยังไม่ทันที่จะยกมือเคาะประตู ป้าลี่ก็เดินถือชามล้างหน้ายืนอยู่ข้างหลัง

“ป้า ทำไมวันนี้คุณทวดตื่นช้านักล่ะ ปกติจะตื่นตั้งแต่ตีห้า ไม่ใช่หรือคะ?"

“ค่ะ คุณอิง ป้าก็มาเคาะหลายรอบแล้ว คุณท่านก็ไม่ขานรับเลย กำลังคิดว่าถ้าหนนี้เคาะแล้วไม่มีเสียงตอบ จะไขกุญแจเข้าไปละ” ป้าลี่ทำหน้ากระวนกระวายเหมือนจะร้องไห้ ดูเป็นห่วงคุณทวดเต็มที่

“ไขเถอะป้า ส่งอ่างล้างหน้ามา หนูถือเอง”

ป้าลี่ ไม่รอให้บอกซ้ำสอง กุลีกุจอส่งของในมือให้อินทุภา แล้วรีบล้วงกุญแจไขประตูอย่างว่องไว

พอประตูเปิด ป้าลี่ก็ถลาไปยืนหลังคุ้มอยู่ที่ม่านหน้าเตียง ส่งเสียงเบาๆ ปลุกคุณทวด เธอเลยเดินถืออ่างล้างหน้าไปวางไว้ข้างหน้าต่าง แล้วเดินมาช่วยปลุกอีกคน เรียกอยู่สองสามครั้ง ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ ไม่ได้ยินแม้เสียงหายใจขณะนอนหลับ ป้าลี่เริ่มใจไม่ดี จับแขนอินทุภาบีบแน่นท่าทางกระวนกระวาย

อินทุภา ตัดสินใจค่อยๆ แหวกผ้าม่านออก เธอเรียกแล้วจับแขนเขย่าตัวเบาๆ คุณทวดก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนเดิม อินทุภาบอกให้ป้าลี่รีบไปตามซุนจ่งซานมาดูอาการ ป้าลี่ก็เร็วใจหาย ไปได้แค่ครู่เดียวก็เห็นชายหนุ่มเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในห้องแล้ว

“ย่า! ย่าครับ! ย่า!” ซุนจ่งซานจับแขนเขย่าเล็กน้อย แล้วเอานิ้วชี้อังไว้ที่จมูก แล้วก็มาจับข้อมือหาชีพจร

“ย่าไปเสียแล้ว!”

ซุนจ่งซานหันมาพูด ก้มหน้าคอตกเหมือนจะร้องไห้ อินทุภาใจสั่นน้ำตาไหล แต่ก็ยังไม่เท่ากับป้าลี่ที่ปล่อยโฮร้องลั่นห้อง อย่างไม่อายใคร เข้าไปกอดขาคุณทวด ร้องเรียกชื่อสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

………………………….

พิธีศพของคุณทวด ลูกหลานมากันเยอะมาก และมากกว่าวันที่ฉลองวันเกิดคุณทวดเสียอีก ซุนจ่งซาน คุณพ่อ และอินทุภา แทบจะไม่ต้องทำอะไร เขาอธิบายว่า การจัดพิธีศพทุกคนจะต้องมีความละเอียดและจัดให้สมบูรณ์แบบให้มากที่สุด เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นทุกคนจึงเสนอตัวแย่งกันทำหน้าที่ เพื่อยืนยันถึงความกตัญญูที่มีต่อผู้ตาย อันเป็นที่รักกันจนถึงที่สุด และลูกหลานทุกคน จะต้องไว้ทุกข์แต่งชุดขาว กินเจเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน ถึงสามปี

อินทุภาตามเข้าเมืองมาด้วย เพื่อช่วยถือของ ที่ต้องใช้ในพิธี ซุนจ่งซานขอแวะดูร้าน อินทุภาเลยแยกออกมา หาซื้อของในรายการที่จดไว้ให้ก่อน แต่ระหว่างที่กำลังเดินหาของอยู่นั้น หางตาแว่บเห็นเหมือนจะเจอคนรู้จักเดินผ่านไป จึงหันตัวไปมองข้างหลังตามความเคยชิน แล้วก็ต้องค้างนิ่งอยู่แบบนั้น เช่นเดียวกันกับที่อีกฝ่าย หันมาทั้งตัว และมองมาที่เธอเช่นกัน

ถึงแม้ภาพที่เห็นจะขาดหายเป็นช่วงๆ ราวกับสัญญาณภาพไม่เสถียร แต่ก็ยังเห็นใบหน้าคมเข้ม ยืนนิ่งขึงไม่ไหวติง ราวกับว่าถ้าขยับสีหน้า หรือขยับตัวแม้เพียงนิด ภาพตรงหน้าเขาทั้งหมด จะเลือนหายไปในอากาศ

ผ่านไปชั่วครู่ ต่างคนต่างยังตาสบตานิ่งอยู่ เขาเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ขยับตัวจะเดินมาหา เสียงเรียกของซุนจ่งซานทำให้อินทุภาตื่นจากภวังค์ หันไปตามเสียงโดยอัตโนมัติ แล้วก็รีบหันกลับมาดูทิศทางเดิมอีกครั้ง แต่ทว่าภาพนั้นได้หายไปแล้ว

อุแม่เจ้า นี่มันกลางวันแสกๆ!!

“อาอิง!! เป็นอะไร ทำไมหน้าซีด!!”

ซุนจ่งซานเข้าถึงตัว เพราะอินทุภายืนนิ่ง ไม่ไหวติง

“พี่ซาน!! หนูเห็นเขาอีกแล้ว ผู้ชายคนนั้น!" 

ซุนจ่งซานมองไปทิศเดียวกันกับที่อินทุภาหันหน้าไป

“งั้นก็อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่า เขาไม่ใช่วิญญาณจริงๆ แต่เงื่อนไขของมิติที่เหลื่อมกันนี้มันคืออะไร?” ซุนจ่งซานตั้งข้อสงสัย พยายามคิดหาเหตุผล

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนพิเศษ (2) : แฝดร้ายสายเกรียน! แห่งหยางซื่อ  

    หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ    ตอนพิเศษ (1) 

    ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 67 : ตอนจบ (2) ต้นกำเนิดแห่งสายเลือดและชะตากรรม

    "มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 66 : ตอนจบ (1)

    สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 65 : ลั่นกลองรบ!

    ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 64 :  ความลับที่มาพร้อมกับเรกิ!!

    "เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status