“แม่คะ ข้าวเช้า?”
“ไม่ ฉันรีบ แกกินไปเถอะ ไปเร็วตาโอบ” ผกากรองพาโอบนิธิเดินออกไป เทียนหยดไม่ทันได้ทักทายน้องชายด้วยซ้ำ
ศรีสุรางค์เดินลงบันไดมาพร้อมหลานชาย ทั้งสองจับจูงกันเข้ามาในห้องอาหาร พากันนั่งลงก่อนที่วงมื้อเช้าจะเริ่มต้นขึ้น สมัตถ์เพียรตักกับข้าวลงในถ้วยข้าวต้มจืดๆ ให้ภรรยา ท่าทีรักใคร่ห่วงใยนั้นทำให้เทียนหยดอดสมเพชไม่ได้ เพราะถ้าราตรีมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับจีรวัฒน์จริงละก็ สมัตถ์ก็คงเข้าข่ายถูกสวมเขาโดยไม่รู้ตัวเลย แต่บอกไปคงไม่มีใครเชื่อ ในเมื่อราตรีไม่ได้แสดงออกให้คนอื่นรู้เลยว่าหล่อนมีรสนิยมนอกใจสามี และหากบอกสมัตถ์ในเรื่องนี้ คงเป็นเธอมากกว่าที่อาจโดนด่าเปิงกลับมา ให้สืบจนรู้แน่ชัดก่อนเถอะ รับรองว่าทั้งราตรีและจีรวัฒน์ได้เจ็บไม่น้อยกว่าเธอแน่นอน
“ย่าปวดเข่าจังเลยตามัตถ์ เดินเหินไม่ค่อยจะคล่อง อึดอัด” ศรีสุรางค์ว่าพลางตักข้าวต้มเข้าปาก เทียนหยดหันมามองอย่างใคร่รู้
“ไปหาหมอไหมครับ ผมพาไป”
“ไม่ๆๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอก” คนเป็นย่ารีบห้าม ด้วยไม่อยากรบกวนหลานชาย
“ความจริง...การออกกำลังกายเบาๆ ก็ช่วยได้นะคะ” เทียนหยดเสนอ ทุกคนหันมามอง ก่อนที่ศรีสุรางค์จะทำเมินใส่ “โอเคค่ะ ก็แค่เสนอน่ะ คนเราอยู่บ้านเดียวกัน”
“ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก ลูกหลานฉันก็มี”
หญิงชราตอบอย่างถือดีจนเทียนหยดต้องถอนหายใจอย่างระอา
“โอเคค่ะ คราวหน้าถ้านอนตายตรงหน้า หนูก็จะเดินข้ามค่ะ” ตอบแล้วยิ้มเพลียๆ แต่สะใจบอกไม่ถูก
“เทียนหยด!” สมัตถ์ปราม แต่เทียนหยดหรือจะกลัว
“ฉันพูดจริงค่ะ ฉันไม่เคยคิดร้ายกับคนบ้านนี้ ฉันมาเพราะพ่อเลี้ยงฉันสั่งไว้ ฉันพยายามทำดีกับพวกคุณนะคะ ฉันดีเท่าที่ดีได้ แต่อย่าให้ฉันร้ายก็แล้วกัน เพราะถ้าฉันร้าย พวกคุณได้โกรธฉันยิ่งกว่านี้แน่ๆ ฉันเป็นคนเจ็บแล้วต้องเอาคืนค่ะ ทุกเรื่องด้วยนะ” บอกแล้วจ้องหน้าราตรีตาไม่กะพริบ มื้อเช้าวันนี้มันกร่อยสนิทเสียแล้วล่ะ
“เธอหมายความยังไงกันแน่” ราตรีพาลน้อยๆ ด้วยรู้สึกว่าเทียนหยดกำลังพูดกับเธอมากกว่าพูดกับคนอื่น
“หมายความตามนั้น ของของใครก็ต้องหวงเป็นธรรมดานะคะคุณราตรี” พูดกำกวมให้ทุกคนสงสัย ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมมายังที่นั่งของสมัตถ์ “ไปกันเถอะค่ะ สายแล้ว” บอกแล้วดึงแขนสมัตถ์ขึ้นมา
ชายหนุ่มลุกตามอย่างงงๆ ยิ่งตอนที่เทียนหยดคล้องแขนเข้ากับแขนแกร่งของเขา เขาก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก
ราตรีลุกมายืนอย่างไม่พอใจ ก้มมองแขนของเทียนหยดที่คล้องแขนสามีแล้วอ้าปากค้างพูดไม่ออก
“ไปกันเถอะค่ะ ฉันรีบ”
เทียนหยดบอกแล้วดึงสมัตถ์ออกมา ราตรีตามมาติดๆ จนถึงหน้าบ้าน
สมัตถ์สะบัดแขนเทียนหยดออกอย่างแรงจนหญิงสาวเซน้อยๆ ทว่ามีรอยยิ้มที่มุมปาก มันสนุกที่ได้แกล้งราตรีให้ประสาทแตก
“เธอทำบ้าอะไรฮะ! มาควงแขนฉันทำไม!” สมัตถ์ว่า พอได้สติก็หัวเสียไม่น้อย หันมองร่างภรรยาที่เดินตามมาก็ยิ่งใจหาย ไม่แคล้วแม่คนขี้หึงได้คาดโทษเขาแล้วแน่ๆ
“ใช่! มีสิทธิ์อะไรทำแบบนี้ฮะ! ฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ!” ราตรีเดือดดาลอย่างที่สุด จะเข้าไปเอาเรื่องเทียนหยดตามประสาภรรยาขี้หึง แต่สามีดึงร่างไว้
เทียนหยดยิ้มเยาะ อย่างนี้แหละที่เธอต้องการ
“ทำไมจะควงไม่ได้ละคะ ทำมากกว่านี้ก็เคย หรือคุณว่าไงคะสมัตถ์ เรื่องเมื่อเช้าน่ะ”
“กรี๊ด...นังเทียน! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!”
ราตรีร้องกรี๊ดๆ ประหนึ่งนางร้ายในละครหลังข่าว
เทียนหยดยิ้มสมใจ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถอย่างผู้ชนะ ส่วนสมัตถ์นั้นหรือ ก็โดนทุบถองจากศรีภรรยาเสียน่วม
ตุบตับๆๆ
“โอ๊ย! ไนท์! พอๆๆ มันไม่มีอะไรหรอกน่า”
“ไม่มีแล้วนังเทียนมันจะกล้าพูดแบบนั้นหรือฮะ! บอกมาเดี๋ยวนี้นะสมัตถ์!”
“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ” โป้ปดออกไปเพื่อเอาตัวรอด ขืนให้ราตรีรู้เรื่องเขากับเทียนหยดเมื่อเช้านี้ละก็ มีหวังวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานแน่ๆ
“ไม่จริง! ไนท์ไม่เชื่อ นี่แน่ะๆๆ”
แล้วราตรีก็ใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบร่างสามีไปหลายที สมัตถ์เห็นท่าไม่ดีก็เตรียมเผ่น
“โอ๊ยไนท์! เอาไว้คืนนี้ค่อยคุยกันนะที่รัก ผมไปทำงานก่อน ไปแล้วนะ!” ว่าแล้วก็พากายออกห่างกำปั้นน้อยๆ ของศรีภรรยา เป็นจังหวะเดียวกับที่เทียนหยดกำลังจะเลี้ยวรถออกไปจากบ้าน เขาวิ่งเข้าไปขวางหน้า หล่อนเบรกกะทันหัน เขารีบเดินไปเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งข้างหล่อน งานนี้เทียนหยดต้องมีคำอธิบาย!
“มัตถ์! มัตถ์คะ! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ! กรี๊ด....”
ราตรียืนกรีดร้องอยู่ลำพัง ความไม่พอใจมันเอ่อท้นล้นอกราวกับใครเอาไฟสุมหัวใจก็มิปาน
“ไนท์? เป็นอะไรลูก” ศรีสุรางค์เดินออกมาถามหลานสะใภ้ สีหน้าท่าทางและเสียงร้องกรี๊ดๆ ของราตรีทำเอานางต้องลุกจากโต๊ะอาหารแล้วตามมาดู
“ก็นังเทียนสิคะ นังเทียนมัน...มัน...”
“มันอะไร” ศรีสุรางค์ย้อนอย่างใคร่รู้
ราตรีพูดไม่ออก เพราะจนแล้วจนรอดเธอก็ไม่รู้ว่าเมื่อเช้ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างสมัตถ์กับเทียนหยดกันแน่
“อะไรล่ะแม่ไนท์”
“โธ่...คุณย่าคะ! ไนท์ไม่รู้จะพูดยังไง!” ราตรีตะคอกหญิงชราแล้วสะบัดก้นจากมา หัวใจในอกร้อนรุ่มดั่งเพลิงกัลป์ มันกังวล มันคิดมาก ถ้าไม่มีมูลแล้วเทียนหยดจะกล้าเอ่ยออกมาได้อย่างไร
“โธ่เว้ย! มันเรื่องอะไรกันวะ!”
ราตรีสบถเสียงดังลั่นเมื่อขึ้นมาถึงห้องนอนตัวเอง ผ้าปูที่นอนและผ้านวมซึ่งสาวใช้จัดไว้อย่างเรียบร้อย บัดนี้ถูกเจ้าของดึงทึ้งเพื่อระบายอารมณ์ แต่ยังก่อน มันยังไม่หมด อารมณ์โกรธไม่มีทางมอดดับจนกว่าเธอจะได้ปลดปล่อย ตั้งแต่แต่งงานกับสมัตถ์ เธอไม่เคยเต็มอิ่มในเรื่องบนเตียงเลย มันจริงที่สมัตถ์ปรนเปรอให้เธออย่างเต็มกำลัง แต่มันยังไม่เต็มที่สำหรับเธอ เธอต้องการมากกว่านั้น ต้องการเมื่อไหร่ต้องได้ มิใช่แค่รอจากสามียามเข้านอน
มือเรียวหยิบสมาร์ตโฟนเครื่องเก่งมาเลื่อนหาเบอร์อันคุ้นเคย ก่อนจะกรอกเสียงส่งไป
“ฮัลโหล อยู่ไหม”
“อยู่สิครับ จะให้ไปไหนล่ะ”
“ดี...อีกยี่สิบนาทีเจอกัน” สั่งแล้วเลื่อนหน้าจอด้วยปลายนิ้วเพื่อวางสาย ก่อนจะเปลี่ยนชุดใหม่ คว้ากระเป๋าถือแล้วเดินลงไปด้านล่าง เลือกใช้บริการรถแท็กซี่เพื่อความปลอดภัย ด้วยว่าคนที่เธอกำลังจะไปพบ เขาจะต้องเป็นคนในความลับ มีหน้าที่บางอย่างเท่าที่เธอต้องการเท่านั้น เธอเป็นคนที่มีอารมณ์ปรารถนาร้อนแรง ในเมื่อสมัตถ์ให้เธอไม่มากพอ เธอก็ต้องไปหาเอาจากคนอื่น มันผิด เธอรู้ แต่เธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เขาก็เป็นแค่เครื่องมือระบายความใคร่ เธอมั่นใจว่ายังรักสมัตถ์ และไม่มีวันปล่อยเขาให้หลุดมืออย่างแน่นอน
“เดี๋ยวก็เบื่อไปเองมั้งคะ”“ไม่...โอบว่าไม่เบื่อง่ายๆ หรอก พี่ต้องมีอีกสักโหลอ่า จริงๆ”“โอบ...” เทียนหยดครางเสียงต่ำ โหลหนึ่งเลยหรือ ไม่ไหวหรอก“แหะๆ โอบไปรอที่รถดีกว่า หิวแล้ว แม่ครับย่าครับ ไปขึ้นรถเร็วเข้า”โอบนิธิรีบเผ่นก่อนถูกพี่สาวเขกหัว มื้อค่ำวันนี้รอเขาอยู่ ก่อนที่สมาชิกทุกคนของบ้านจะทยอยกันไปขึ้นรถเพื่อไปฉลองงานวันเกิดให้กับเด็กหญิงตัวน้อยเด็กหญิงมัชฌาวี โสภณวิชญ์__________ทฤษฎีโลกกลมยังใช้ได้เสมอในทุกยุคทุกสมัย ในระหว่างที่ครอบครัวโสภณวิชญ์กำลังเลี้ยงฉลองอยู่นั้น ภายในร้านอาหารเดียวกันก็มีหนึ่งสตรีเฝ้ามองความอบอุ่นของพวกเขาด้วยสายตาแสนเสียดาย แม้ข้างกายมีหนุ่มใหญ่เคียงข้าง ทว่ามิใช่ในแบบปกตินานมากแล้วที่ราตรีมิได้เห็นสมัตถ์ มิได้เห็นคนที่อยู่ในหัวใจ มันทรมานยามเห็นพวกเขามีความสุข พอทนไม่ไหวก็รีบบอกให้คนข้างกายลุกกลับ เธอขอย้ายร้านด้วยไม่อยากทนมองความสุขของพวกเขาให้มันร้าวรานใจราตรีเดินออกจากร้านเงียบๆ พร้อมกับลูกค้าของตัวเอง ไม่ทันได้
-+- บทส่งท้าย -+-____________งานวิวาห์แสนหวานถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานเล็กๆ แต่อบอุ่น สองสามีภรรยาหมาดๆ เลือกทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงฯ เป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ด้วยภาวะตั้งครรภ์ของเทียนหยดไม่ชวนให้สมัตถ์อยากนั่งเครื่องบินออกนอกประเทศ ทริปฮันนีมูนสั้นๆ ไม่กี่วันของทั้งสอง เลยสรุปที่ชายทะเลที่สมัตถ์เคยมาคราวก่อน คลื่นลมยังแรงด้วยเข้าสู่ฤดูฝนพรำ คู่สามีภรรยาเดินจับมือกันเดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว กลุ่มนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาทั้งไทยและเทศ เดินกันขวักไขว่ ครึกครื้นไม่น้อย“ลมแรงจัง กลับโรงแรมดีไหม ฝนจะตกแล้วด้วย” สมัตถ์ว่าเทียนหยดส่ายหน้าดิก ซบศีรษะลงกับบ่าของสามี สองมือของทั้งสองจับกันไว้มั่น มีแหวนแต่งงานสวมไว้คนละวง“เดินต่ออีกนิดนะคะ สัก...ต้นมะพร้าวต้นนู้น...ค่อยกลับ” ว่าที่คุณแม่ชี้ไปข้างหน้า เจ้าเล่ห์น้อยๆ เพราะต้นมะพร้าวที่ว่าอยู่ไกลโข“ไม่เหนื่อยหรือไง เดินมาตั้งไกลแล้วนะ”“ไม่ค่ะ ถ้าเหนื่อย จะขึ้นหลังคุณแล้วกัน”“หึๆๆ
“ฉันรู้ และขอโทษที่มัวแต่ทำใจในเรื่องนี้จนละเลยสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อเธอ ฉันเสียใจที่แม่ต้องตาย แต่มันเสียใจมากกว่าเดิมที่รู้ว่าคนที่ทำให้ท่านต้องตาย...คือเธอ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผิดหวังระคนน้อยใจ ทำไมต้องเป็นเทียนหยดด้วยเล่า ทำไม“ขอโทษ ฉันขอโทษนะคุณสมัตถ์ ขอโทษจริงๆ”“ชู่ว์...เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะ พูดไปก็มีแต่เจ็บปวด ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุน่ะ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก เราลืมเรื่องร้ายๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเถอะนะ ลืมมันให้หมด ลืมว่าเราเคยเกลียดกัน ลืมว่าเราเคยทุกข์ทรมานเพราะความสูญเสีย เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำไม่ใช่เหรอ เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”เทียนหยดน้ำตาซึม ถูกสมัตถ์ดึงตัวไปกอด และมันช่างอบอุ่นนัก นี่คืออ้อมกอดที่เธอโหยหา ช่างควรค่าแก่การเฝ้ารอเหลือเกิน“ฉันว่าเรากินมื้อค่ำดีกว่า ฉันมีอะไรอยากให้เธอดู”“อะไรคะ”“ไม่บอก เธอต้องรอดึกๆ และควรกินมื้อค่ำแล้วหลับสักงีบ ดึกๆ เดี๋ยวฉันปลุก”“แน่นะคะ&rd
[21]พรางรัก___________รุ่งเช้าเสียงกุกกักดังขึ้นที่ข้างเตียง เทียนหยดลืมตาขึ้นช้าๆ สมองหนักอึ้ง โพรงปากรสชาติฝืดเฝื่อน พอขยับลุกขึ้นนั่ง มืออุ่นๆ ของสมัตถ์ก็ช่วยพยุงให้เธอนั่งดีๆ“เป็นยังไงบ้าง อยากอ้วกไหม”หญิงสาวพยักหน้าเมื่อถูกถาม และพอเขาเอาถุงพลาสติกมารอใต้ปาก เธอก็โก่งคออาเจียน มันทรมานเมื่อไม่มีสิ่งใดออกมากับการสำรอกนอกจากน้ำลายเปรี้ยวๆ สมัตถ์ไม่ได้นึกรังเกียจ เขายังช่วยลูบหลัง ช่วยเก็บถุงอาเจียนไปทิ้ง“ฉันจะไปทำงานแล้วนะ เอารถเธอไป”“เอ้า แล้วฉันล่ะ” เธอท้วง ถ้าให้นั่งแท็กซี่ช่วงนี้มีหวังได้อ้วกบนรถแท็กซี่แน่ๆ“เธอไม่มีรถก็ไม่ต้องไปสิ”“ได้ไง ฉันจะไป”“ฮื่อ...พูดไม่รู้ฟัง แพ้ท้องแทบจะยืนไม่ขึ้น ยังจะหาเรื่องอีก แล้วถ้าไปทำงานเผลอไปพะอืดพะอมให้พนักงานเห็น เดี๋ยวลูกน้องก็ได้นินทาพอดี” สมัตถ์หาทางเลี่ยงไม่ให้เทียนหยดไปทำงาน แต่เทียนหยดกลับคิดเป็นอื่น“ช่างสิ นินทาหรือ
สมัตถ์อมยิ้ม ยักไหล่ใส่คนที่ร้องขอ “ทำไมล่ะ”“กลัวลูกได้ยินมั้ง ฉันนี่ร้ายกาจจริงๆ”“ถึงร้ายก็รักนะ”“คะ?” ประโยคที่ออกจากปากสมัตถ์ทำเอาเทียนหยดตื่นตะลึง นี่เธอหูฝาดหรือเปล่า “อะไร ฉันไม่ได้ยิน”“เธอได้ยิน ฉันรู้”“ก็มันไม่แน่ใจนี่นา พูดอีกทีซิ”“ไม่”“น่านะ พูดอีกที” คนสวยร้องขอสมัตถ์เบะปากน้อยๆ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถแต่ก็แอบมองเทียนหยดเป็นครั้งคราว เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ บางเสียจนเทียนหยดไม่ทันสังเกต“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอถาม“ก็หาอะไรกิน แล้วพากลับบ้าน”“ไม่กลับ ฉันจะกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ไปส่งฉันที่นั่น ก็เชิญคุณลงไปโบกแท็กซี่กลับเอง” เธอยืนยัน แล้วสมัตถ์จะทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่แม่ของลูกบัญชา_________เวลา 21:30 นาฬิกากลิ่นนมหอมๆ ลอยอวลทั่วห้อง เทียนหยดผลักประตูเข้าไปแล้วสูดกลิ่นนั้นจนเต็มปอด ผู้ช่วยคนเก่งของเธอยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าเตา เจ้า
เธอพยักหน้า จีรวัฒน์เคลื่อนกายออกจากโต๊ะตัวสูงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามีหยาดน้ำตารื้นอยู่ในนั้น“โชคดีนะจี ขอโทษสำหรับทุกอย่าง”จีรวัฒน์มองเทียนหยดอย่างอาลัยอาวรณ์“ขอกอดสักทีได้ไหม ครั้งสุดท้าย...”เทียนหยดยิ้มน้อยๆ ดวงตามีหยาดน้ำใสไม่แพ้จีรวัฒน์ การจากกันด้วยดีย่อมน่าพิศสมัยกว่าการลาจากแบบโกรธเคือง อ้อมกอดของจีรวัฒน์อบอุ่นเสมอ ทว่าเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว หากมิได้อ้อมกอดของสมัตถ์มาครอบครอง เธอก็ขอแค่กอดตัวเองตลอดไปหวืด! โครม!ความโกลาหลเกิดขึ้นชั่วขณะ อะไรสักอย่างพุ่งมาทางด้านหลังเทียนหยดแล้วจับแยกหญิงสาวกับจีรวัฒน์ออกจากกัน จีรวัฒน์ถูกผลักจนล้มหงายหลัง ชนเข้ากับโต๊ะเก้าอี้โครมคราม แต่คนต้นเหตุยังไม่สาแก่ใจ ตามไปประเคนหมัดใส่จีรวัฒน์อีกสามทีซ้อนพลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!“คุณสมัตถ์!? หยุดนะ! คุณสมัตถ์ฉันบอกให้หยุด!”พลั่ก!หมัดสุดท้ายกระแทกใบหน้าจีรวัฒน์จนเลือดกบปาก ด้วยว่าไม่นิยมออกกำลังกาย ร่างกายจึงมิใช่หุ่นนักกีฬา ไม่มีลวดลายพอจะต่อกรกับหมัดแกร่งของอีกฝ่ายสมัตถ์ลุกจ