LOGIN“ถวายบังคมเพคะ หนิงกุ้ยเฟย” เสียงทุกคนประสานก้อง เมื่อเข้ามาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋กง
“พวกเจ้านั่งเถิด” หนิงกุ้ยเฟยบอกพลางหลับตา ใช้มือนวดขมับเบา ๆ อยู่บนตั่งไม้ตัวใหญ่ที่หน้าโถงประทับ
เซียวชิงเฟิงเห็นท่าทางอิดโรยเช่นนั้น จึงได้ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เหนียงเหนียงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หนิงกุ้ยเฟยโบกมือไปมา “เมื่อวานข้ากลับจวนไปเยี่ยมมารดาน่ะ จึงพักผ่อนน้อยไปหน่อย ขอบใจเฟิงเอ๋อร์ที่เป็นห่วง”
หลี่ชิงหงเลิกคิ้วถามในใจ ไปเยี่ยมมารดาที่จวน หรือหาทางกลับวังกันแน่เพคะ...
“ว่าแต่วันนี้ พวกเจ้ามาหาข้าด้วยเหตุใดรึ?” หนิงกุ้ยเฟยถามด้วยความสงสัย สายตาคมกวาดมองไปทั่ว ก่อนจะเห็นหลี่ชิงหงที่ถอดหมวกลงมาวางไว้ข้างตัวแล้วด้วย
แม่นางคนนั้นที่ช่วยข้าที่โรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอมิใช่รึ?
หรือว่าที่พวกนางมา... จะรู้แล้วว่าข้าแอบหนีไปโรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอ จึงให้นางมาเป็นพยานชี้ตัวข้า?
ความคิดของหนิงกุ้ยเฟยเริ่มเตลิดไปไกล หลี่ชิงหงเห็นแววตาร้อนรนของอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจได้ จึงได้ลุกขึ้นทำความเคารพ แล้วเอ่ยสรุปเรื่องราวอย่างสั้นกระชับที่สุด
“ทูลหนิงกุ้ยเฟ
“นี่คือซูหลิน นางกำนัลตำหนักชุ่ยหลิวเก๋อของเจ้ามิใช่รึ? หลู่ซูเฟย” หนิงกุ้ยเฟยถามเสียงดังมิใช่ว่านางจะสามารถจำหน้านางกำนัลของสนมได้ทุกคนหรอก เพียงแต่ครั้นได้พบเจอบ่อยเข้า อย่างน้อยก็พอจะคุ้นหน้าว่าแต่ละนางประจำอยู่ตำหนักใดบ้าง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่นางเฝ้าระวังตำหนักชุ่ยหลิวเก๋อ จึงทำให้นางจดจำนางกำนัลตำหนักนี้ได้ค่อนข้างมากและแม่นยำ“เหตุใดนางกำนัลตำหนักชุ่ยหลิวเก๋อของเจ้าจึงได้มาคุกเข่าอยู่ร่วมกับนางกำนัลตำหนักมู่ตานเตี้ยนของจวงเต๋อเฟยเล่า?” หนิงกุ้ยเฟยแสร้งถามเสียงสูง “คนในตำหนักมู่ตานเตี้ยนทั้งหมด ข้าเพิ่งจับกุมเขาเมื่อครู่นี้เอง แต่มีคนของเจ้าแต่งหน้าปลอมปนเข้ามาเช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกันหนอ?”ใบหน้าของหลู่ซูเฟยเปลี่ยนสีอย่างฉับไว ประเดี๋ยวซีดเผือดประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบพลิกสถานการณ์อย่างไรดี เมื่อพยานถูกจับกุมอยู่ตรงหน้าใช่... นางไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ซูหลินมิใช่คนในตำหนักของนาง แล้วเหตุใดนางจึงมาโผล่ที่ตำหนักของจวงเต๋อเฟยได้ในสภาพที่แต่งหน้าปลอมตนเป็นนางกำนัลของจวงเต๋อเฟย อีกทั้งยังเป็นสถานการณ์ที่จวงเต๋อเฟยเพิ่งถูกวางยาอีกด้ว
“พี่หญิงกำลังรอหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดเพคะ?” หลู่ซูเฟยเลิกคิ้วถาม พลางเดินนวยนาดเข้ามาใกล้ คลี่พัดในมือโบกไปมาเล็กน้อย “ว่าแต่น้องหญิงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? หม่อมฉันตั้งใจนำยาบำรุงมาเยี่ยมน้องหญิงโดยเฉพาะเลยนะเพคะ”หลู่ซูเฟยกล่าวพลางกวาดสายตาไปทั่วแล้วจึงคลี่พัดมาบดบังรอยยิ้มนั้น จากสถานการณ์ตรงหน้า จวงเต๋อเฟยคงจะโดนพิษยาขับเลือดจนเสียเลือดมากแล้วสินะ เช่นนั้น นางก็คงจะไม่รอด...หากแต่ดูท่าหนิงกุ้ยเฟยจะมาทันกาลอีกครั้ง จึงฉวยโอกาสเข้าจับกุมคนของตำหนักมู่ตานเตี้ยนอย่างแน่นหนาเช่นนี้ชิ! เห็นที ครั้งนี้คงไม่อาจโยนความผิดให้นางได้อีกครั้ง...“น่าเสียดาย เจ้ามาผิดเวลาไปสักนิด เมื่อครู่จวงเต๋อเฟยเพิ่งโดนวางยา หมอหลวงกำลังเร่งช่วยชีวิตนางอยู่”หลู่ซูเฟยยกมือขึ้นทาบอก แสร้งตกใจ “ว้าย! เหตุใดจึงมีผู้กล้าวางยาน้องหญิงเล่าเพคะ? วางยายามสตรีคลอดลูกเช่นนี้ มิใช่ว่าหมายเอาชีวิตกันเลยหรือ?”“ก็ใช่น่ะสิ ช่างชั่วช้าเสียจริง” หนิงกุ้ยเฟยพยักหน้าหงึกหงัก “ต่ำช้าสิ้นดีที่กล้าลงมือในยามที่ผู้อื่นกำลังอ่อนแอ เพียงเพราะหวาดระแวงว่าจะได้ดีไปกว่าตนเอง หากจับได้คงไม่พ้น
ในขณะที่หนิงกุ้ยเฟย ฉินเจียวเยี่ยน และหลี่ชิงหงเร่งก้าวเท้าเข้าไปในห้องบรรทมภายในตำหนักมู่ตานเตี้ยน บรรดานางกำนัลได้จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยหมดแล้ว แม้ว่ายังจะมีกลิ่นคาวเลือดลอยอบอวลหลงเหลืออยู่บางเบาดวงตาของทั้งสามคนเข้มขึ้น เมื่อเห็นว่าจวงเต๋อเฟยกำลังยกถ้วยยาขับเลือดขึ้นดื่ม โดยที่ซิงเหยาคุกเข่าอยู่ข้างเตียง“อย่า!!” สามนางต่างร้องประสานเสียง เป็นหนิงกุ้ยเฟยที่เดินนำอยู่ด้านหน้ารีบสาวเท้าไปปัดถ้วยยานั้นจนตกแตกข้างเตียงเพล้ง!! ถ้วยยาแตกกระจายเช่นเดียวกับยาน้ำสีน้ำตาลที่สาดกระเซ็นไปทั่ว“หนิงกุ้ยเฟย!!” ซือหมัวมัวร้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นพระสนมที่ยศสูงกว่าก้าวเข้ามาทำเช่นนี้กับเจ้านายของตน “เหตุใดท่านจึงขัดขวางมิให้จวงเต๋อเฟยดื่มยาขับเลือดกันเพคะ?”“เอ่อ.. ไม่ คือ...” หนิงกุ้ยเฟยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพราะนางปักใจเชื่อตามคำวิเคราะห์ไปแล้วว่า อย่างไรก็ดียาถ้วยนี้ย่อมมีปัญหาอย่างแน่นอน“หนิงกุ้ยเฟย...” ใบหน้าซีดเผือดของจวงเต๋อเฟยช้อนมองด้วยความสงสัย ก่อนที่นางจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “อ๊ะ โอ๊ย! ท้องของข้า ข้าปวดเหลือเกิน อ๊า
“ยาขับเลือดของจวงเต๋อเฟยยังไม่เสร็จอีกหรือเจ้าคะ?” เสียงนางกำนัลนามว่า ซิงเหยา ประจำตำหนักมู่ตานเตี้ยนถามขึ้น ในขณะที่โผล่หน้ามาที่ห้องยาหลวงหมอหลวงที่มีหน้าที่ต้มยาให้แก่พระสนมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าซิงเหยา ก่อนจะพยักหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นนางกำนัลของจวงเต๋อเฟยจริง ๆ “ใกล้จะเสร็จแล้ว”ยาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำในหม้อดินเผาถูกเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ จนกระทั่งงวดได้ที่ หมอหลวงจึงนำยามากรองด้วยผ้าละเอียดหลายชั้น เพื่อแยกกากสมุนไพรออกให้หมด ให้เหลือเพียงน้ำยาที่ใสและปราศจากสิ่งเจือปนหมอหลวงใช้ทัพพีที่ทำจากเงินคนยาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ยาเข้ากันดีและมีอุณหภูมิที่สม่ำเสมอ แล้วจึงเทใส่ถ้วย ใช้กระดาษชุบน้ำหมาด ๆ ปิดทับลงบนปากถ้วยยา จากนั้นใช้เชือกที่ทำจากเส้นไหมมัดปากถ้วยยาและพันรอบตัวถ้วยให้แน่นหนาสุดท้ายจึงใช้ขี้ผึ้งสีแดงหยอดลงบนปมเชือกที่มัดไว้ แล้วประทับด้วยตราประทับประจำตัวของหมอหลวงผู้ปรุงยา“เอาล่ะ เจ้าจงรีบนำไปถวายจวงเต๋อเฟยให้ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาดได้โดยเด็ดขาด!”“เจ้าค่ะ ท่านหมอหลวง” ซิงเหยาก้าวเข้าไปใกล้แล้วยกถาดไม้ที่มีถ้วยยาขึ้นมา “จวงเต๋อเฟย
ด้านหน้าตำหนักมู่ตานเตี้ยนนั้น บรรดานางกำนัลและขันทีต่างวิ่งเข้าวิ่งออกอย่างวุ่นวาย ท่ามกลางเสียงร้องอย่างกระสับกระส่ายของจวงเต๋อเฟยที่เล็ดลอดออกมาจากห้องบรรทมเป็นระยะ ๆซือหมัวมัว คนสนิทของจวงเต๋อเฟยมีสีหน้าเคร่งขรึมและสั่งการอย่างรวดเร็ว “รีบไปต้มยาสมุนไพรตำรับที่สาม และน้ำแกงไก่สำหรับขับเหงื่อ”สิ้นเสียงของซือหมัวมัว ความวุ่นวายก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ภายในตำหนักก็มีความวุ่นวายไม่ต่างกัน หมอตำแยได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เมื่อเห็นจวงเต๋อเฟยจิกมือจนเลือดไหล นางพยายามปลอบประโลมให้พระสนมตั้งสติอยู่เสมอ แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะไม่มีสติมากพอจะรับฟังคำพูดนั้นแล้ว“จวงเต๋อเฟย... ได้โปรดทำใจให้สบายเพคะ” หมอตำแยกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่จวงเต๋อเฟยก็ยังคงกรีดร้องออกมา“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องอย่างทรมาน ทำให้ทุกคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกอดที่จะรู้สึกใจหายไม่ได้ โดยเฉพาะขบวนจากตำหนักเฟิ่งอี๋กงที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงเสียงกรีดร้องของจวงเต๋อเฟยทำให้ฉินเจียวเยี่ยนอดขมวดคิ้วไม่ได้‘ยามนั้นข้ากรีดร้องดังเพียงนี้หรือไม่น
หลังจากวันนั้น ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปสืบความตามทางที่ตนถนัด เซียวชิงเฟิงสั่งให้ตงไฮ่ส่งคนเข้าไปสอดแนมทุกคนในตระกูลหลู่อย่างใกล้ชิด และคอยรายงานอย่างต่อเนื่องในขณะที่หนิงกุ้ยเฟยเองก็สั่งให้นางกำนัลและขันทีคนสนิทคอยจับตาดูคนในตำหนักชุ่ยหลิวเก๋อของหลู่ซูเฟยและคนของตำหนักมู่ตานเตี้ยนของจวงเต๋อเฟยด้วยเช่นกันส่วนหลี่ชิงหงก็กลับไปทำงานที่โรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอตามปกติ เพื่อคอยจับตาดูว่า เซี่ยหมิงลี่ หลินจือฮุ่ยและหวังจิ้งถิงกลับมาใช้บริการอีกหรือไม่หากแต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือเซียวชิงฉีที่แวะเวียนขอมาร่วมโต๊ะทานชาบูด้วยแทบจะวันเว้นวัน จนตอนหลังก็แทบจะเป็นการร่วมโต๊ะมื้อเย็นทุกวันภายใต้ข้ออ้างที่ว่ามาสอบถามความคืบหน้าของฮูหยินทั้งสามวันเวลาล่วงผ่านไปท่ามกลางความตึงเครียดของทุกคน จนกระทั่งอายุครรภ์ของจวงเต๋อเฟยล่วงเข้าเดือนที่เก้า เหล่าหมอหลวงและหมอตำแยคาดการณ์ว่าไม่เกินวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็น่าจะถึงกำหนดประสูติสายเลือดมังกรฉินเจียวเยี่ยนจึงได้ชักชวนหลี่ชิงหงมาเข้าเฝ้าหนิงกุ้ยเฟยด้วยกัน โดยใช้บุตรชายอย่างเซียวชิงเจ๋อเป็นข้ออ้าง ในขณะที่เซียวชิงเฟิงแ







