LOGINหนิงเฉินเด็กกำพร้าที่ตั้งใจเรียนการเกษตรจนจบปริญญาโท หวังเดินทางข้ามมิติไปสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองในยุค 80 ลองมาติดตามกันดูนะคะว่าเธอจะทำความฝันของเธอให้เป็นจริงได้หรือไม่และต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
View Moreณ.ห้องปฏิบัติการข้ามเวลาปี ค.ศ. 2050 ซูหนิงเฉินบัณฑิตจบใหม่ในสาขาวิชาภาคการเกษตรได้เตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นหนูทดลองให้กับการปฏิการข้ามมิติเวลาไปยังโลกยุคอดีต
หนิงเฉินซึ่งเป็นเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก มีความมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะเอาความรู้ความสามารถของเธอไปสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองในยุคอดีต เนื่องจากโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยเทคโนโลยี หุ่นยนต์ เอไอ ผู้ช่วยมากมายที่ทำให้ทุกคนมุ่งเน้นไปทางด้านการเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ กลศาสตร์ การเขียนโปรแกรม สร้างหุ่นยนต์ มีเพียงเธอซึ่งเลือกวิชาการเกษตรที่มีกลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เลือกเรียนสาขาวิชานี้
ตั้งแต่ที่หนิงเฉินรู้เรื่องโครงการข้ามมิติเวลาของบริษัทเอสแอลอี บริษัทพัฒนาวิทยาการล้ำสมัยในด้านการผลิตหุ่นยนต์ เดินทางผ่านห้วงอวกาศ และมีโครงการใหม่เกี่ยวกับการข้ามมิติเวลา เธอก็มุ่งมั่นตั้งใจเข้ามาเป็นอาสาสมัครโดยมีเงื่อนไขว่าทางบริษัทต้องส่งเสียเธอเรียนจนจบในระดับปริญญาเอก ส่วนเรื่องคุณสมบัติและการสัมภาษณ์นั้นกว่าเธอจะผ่านมาได้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยมาขอสมัครเพื่อแย่งสิทธิ์เหล่านี้ เพราะแม้นการข้ามมิติจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่าและเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของใครหลายๆคนเช่นตัวเธอเอง
และวันนี้ก็ถึงกำหนดที่เธอจะได้เดินทางข้ามมิติเวลาตามที่ตั้งใจเอาไว้ในช่วงอายุ 23 ปีที่เธอเรียนจบปริญญาเอกในสาขาวิชาภาคการเกษตรเรียบร้อยแล้ว
“พี่เจียงหลุน ฉันพร้อมแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่คอยดูแลฉันมาตลอดหลายปีมานี้” หนิงเฉินเอ่ยกับโจวเจียงหลุน นักวิทยาศาสตร์ดูแลโครงการที่ทำหน้าที่ดูแลเธอโดยเฉพาะ ซึ่งอาสาสมัครข้ามมิติเวลาแต่ล่ะคนจะมีผู้ดูแลเป็นของตัวเอง ส่วนเธอจะเป็นเจียงหลุนที่คอยดูแลจัดเตรียมความพร้อมให้เธอทุกด้านตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อนเพื่อก้าวเข้าสู่วันปฏิบัติการจริงในวันนี้
“เฉินเฉิน..การข้ามมิติเวลาในวันนี้หากสำเร็จเราก็ไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ ฉันหวังว่าเธอจะโชคดีได้ไปยังยุคสมัยที่เธอปรารถนาและได้ทำในสิ่งที่ต้องการจนสำเร็จล่ะ” เจียงหลุนเอ่ย เขาสนิทสนมกับหนิงเฉินเพราะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยเตรียมความพร้อมและดูแลเรื่องข้อสัญญาต่างๆให้เธอมา 4 ปีเต็ม ดังนั้นเขาเองก็เห็นว่าเธอเป็นเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง ยามนี้น้องสาวต้องเดินทางไกลและคงไม่ได้กลับมาพบเจอกันอีกก็อดใจหายไม่ได้
“แน่นอนค่ะ ฉันต้องประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้อยู่แล้วล่ะ” หนิงเฉินกล่าวใบหน้ายิ้มแย้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ยังจำได้ใช่ไหมว่าฉันเคยเตือนอะไรไว้ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการข้ามมิติไปยังอีกโลกหนึ่ง” เจียงหลุนถาม หนิงเฉินทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“จำได้ค่ะ เมื่อไปถึงที่นั่นฉันจะถูกจับคู่กับร่างเสมือนที่มีความคล้ายคลึงกันกับฉันในตอนนี้มากที่สุดและจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนั้น ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะเป็นใคร อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นใด”
“ถูกแล้ว เช่นนั้นเธอต้องเตรียมตัว ตั้งสติให้ดีไปถึงนู่นแล้วต้องเอาตัวรอดให้ได้นะ”
“ทราบแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใครฉันจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นให้ได้และจะทำตามความปรารถนาให้สำเร็จ”
“ดีมาก อ้อ..นี่คือของขวัญพิเศษที่ฉันเตรียมเอาไว้ให้เธอนำติดตัวไปด้วย”
“อะไรงั้นหรือคะ” หนิงเฉินเอียงคอพร้อมมองดูกล่องกำมะหยี่ขนาดกลางในมือของเจียงหลุน
“นี่คือกำไลข้อมือที่มีกลไกและความพิเศษเฉพาะตัว เธอสามารถเปิดกลไกที่พลอยแต่ละสีสามสีนี้เอาไว้ใช้งานได้แตกต่างกัน สีแรกพลอยสีน้ำเงินจะเปิดช่องว่างแห่งมิติให้เธอใช้จัดเก็บทุกสิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะขนาดใหญ่โตเพียงใดโดยไม่เสื่อมสภาพ ยกเว้นก็แต่สิ่งซึ่งกำเนิดจากธรรมชาติพวกแม่น้ำ แผ่นดิน ขุนเขา มหาสมุทรอะไรพวกนั้นนะ”
“ค่ะ”
“ส่วนพลอยสีแดง อันนี้พิเศษมาก เพราะฉันสร้างโพรงมิติให้เธอดึงสิ่งที่ต้องการโดยเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้ามากมายในโลกใบนี้ทำให้เธอสามารถเลือกและหยิบทุกสิ่งที่ต้องการได้ ภายในกลไกจะสร้างสิ่งที่เธอต้องการออกมาให้ใหม่โดยต้องใช้เวลาแล้วแต่ว่าสิ่งที่เธอเลือกเป็นอะไร หากเป็นพวกอาหารของกิน เนื้อสัตว์ ผลไม้ พืชผักก็ไม่เกินยี่สิบนาที ถ้าพวกข้าวของเครื่องใช้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนในการสร้าง อันนี้เธอต้องลองดูเองอีกทีนะ”
“เยี่ยมไปเลยค่ะ” หนิงเฉินเอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ส่วนพลอยสีสุดท้ายสีเขียวเป็นพลอยที่บรรจุยารักษาอาการ โรคภัย พิษทุกอย่างเอาไว้แทบทุกชนิดที่ฉันสะสมมาให้เธอตลอดสี่ปี เพียงเท่านี้ก็น่าจะช่วยเหลือเธอไม่มากก็น้อยแล้วนะ” เจียงหลินอธิบายคร่าวๆก่อนจะยื่นกล่องใส่กำไลวิเศษไปให้หนิงเฉิน
“พี่เจียงหลุน..ขอบคุณพี่มากจริงๆนะคะ สมแล้วที่พี่เป็นอัจฉริยะเรียนจบดอกเตอร์ตั้งแต่อายุ 19 ปี แถมได้เข้าทำงานที่นี่เลยด้วย ตอนนี้เพิ่งจะอายุ 25 ปีก็ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลโครงการข้ามมิติแล้ว ฉันนี่ก็โชคดีมากจริงๆที่ได้พี่เจียงหลุนมาเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล”
“พอเลยไม่ต้องมาชมประจบเอาใจพี่หรอก ของก็ให้ไปแล้วเก็บรักษาเอาไว้ดีๆล่ะ อ้อ..แล้วกำไลวงนี้มีแค่เพียงสองวงในโลกนี้เท่านั้นนะ วงหนึ่งพี่ทำเอาไว้สำหรับตัวเอง ส่วนอีกวงหนึ่งก็ที่ให้เธอไปนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีๆและใช้อย่างคุ้มค่าล่ะ”
“ได้เลยค่ะ รับรองว่าฉันจะใช้มันอย่างดีเลยทีเดียวขอบคุณอีกครั้งนะคะพี่เจียงหลุน”
“อืม..เอาล่ะได้เวลาแล้ว ไปเถอะ โชคดี” เจียงหลุนเอ่ยก่อนจะเปิดประตูทางเข้าเครื่องข้ามมิตืซึ่งเป็นเสมือนหลอดแก้วแคปซูลขนาดใหญ่ที่บรรจุคนเข้าไปได้ ซึ่งหนิงเฉินก็เข้าไปยืนด้านใน พอปิดประตูเสร็จเจียงหลุนก็เริ่มดำเนินการเปิดระบบเพื่อทำการส่งหนิงเฉินไปยังอีกมิติหนึ่งในปี ค.ศ. 1980 หรือย้อนหลังกลับไปจากโลกยุคปัจจุบันประมาณ 70 ปี
เมื่อเครื่องเริ่มดำเนินการลำแสงสว่างจ้าก็ฉายลงมาจากอุปกรณ์ที่ทันสมัยด้านบนแคปซูล แสงนั้นสว่างจ้ามากจนทุกคนรวมทั้งหนิงเฉินต้องใส่แว่นตาป้องกันเอาไว้ หลังจากผ่านไปราว 15 นาทีเมื่อแสงสว่างดับลงไป ร่างของหนิงเฉินก็หายวับไปจากแคปซูลแห่งกาลเวลานั้นแล้ว
หนิงเฉินที่ผ่านห้วงมิติเวลามามองเห็นรูหนอนที่เป็นโพรงมิติทับซ้อนกันอยู่มากมาย เพียงแต่สำหรับเธอนั้นแยกไปในโพรงหนึ่งที่ถูกตั้งพิกัดจับคู่เสมือนที่ตัวเธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่เอาไว้แล้ว
ซึ่งการสวมร่างแทนที่กันนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อตัวเธอกับบุคคลผู้นั้นมีความเหมือนกันโดยรวมมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ที่สำคัญเลยคือต้องมีเรื่องอะไรกับร่างนั้นที่ทำให้เธอต้องหายไปจากยุคสมัยที่อยู่ก่อนหน้าหรือเรียกง่ายๆว่าตายไปแล้วนั่นเอง
หนิงเฉินเดินทางมาเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร รูหนอนประหลาดมีสีสันแปลกตาก็ยืดยาวออกไปเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด หากแต่ผ่านไปอีกสักพักใหญ่เธอก็เริ่มเห็นแสงสว่างส่องมาจากปลายทางอีกฟากหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้วนั่นเอง
หนิงเฉินเดินเข้ามาดูสองปู่หลานช่วยกันซ่อมเล้าไก่ก่อนจะเอ่ยปากทักทายพวกเขา“คุณปู่ เสี่ยวเยว่ซ่อมเล้าไก่ใกล้เสร็จหรือยังคะ”“อ้อ..เฉินเอ๋อกลับมาแล้วเหรอ เราซ่อมเล้าไก่กันใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ หนูมาก็ดีแล้ว ปู่มีธุระสำคัญจะคุยด้วยพอดี” คุณปู่ซูเอ่ยกับหลานสาว“ธุระสำคัญงั้นเหรอคะ เรื่องอะไรกันคะคุณปู่”“เดี๋ยวทำงานนี้เสร็จแล้วค่อยคุยก็แล้วกันนะ” คุณปู่ซูยังไม่ยอมบอกธุระที่ว่าสำคัญนั้น“ได้ค่ะ งั้นหนูกลับไปช่วยคุณแม่ทำของว่างมาให้ทุกคนทานก่อน แล้วถ้าคุณปู่เสร็จงานทางนี้ให้เสี่ยวเยว่ไปตามหนูก็แล้วกันนะคะ”“เอางั้นก็ได้” คุณปู่ซูรับคำ ส่วนห่าวเยว่ก็พยักหน้าให้พี่สาวเป็นการตอบรับ หนิงเฉินจึงบอกคุณย่าซูนิดหนึ่งว่าจะไปทำของว่างมาให้จากนั้นก็เดินกลับไปที่บ้านเมื่อมาถึงหนิงเฉินก็อาสาเข้าครัวก่อนจะลงมือทำของว่างเป็นบัวลอยไส้งาดำน้ำขิงง่ายๆให้กับทุกคน หลังจากทำของว่างเสร็จห่าวเยว่ก็กลับมาที่บ้านพอดี หนิงเฉินจึงยกของว่างมาให้พ่อกับแม่จากนั้นก็นำส่วนของตนเองและปู่ย่าไปให้ที่บ้านอีกหลัง“เสี่ยวเยว่เดี๋ยวนายไปตักของว่างเอาเองในครัวนะ พี่จะเอาของว่างไปให้ปู่กับย่า แม่กับพ่อคะหนูไปทานของว่างที่บ้านนู้นเลย
หลังจากคุณลุงคนที่เป็นลูกค้าร้านขายของป่าได้ฟังตำแหน่งที่ตั้งของตลาดมืดจากพ่อค้าของป่าแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที โดยมีหนิงเฉินแอบลอบตามไปห่างๆเส้นทางไปยังตลาดมืดค่อนข้างจะวกวนไม่น้อย หากไม่ใช่คนในพื้นที่หรือแม้นแต่คนในพื้นที่เองก็เกรงว่าจะหลงทางได้ถ้าไม่เคยไปมาก่อน และคุณลุงคนนั้นก็พาเธอเดินวนไปเวียนมาจนสับสน แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้สภาพของตลาดมืดดูดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้ ได้ยินว่ายุคสมัยนี้รัฐบาลไม่ค่อยจะเข้มงวดกับการค้าขายในตลาดมืดมากนักจึงมีผู้คนคึกคักมากมายไปหมดหนิงเฉินเดินสำรวจร้านค้าต่างๆที่มีสินค้าดีคุณภาพสูงเยอะแยะมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน มีตั้งแต่พืชผักผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับของตกแต่ง อาหารสด อาหารแห้ง อาหารแปรรูป ไปจนกระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภท แม้นแต่รถจักรยานก็มีขายที่นี่ นับว่าเป็นตลาดที่มีสินค้าครบครันจริงๆ ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยคูปอง เพียงมีเงินสดก็สามารถจับจ่ายซื้อขายกันได้แล้วหนิงเฉินเตรียมสมุดและปากกามาจดรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดมืด
หนิงเฉินเดินเข้ามาในบ้านของปู่กับย่าในมือถือชามใส่หมูสามชั้นตุ๋นผักดองชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พอสมควรสองชิ้นเอาไว้ส่งกลิ่นโชยหอมน่ากินเธอเดินดูไปรอบๆบ้านแต่ยังไม่เห็นใครที่นั่น หากแต่เดินไปได้สักพักเธอก็ได้กลิ่นหอมอบอวลของกับข้าวลอยมาจากในครัว หนิงเฉินไม่รีรอเดินตามกลิ่นหอมๆนั้นไปทันที“คุณปู่คุณย่าอยู่ที่นี่เองเหรอค่ะ” หนิงเฉินส่งเสียงทักทายสองผู้เฒ่าที่กำลังช่วยกันหุงหาอาหาร“อ้อ..เฉินเอ๋อนั่นเอง ว่าอย่างไรเล่า” คุณปู่ซูเอ่ยทักทายและออกปากถามหลานสาว“คุณแม่ให้หนูเอาหมูสามชั้นตุ๋นผักดองมาให้ค่ะ” หนิงเฉินตอบก่อนจะเดินไปทางคุณย่าซู“อืม หน้าตาน่ากิน กลิ่นก็หอมสมกับเป็นฝีมือเย่าหลิน ต้องอร่อยแน่ๆ” คุณย่าซูเอ่ยกับหลานสาว“ใช่ค่ะ อาหารฝีมือคุณแม่อร่อยทุกอย่าง ความจริงคุณปู่คุณย่าเองก็ไม่น่าต้องลำบากทำอาหารทานเองเลยนะคะ ไปทานด้วยกันกับพวกเราก็ได้นี่คะ” หนิงเฉินเอ่ย เนื่องจากคุณปู่คุณย่าของเธอไม่ได้เรียกรวมทานอาหารด้วยกันทุกมื้อ เพียงแต่นัดแนะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสัปดาห์ล่ะครั้ง ส่วนทางด้านครอบครัวของคุณลุงก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านอย่างน้อยเดือนละครั้งและทานอาหารร่วมกันทุกคนส่วนห่าวหมิงพี่ช
เมื่อใกล้ถึงปากทางออก แสงที่ส่องเข้ามาก็ดูเหมือนว่าจะสว่างมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนเธอมองไม่เห็นอะไรเลย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างราวกับเธอเป็นแผ่นโลหะที่กำลังถูกแม่เหล็กขนาดยักษ์ดึงดูดเข้าไปที่ใดที่หนึ่งผ่านไปชั่วครู่ก็มีภาพความทรงจำของเด็กสาวผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาให้เห็นฉายเป็นภาพอยู่ในสมอง ประทับอยู่ในความทรงจำ เป็นเรื่องของเด็กสาวอายุ 17 ปีนามว่าซูหนิงเฉิน รูปร่างหน้าตาชื่อสกุลคล้ายคลึงกลับเธอทุกอย่างเพียงแต่เป็นเธอในช่วงวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายที่โรงเรียนแถบชานเมืองเจิ้นโจวครอบครัวของหนิงเฉินที่นี่อยู่ร่วมกันกับปู่ย่ามีนามว่าซูเมิ่งจื่อกับซูไห่เม่ย เธอมีลุงคนหนึ่งนามว่าซูอี้ไห่กับภรรยาหรือป้าสะใภ้ของหนิงเฉินนามว่าซูเจียหลินพวกเขามีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนอายุ 18 ปีนามว่าซูจินม่าย ลุงของเธอทำงานเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง ป้าสะใภ้เป็นแม่บ้าน จินม่ายกำลังเรียนในมหาลัยเจิ้นโจวชั้นปีที่ 1 ครอบครัวของลุงจึงไปเช่าบ้านอยู่ร่วมกันในเมืองส่วนครอบครัวเธออยู่กับปู่ย่าที่นอกเมืองแห่งนี้โดยมีพ่อของเธอนามว่าซูอี้เฉิน แม่ของเธอนามว่าซูเย่าหลิน เธอมีพี่ชาย 1











