แชร์

ตอนที่ 7 : ชุมชนพัฒนา

ผู้เขียน: บุปผารัญจวน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-14 01:14:28

เสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล  

เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก  

“อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล  

สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ  

“ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง

“ฝ่าบาท!!”

อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อ

ตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!

หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้ว

พับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!

“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขาจับจูงมาได้สักพัก

“ไปชุมชนพัฒนา” เขาตอบแต่ไม่หันมา สีหน้าด้านข้างขรึมเฉย แล้วก็ปล่อยมือที่เดินจับจูงกันมาก่อนหน้านี้ให้เป็นอิสระ ขณะเดินมาถึงคอกม้า

อินทุภาตาโต เมื่อเห็นม้าสองตัวผูกอานเรียบร้อยยืนเคียงกัน ตัวแรกเป็นม้าสีดำตัวใหญ่ ลำตัวสีดำสนิท ข้อเท้าทั้งสี่ข้างเป็นสีขาวราวกับใส่ถุงเท้าไว้ อีกตัวเป็นสีน้ำตาล แผงคอเป็นสีน้ำตาลอมทอง ที่ขอบตากับเท้าทั้งสี่เป็นสีขาวเช่นกัน

“ของเจ้า ชอบหรือไม่?” หยางหมิงอวี้เข้ามาลูบคอม้าตัวสีน้ำตาล วันนี้เขาตั้งใจจะสอนให้เธอขี่ม้า

“ชอบเพคะ” อินทุภาเข้าไปจูบบนหน้าผากม้า ลูบหน้า เอ่ยออกมาอย่างชื่นชม

“สวยจังเลย ชื่ออะไรเพคะ?”

“ซิงเหม่ย”

“ซิงเหม่ยเด็กดี ชื่อเพราะจัง ดวงตาของเธอก็สุกสกาวเหมือนดาวสมกับชื่อซะด้วยสิ .. ช่วยส่งหม่อมฉันขึ้นหน่อยซิเพคะ”

ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเขาอย่างกระตือรือร้น

หยางหมิงอวี้จับเอวอินทุภายกขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วเขาก็ตาค้าง เมื่อซิงเหม่ยโผนวิ่งออกไปต่อหน้าต่อตา

“โอ๊ย!! อิงอิง!!”

แต่แล้วเขาก็ผิดสังเกต ม้าที่ออกวิ่งเตลิดไปนั้น คนที่ขี่ไม่น่าจะนั่งตัวตรงได้อย่างนี้ เขาโจนขึ้นหลังจ้าวพายุควบตามไปเต็มฝีเท้า

“ขี้โกง! ขี่ม้าเก่งออกอย่างนี้ ไม่บอกสักคำ”

เขาตามมาทัน อินทุภาหัวเราะ ชะลอความเร็วลง วิ่งหยาะรอให้เขาขึ้นหน้า เป็นเพราะไม่คุ้นสถานที่ด้วย และทางเริ่มแคบ มีสิ่งกีดขวางหลายอย่าง

“ก็พอเป็นเพคะ”

“ถ้างั้น คงเป็นของขวัญที่ถูกใจมากใช่หรือไม่?”

“เพคะ เป็นพระกรุณาเพคะ”

“ห่างเหินจัง” แล้วเขาก็ดึงบังเหียรซิงเหม่ยมาใกล้ ก่อนที่จะก้มลงจุมพิตรวดเร็วที่ริมฝีปากอินทุภา เธอตกใจผงะเอนไปข้างหลัง

ซิงเหม่ยเองก็หงุดหงิดที่ถูกดึงรั้ง ส่งเสียงฟืดฟาดแล้วขยับออก ทำให้หนุ่มสาวผละออกจากกันไปด้วย

“ม้ากับเจ้าของนิสัยเหมือนกันเลย!” เขาพ้อ ทำให้อินทุภาต้องหัวเราะ เพราะกำลังคิดว่าซิงเหม่ยช่างรู้ใจจริงๆ

“พระองค์เคยตรัสว่า..โครงการที่ร่วมกันก่อตั้งกับท่านเยว่ คือชุมชนพัฒนาหรือเพคะ? ” เธอพยายามชวนคุย เพื่อลดอาการขัดเขิน

“ใช่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินเมืองหวางจี ในเขตปกครองทางทิศเหนือนี้ทั้งหมด เมื่อสามปีที่แล้ว ตอนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหยางหมิงอ๋อง แล้วยังโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเมืองจากหวางจีเป็นหยางซื่อ เนื่องจากเป็นเมืองที่ทำรายได้สูงและมีชื่อเสียง” เขาหยุดนิดหนึ่ง แล้วเล่าต่อ

“สิบปีที่แล้วก่อนที่เจ้าจะมา พื้นที่บางส่วนยังเป็นป่ารกร้าง บางส่วนก็แห้งแล้งจนปลูกอะไรไม่ได้ แหล่งน้ำก็อยู่ไกล ทุรกันดารมาก ชาวบ้านบางกลุ่มอาศัยอยู่ห่างกัน ยากจนอดมื้อกินมื้อ ทำมาหากินลำบาก” เขาหันมองหน้าหญิงสาวนิดหนึ่งแล้วเล่าต่อ

“แต่หลังจากเจ้ามา ก็ได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ร่วมมือกันหลายฝ่าย ช่วยกันแก้ปัญหาความยากจน, วางผังเมือง, สร้างสาธารณูปโภค, รวบรวมชาวบ้านพื้นที่ห่างไกลให้มาอยู่รวมกัน, สร้างชุมชนและผืนที่ดินทำกินแบบเกษตรพอเพียง, สร้างอาชีพ, สร้างโรงเรียน เจ้ามีความรู้กว้างขวาง สามารถให้ข้อเสนอแนะได้ในหลายๆ เรื่อง ที่นำไปใช้แก้ปัญหาได้จริง ทำให้เป็นที่ยอมรับจากชาวบ้านและผู้นำในชุมชนพัฒนา”

ขณะที่หยางหมิงอวี้กำลังพูดอยู่นี้ สีหน้าเรียบเฉยก็จริง แต่แววตาอ่อนโยนลึกซึ้ง

อินทุภาคิดว่าสิ่งที่เขาพูดมานี้ ดูน่าเหลือเชื่อเกินไป ถึงแม้เธอจะเป็นหนอนหนังสือ เป็นนักอ่านตัวยง ชอบดูสารคดี หรือพวกคลิปต่างๆในยูทูป แต่เธอก็ไม่คิดว่า เธอจะเป็นคนคนเดียวกันกับบุคคลที่หยางหมิงอวี้กล่าวถึง ที่สามารถทำอะไรทั้งหมดนี้ได้

“ที่นี่เป็นชุมชนเกษตรกรรมที่ใกล้ที่สุด เราจะเริ่มจากที่นี่ก่อน”

หยางหมิงอวี้ลงจากหลังม้า เดินอ้อมไปรับอินทุภา เขายืนอยู่ชิดซิงเหม่ย มือรั้งเอวอินทุภาไว้มั่นยกเอวให้ตัวพ้นอาน ขณะที่เธอเกาะไหล่เขาเป็นหลักข้างละมือ รูดตัวลงมาสู่พื้น ต้นขาของเธอกับส่วนที่สงวนของผู้หญิง เบียดเสียดกับต้นขาของเขา ถูกส่วนสำคัญของเขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็รู้สึกถนัดถนี่

อินทุภาหน้าแดง ลงเหยียบพื้นหญ้าได้ก็หันหลังให้ รู้สึกร้อนไปหมดเหมือนถูกไฟนาบที่ตรงนั้น หยางหมิงอวี้เองก็รู้สึกคอแห้งผาก ต้องสงบสติอารมณ์อยู่ชั่วครู่ แล้วจูงม้าทั้งสองตัวออกเดินนำหน้าไป

“อั๊ยหยา! ท่านเยว่! ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย เร็วไอ้หนูวิ่งไปบอกทุกบ้าน ไปเร็วๆ!”

ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบ หนวดสีขาวยาวถึงหน้าอก นั่งรับลมอยู่ตรงศาลาทางเข้าหน้าชุมชน ตะโกนอย่างดีใจเมื่อเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าคุ้นตาเดินเข้ามา 

อินทุภาจับเสื้อตรงข้อศอกหยางหมิงอวี้ กระตุกเบาๆ เพื่อบอกเขาเป็นนัยๆ ว่าเธอต้องการให้ช่วยอะไร ซึ่งเขาก็เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องบอก

“ท่านปู่หวาง เป็นหัวหน้าชุมชนที่นี่”

ท่านปู่หวาง เดินรี่ตรงมาหาหญิงสาวโดยเร็ว ทั้งๆ ที่มีไม้เท้าค้ำยัน พอมาถึงก็คุกเข่าลง ก้มตัวจะทำความเคารพกับพื้น แต่อินทุภาผวาเข้าไปดึงตัวขึ้นมาซะก่อน

“ท่านปู่หวาง! ลุกเถอะค่ะ! อย่าทำให้ฉันต้องอายุสั้นเลย!”

ท่านปู่หวางยังไม่ทันจะลุกขึ้น ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายสิบชีวิตเดินเป็นวิ่งเข้ามา คุกเข่าตามท่านปู่  คำนับกับพื้นกันทั้งหมด อินทุภาหน้าตาเหลอหลา หันไปหาหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ

“เอาเถอะทุกคน ลุกขึ้นกันก่อน” หยางหมิงอวี้ทำมือให้ทุกคนลุกขึ้น

“มีข่าวลือมากมายว่าท่านเยว่เสียชีวิตแล้ว แต่พวกเราไม่เชื่อ เรารอคอยให้ท่านกลับมาตลอดหลายปีนี้ แล้วท่านก็มาจริงๆ ชีวิตนี้ของข้าน้อยได้ตายตาหลับแล้ว!” เสียงปู่หวางพูดคร่ำครวญ มือตบอก น้ำตาคลอเบ้า

อินทุภาก็พลอยอินไปด้วย ขอบตาร้อนขึ้นมาเหมือนกัน เพราะซาบซึ้งแทนท่านเยว่ผู้นั้น เธอรับสมอ้างไปก่อนก็ได้ ปฏิเสธอะไรไปตอนนี้ จะเป็นการทำลายศรัทธาของพวกเขาไปเปล่าๆ

“จ้ะ ฉันกลับมาแล้ว” อินทุภาพูด แต่รู้สึกเลยว่าตัวเองยิ้มจืดๆ พิกล

“ไปขอรับท่านทั้งสอง เชิญที่เรือนของข้าน้อยก่อน ข้าน้อยอยากรับรองท่านทั้งสอง ให้เป็นเกียรติเป็นศรีกับวงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลาน!” ปู่หวางเอ่ยปากเชื้อเชิญอย่างพินอบพิเทา ราวกับอินทุภามียศมีตำแหน่งเทียบเท่าท่านอ๋องไปด้วย 

หยางหมิงอวี้อธิบายขณะเดินตามท่านปู่หวางไปด้วยกัน

“ที่ชุมชนนี้เป็นชุมชนเกษตรกรรมทั้งหมด เราแบ่งที่ดินทำกินให้แต่ละบ้าน ให้ความรู้เกี่ยวกับวิถีเกษตรพอเพียง มีคนกลางรับซื้อผลผลิต ส่วนหนึ่งส่งไปที่เฟินเยว่เหลา ชาวบ้านมีกินมีใช้ในครัวเรือน และยังมีรายได้เพิ่มอีกด้วย” 

“มิน่าล่ะ เฟินเยว่เหลาจึงมีวัตถุดิบหลากหลายตามฤดูกาล” อินทุภารู้สึกทึ่ง

“ใช่ ถ้าผลผลิตมากหน่อย ก็ทำเป็นของแห้ง ของดอง เก็บไว้กินในช่วงฤดูหนาว และบางส่วนยังสามารถนำไปขายได้อีก”

หลังจากออกจากบ้านท่านปู่หวาง หยางหมิงอวี้พาอินทุภาเดินดูโดยรอบ ไม่ว่าจะผ่านบ้านไหน ล้วนแต่นำผักผลไม้ ของหมัก ของดอง ของแห้งใส่ตระกร้าเตรียมมอบให้ ซึ่งหยางหมิงอวี้ต้องบอกตลอดทางว่าต้องไปอีกหลายที่ นำไปด้วยไม่ได้ รับไว้ได้แต่น้ำใจ

กว่าจะออกจากชุมชนเกษตรกรรม ก็เกือบบ่ายคล้อย หยางหมิงอวี้พาไปหมู่บ้านถัดไป  ซึ่งเป็นชุมชนหัตถกรรมผ้าไหม  และจักสาน เขาเล่าว่าในช่วงที่ท่านเยว่ผู้นั้นยังอยู่ ได้เป็นคนออกแบบลายผ้า และรูปแบบผลิตภัณฑ์จักสาน เป็นที่นิยมกว้างขวางในตลาดกลางถึงชนชั้นสูงอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะมีรูปแบบที่ไม่ซ้ำใคร และกลายเป็นรูปแบบในตำนานที่เป็นของสะสม 

ชุมชนถัดไปจะเป็นชุมชนเหมืองและอัญมณี แต่ระยะทางต้องไปอีกไกล เกือบถึงหน้าด่าน ซึ่งเป็นแถบพื้นที่ที่เป็นภูเขา จึงต้องหาที่พักแรมกันก่อน ค่อยเดินทางกันต่อในวันรุ่งขึ้น

“กระหม่อมดีใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ที่ท่านอ๋องให้เกียรติเลือกพักกับเราที่นี่” เถ้าแก่รีบกุลีกุจอมาต้อนรับถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม

“แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งกระหม่อม คือ.. วันนี้เราเหลือห้องพักแค่ห้องเดียว” เขาพูดอย่างขอลุแก่โทษ ที่แก้ปัญหาให้ไม่ได้

หยางหมิงอวี้หันหน้ามามองอินทุภาชั่วครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจโดยไม่ถามความเห็นของเธอ

แล้วมองเพื่อ?

“ได้ ไม่เป็นไร ห้องเดียวนั่นก็ได้ ขอเครื่องนอนเพิ่มด้วยแล้วกัน” เถ้าแก่ยิ้มกว้าง รีบเดินห่างออกไป

หยางหมิงอวี้หันมาเลิกคิ้ว เหมือนรอให้เธอโต้แย้ง เธอหันหน้าหนีเพราะพูดไปก็เท่านั้นแหละ

ก็เอาที่สบายใจแล้วกัน!

เถ้าแก่เปิดประตูห้องให้กว้างออกทั้งสองบาน จากนั้นก็โค้งคำนับจากไป หยางหมิงอวี้เดินนำไปเข้าก่อน เหลียวมองซ้ายขวา แล้วหันมาหาหญิงสาว

“เจ้าก็นอนที่เตียง ส่วนข้าก็ที่เก้าอี้ยาวนั่น” เขาชี้ไปอีกฟากหนึ่งของห้อง 

เธอไม่พูดอะไร เดินตรงไปที่เตียงทันที แล้วคลี่ผ้าม่านมาปิดบังสายตาคนด้านนอกไว้ ถอดเสื้อชั้นนอกออก เหลือแต่เสื้อและกางเกงตัวใน แล้วลงนอนหนุนหมอนอย่างอ่อนเพลีย

อินทุภาหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะอากาศที่เย็นลง เธออยู่ในมุมด้านในสุดของห้องยังเย็นขนาดนี้ แล้วคนด้านนอกล่ะ อินทุภาแหวกผ้าม่านแอบมอง เห็นเขานอนกอดอกตัวคุดคู้อยู่บนเก้าอี้ยาว ทำให้รู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้ เลยหยิบเสื้อเสื้อคลุมมาสวมแล้วลุกออกไปดู

“ฝ่าบาทเพคะ! ฝ่าบาท!” หญิงสาวเรียก จับแขนเขย่าเบาๆ

“หือ มีอะไร?” เขาปรือตามอง

“ลุกเถิดเพคะ ไปนอนบนเตียง ตรงนี้เย็นมาก”

“เจ้าแน่ใจรึ?”

“เพคะ มาเถอะ หม่อมฉันจะหอบผ้าห่มไปให้”

เอาเถอะ! ทนอายหน่อย ดีกว่าทำให้เขาไม่สบาย

“เราคงต้องซ้อนผ้าห่มสองผืน จะได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเจ้าเห็นว่าอย่างไร?” เขาถาม เชิงขอความคิดเห็น อินทุภาชะงักนิดหนึ่ง

เดี๋ยวนะ!..ขอตั้งสติแป๊บ!

“เอ่อ..เพคะ แบบนั้นน่าจะดีกว่า” เธอยิ้มจืดเจื่อน

หยางหมิงอวี้นอนรอให้อินทุภาลงนอนก่อน จากนั้นจึงจัดแจงปูผ้าห่มสองชั้นทับกันให้เรียบร้อย ก่อนจะค่อยๆ นอนชิดหลังและโอบเอวเธอไว้อย่างนุ่มนวล อินทุภาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงความเย็นจากมือของเขา แต่เมื่อร่างกายทั้งสองชิดกันมากขึ้น ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านกลับทำให้เธอรู้สึกร้อนมากกว่าหนาว

“นอนเถอะ ขอแค่นอนกอดเฉยๆ แบบนี้แหละ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนพิเศษ (2) : แฝดร้ายสายเกรียน! แห่งหยางซื่อ  

    หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ    ตอนพิเศษ (1) 

    ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 67 : ตอนจบ (2) ต้นกำเนิดแห่งสายเลือดและชะตากรรม

    "มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 66 : ตอนจบ (1)

    สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 65 : ลั่นกลองรบ!

    ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 64 :  ความลับที่มาพร้อมกับเรกิ!!

    "เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status