“ให้ตายเถอะ! บ้าชะมัด” หญิงสาวสบถอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี จับดูสองแก้มก็รู้ว่ามันร้อนยิ่งกว่าตอนที่เห็นสมัตถ์จูบกับภรรยาเขาที่สนามเมื่อคืนเสียอีก
“เธอนั่นแหละบ้า มาทำอะไรที่นี่ ฉันนึกว่าไม่มีคนอยู่”
“ฉันก็นึกว่ายังไม่มีใครตื่นนี่” เธอเถียง กอดอกแน่นเมื่อรับรู้ถึงความโล่งของกายสาว
“ฉันมาหากาแฟดื่ม” เขาแก้ต่าง
“เหมือนกัน”
“แต่เธอควรสวมอะไรที่มากกว่าชุดคลุมอาบน้ำที่ไม่มีชั้นใน”
“บอกตัวเองก่อนไหมฮะ! ฉันรู้นะ! มันแข็ง!” โพล่งออกไปด้วยเสียงที่ดังมากกว่ากระซิบเพียงเล็กน้อย ทุกถ้อยวาจาที่เอ่ยออกไปก็อยากตะโกนดังๆ หรอกนะ แต่ติดที่ว่ากลัวคนอื่นจะมารับรู้สถานการณ์นี้ด้วยเท่านั้นเอง
สมัตถ์หน้าแดง วาจาห่ามๆ ของหล่อนปลุกบางอย่างในตัวเขาให้ลุกฮือ
“อะไรแข็งล่ะ” ถามหน้าด้านๆ รู้สึกสนุกยามได้แกล้งเทียนหยด
“ก็...ก็...โอ๊ย...ฉันไม่พูดหรอก ลามก! อีตาบ้า!”
แล้วเทียนหยดก็สะบัดก้นเดินจากไปอย่างเคืองๆ ส่วนสมัตถ์ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนั้น ยิ้มในความตรงไปตรงมาของแม่ตัวร้าย
“ให้ตายเถอะ ยิ้มอะไรวะ” ถามตัวเองทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในส่วนของบาร์เล็กๆ แลหาเครื่องมือทำกาแฟสักแก้ว ทว่าบนเคาน์เตอร์ที่แลเห็น กลับมีกาแฟควันฉุยแก้วหนึ่งวางอยู่ ก็พอจะรู้ละนะว่ามันเป็นของใคร
สมัตถ์ยิ้มกว้างกว่าเดิมยามนึกถึงความนุ่มหยุ่นที่แผ่นอกเขาได้สัมผัสเมื่อครู่นี้ เขาคว้าเอาแก้วกาแฟที่เคยเป็นของเทียนหยดมาจิบ รสชาติหวานไปนิดแต่พอแก้ขัดไปได้ ยิ่งนึกถึงใบหน้าตื่นๆ ของหล่อนตอนถูกเขาเบียดร่างใส่กำแพง กาแฟแก้วนี่ก็ยิ่งอร่อยลิ้น ทว่าเมื่อจิบกาแฟจนหมดถ้วยแล้วเดินขึ้นบันไดกลับขึ้นชั้นบน ความจริงบางอย่างก็แล่นเข้าสู่สมอง
“บ้าจริง นายแต่งงานแล้วนะสมัตถ์!” เตือนตัวเองแล้วนิ่วหน้า เป็นอีกครั้งแล้วที่เขาเผลอมีอารมณ์หวามไหวไปกับเทียนหยด เขาไม่อาจปฏิเสธได้หรอกในเมื่อสิ่งที่หล่อนสร้างไว้กำลังทำให้ตัวตนแห่งชายปวดร้าวขึ้นมาอีกแล้ว
_________
เทียนหยดกลับมาแต่งเนื้อแต่งตัวไปทำงาน พยายามปัดเรื่องชวนหวามไหวเมื่อครู่นี้ออกจากสมอง มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น แค่อุบัติเหตุ!
ลิปสติกเจ้าปัญหาโผล่มาให้เห็นในตอนที่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าถือเพื่อตรวจความเรียบร้อย เธอมองตัวเองในกระจกเงา แลหาความไม่สมบูรณ์บนใบหน้าน้อย ทว่าหาอย่างไรก็ไม่เจอ เธอเป็นคนสวยเธอรู้ แต่นั่นคงไม่พอ จีรวัฒน์ถึงได้ปันใจไปให้คนอื่น คนที่เป็นเจ้าของลิปสติกแท่งนี้ และเมื่อพิจารณาดีๆ ก็ได้เห็นว่าลิปสติกแท่งน้อย มีสติกเกอร์แปะอยู่ด้านใน ต้องเปิดฝาออกถึงจะเห็น โดยปกติแล้ว ตามความเคยชินของสตรีส่วนใหญ่ หากมีสติกเกอร์ปิดไว้ด้านนอก เมื่อต้องใช้แล้วลอกออก ก็ต้องเอาแปะไว้ไม่ส่วนฝาก็ส่วนท้ายของแท่งลิปสติก แต่สติกเกอร์อันนี้กลับถูกแปะไว้ด้านใน ราวกับเจ้าของจงใจ ราวกับว่า...ตั้งใจทำแบบนี้
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นของใคร” บอกตัวเองอย่างมุ่นมั่นทั้งที่หัวใจสั่นไหวรุนแรง เพราะหากเจอเจ้าของของมัน ก็เท่ากับช่วยตอกย้ำว่าจีรวัฒน์นอกใจเธอจริงๆ หากเขาอยากบอกว่าลิปสติกแท่งนี้เป็นของเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเขา เขาก็คงพูดออกมาตั้งแต่ตอนที่หามันใต้โซฟาที่คอนโดฯ นั่นแล้ว แต่นี่เขากลับปกปิด มันยิ่งทำให้เธอช้ำใจ
หญิงสาวเดินออกจากห้องส่วนตัวเพื่อมาร่วมรับประทานมื้อเช้ากับทุกคน ยังไม่มีใครลงมานอกจากราตรี สะใภ้คนสวยของบ้าน หล่อนปรายหางตามาทางเธอ มองเหยียดๆ ก่อนเมินหน้าไปทางอื่น เธอวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ในส่วนที่ลึกสุด ลิปสติกที่ถือติดมือมาถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หมับ!
ดวงตาของเทียนหยดมองตามมือขาวๆ ที่เอื้อมข้ามโต๊ะมาคว้าเอาลิปสติกเจ้าปัญหาไปครอง ราตรีทำบ้าอะไรของหล่อนกันเล่า
“นั่นของฉัน” เทียนหยดว่า แต่ราตรีไม่สน
“ของฉันก็มีแบบนี้”
“ให้ตายเถอะ! เธอไม่อยากเป็นเจ้าของมันหรอกน่า”
“ทำไมล่ะ ลิปสติกยี่ห้อนี้แพงจะตาย ของฉันก็มี และมันหายไปไหนก็ไม่รู้”
“งั้นเหรอ...” เทียนหยดไม่รู้จะทำอย่างไรดี หัวใจเต้นแรง โกรธที่ราตรีทำเหมือนว่าลิปสติกแท่งนั้นเป็นของหล่อนจริงๆ
ราตรีเปิดฝาลิปสติกออก นิสัยของผู้หญิงที่จดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเครื่องใช้ส่วนตัวได้ดีนั้น มักเป็นความสามารถของสตรีหลายๆ คน รวมถึงราตรีด้วย
“นี่ไง ของฉันจริงๆ สติกเกอร์น่ะ ฉันแปะไว้ด้านใน เพราะแปะไว้ด้านนอกมันจะมีตำหนิ และฉันไม่อยากทิ้งสติกเกอร์สวยๆ ที่บอกว่ามันเป็นของแท้แบรนด์เนม” ราตรีบอกแล้วปิดฝาลิปสติกลง ก่อนจะสอดมันเข้าไว้ในกระเป๋าชุดเดรสสั้นของตัวเอง
เทียนหยดเข่าอ่อน ค่อยๆ นั่งลง พยายามปรับสีหน้ามิให้ออกอาการตื่นตระหนก เธอต้องคุมสติเอาไว้ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ หาความจริง ไม่ใช่ตีโพยตีพายแหวกหญ้าให้งูตื่น
“ว่าแต่...เธอเจอมันที่ไหนล่ะ” ราตรีถาม
คนถูกถามกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ อยากตอกใส่หน้าว่าเจอมันใต้โซฟาที่คอนโดฯ ของจีรวัฒน์ ทว่าสิ่งที่เอื้อนเอ่ยกลับมีแค่...
“ห้อง...เอ่อ ห้องนั่งเล่นน่ะ”
“งั้นเหรอ...” ราตรีทวงถามแล้วมุ่นคิ้ว จำไม่ได้ว่าเผลอทำหล่นจากกระเป๋าตอนไหน บางที...เธออาจจะล้วงมันออกมาเติมปากแล้วลืมเก็บเข้าที่กระมัง
เทียนหยดนั่งหายใจแรงๆ อยู่ราวนาที สงบจิตสงบใจและฝังความคลั่งความแค้นเอาไว้เพียงในอก บอกตัวเองซ้ำๆ ว่ายังจับไม่ได้คาหนังคาเขา ผู้ร้ายไม่มีทางยอมสารภาพเป็นแน่ เธอต้องใจเย็นๆ ใจเย็นๆ
ผกากรองกับบุตรชายเดินลงบันไดมาอย่างรีบร้อน วันนี้ยังเช้าอยู่ แต่เห็นแล้วว่ามารดาของเทียนหยดรีบร้อนเพียงใด นางพาบุตรชายเดินเลยประตูห้องอาหารไป
“เดี๋ยวก็เบื่อไปเองมั้งคะ”“ไม่...โอบว่าไม่เบื่อง่ายๆ หรอก พี่ต้องมีอีกสักโหลอ่า จริงๆ”“โอบ...” เทียนหยดครางเสียงต่ำ โหลหนึ่งเลยหรือ ไม่ไหวหรอก“แหะๆ โอบไปรอที่รถดีกว่า หิวแล้ว แม่ครับย่าครับ ไปขึ้นรถเร็วเข้า”โอบนิธิรีบเผ่นก่อนถูกพี่สาวเขกหัว มื้อค่ำวันนี้รอเขาอยู่ ก่อนที่สมาชิกทุกคนของบ้านจะทยอยกันไปขึ้นรถเพื่อไปฉลองงานวันเกิดให้กับเด็กหญิงตัวน้อยเด็กหญิงมัชฌาวี โสภณวิชญ์__________ทฤษฎีโลกกลมยังใช้ได้เสมอในทุกยุคทุกสมัย ในระหว่างที่ครอบครัวโสภณวิชญ์กำลังเลี้ยงฉลองอยู่นั้น ภายในร้านอาหารเดียวกันก็มีหนึ่งสตรีเฝ้ามองความอบอุ่นของพวกเขาด้วยสายตาแสนเสียดาย แม้ข้างกายมีหนุ่มใหญ่เคียงข้าง ทว่ามิใช่ในแบบปกตินานมากแล้วที่ราตรีมิได้เห็นสมัตถ์ มิได้เห็นคนที่อยู่ในหัวใจ มันทรมานยามเห็นพวกเขามีความสุข พอทนไม่ไหวก็รีบบอกให้คนข้างกายลุกกลับ เธอขอย้ายร้านด้วยไม่อยากทนมองความสุขของพวกเขาให้มันร้าวรานใจราตรีเดินออกจากร้านเงียบๆ พร้อมกับลูกค้าของตัวเอง ไม่ทันได้
-+- บทส่งท้าย -+-____________งานวิวาห์แสนหวานถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานเล็กๆ แต่อบอุ่น สองสามีภรรยาหมาดๆ เลือกทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงฯ เป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ด้วยภาวะตั้งครรภ์ของเทียนหยดไม่ชวนให้สมัตถ์อยากนั่งเครื่องบินออกนอกประเทศ ทริปฮันนีมูนสั้นๆ ไม่กี่วันของทั้งสอง เลยสรุปที่ชายทะเลที่สมัตถ์เคยมาคราวก่อน คลื่นลมยังแรงด้วยเข้าสู่ฤดูฝนพรำ คู่สามีภรรยาเดินจับมือกันเดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว กลุ่มนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาทั้งไทยและเทศ เดินกันขวักไขว่ ครึกครื้นไม่น้อย“ลมแรงจัง กลับโรงแรมดีไหม ฝนจะตกแล้วด้วย” สมัตถ์ว่าเทียนหยดส่ายหน้าดิก ซบศีรษะลงกับบ่าของสามี สองมือของทั้งสองจับกันไว้มั่น มีแหวนแต่งงานสวมไว้คนละวง“เดินต่ออีกนิดนะคะ สัก...ต้นมะพร้าวต้นนู้น...ค่อยกลับ” ว่าที่คุณแม่ชี้ไปข้างหน้า เจ้าเล่ห์น้อยๆ เพราะต้นมะพร้าวที่ว่าอยู่ไกลโข“ไม่เหนื่อยหรือไง เดินมาตั้งไกลแล้วนะ”“ไม่ค่ะ ถ้าเหนื่อย จะขึ้นหลังคุณแล้วกัน”“หึๆๆ
“ฉันรู้ และขอโทษที่มัวแต่ทำใจในเรื่องนี้จนละเลยสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อเธอ ฉันเสียใจที่แม่ต้องตาย แต่มันเสียใจมากกว่าเดิมที่รู้ว่าคนที่ทำให้ท่านต้องตาย...คือเธอ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผิดหวังระคนน้อยใจ ทำไมต้องเป็นเทียนหยดด้วยเล่า ทำไม“ขอโทษ ฉันขอโทษนะคุณสมัตถ์ ขอโทษจริงๆ”“ชู่ว์...เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะ พูดไปก็มีแต่เจ็บปวด ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุน่ะ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก เราลืมเรื่องร้ายๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเถอะนะ ลืมมันให้หมด ลืมว่าเราเคยเกลียดกัน ลืมว่าเราเคยทุกข์ทรมานเพราะความสูญเสีย เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำไม่ใช่เหรอ เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”เทียนหยดน้ำตาซึม ถูกสมัตถ์ดึงตัวไปกอด และมันช่างอบอุ่นนัก นี่คืออ้อมกอดที่เธอโหยหา ช่างควรค่าแก่การเฝ้ารอเหลือเกิน“ฉันว่าเรากินมื้อค่ำดีกว่า ฉันมีอะไรอยากให้เธอดู”“อะไรคะ”“ไม่บอก เธอต้องรอดึกๆ และควรกินมื้อค่ำแล้วหลับสักงีบ ดึกๆ เดี๋ยวฉันปลุก”“แน่นะคะ&rd
[21]พรางรัก___________รุ่งเช้าเสียงกุกกักดังขึ้นที่ข้างเตียง เทียนหยดลืมตาขึ้นช้าๆ สมองหนักอึ้ง โพรงปากรสชาติฝืดเฝื่อน พอขยับลุกขึ้นนั่ง มืออุ่นๆ ของสมัตถ์ก็ช่วยพยุงให้เธอนั่งดีๆ“เป็นยังไงบ้าง อยากอ้วกไหม”หญิงสาวพยักหน้าเมื่อถูกถาม และพอเขาเอาถุงพลาสติกมารอใต้ปาก เธอก็โก่งคออาเจียน มันทรมานเมื่อไม่มีสิ่งใดออกมากับการสำรอกนอกจากน้ำลายเปรี้ยวๆ สมัตถ์ไม่ได้นึกรังเกียจ เขายังช่วยลูบหลัง ช่วยเก็บถุงอาเจียนไปทิ้ง“ฉันจะไปทำงานแล้วนะ เอารถเธอไป”“เอ้า แล้วฉันล่ะ” เธอท้วง ถ้าให้นั่งแท็กซี่ช่วงนี้มีหวังได้อ้วกบนรถแท็กซี่แน่ๆ“เธอไม่มีรถก็ไม่ต้องไปสิ”“ได้ไง ฉันจะไป”“ฮื่อ...พูดไม่รู้ฟัง แพ้ท้องแทบจะยืนไม่ขึ้น ยังจะหาเรื่องอีก แล้วถ้าไปทำงานเผลอไปพะอืดพะอมให้พนักงานเห็น เดี๋ยวลูกน้องก็ได้นินทาพอดี” สมัตถ์หาทางเลี่ยงไม่ให้เทียนหยดไปทำงาน แต่เทียนหยดกลับคิดเป็นอื่น“ช่างสิ นินทาหรือ
สมัตถ์อมยิ้ม ยักไหล่ใส่คนที่ร้องขอ “ทำไมล่ะ”“กลัวลูกได้ยินมั้ง ฉันนี่ร้ายกาจจริงๆ”“ถึงร้ายก็รักนะ”“คะ?” ประโยคที่ออกจากปากสมัตถ์ทำเอาเทียนหยดตื่นตะลึง นี่เธอหูฝาดหรือเปล่า “อะไร ฉันไม่ได้ยิน”“เธอได้ยิน ฉันรู้”“ก็มันไม่แน่ใจนี่นา พูดอีกทีซิ”“ไม่”“น่านะ พูดอีกที” คนสวยร้องขอสมัตถ์เบะปากน้อยๆ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถแต่ก็แอบมองเทียนหยดเป็นครั้งคราว เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ บางเสียจนเทียนหยดไม่ทันสังเกต“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอถาม“ก็หาอะไรกิน แล้วพากลับบ้าน”“ไม่กลับ ฉันจะกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ไปส่งฉันที่นั่น ก็เชิญคุณลงไปโบกแท็กซี่กลับเอง” เธอยืนยัน แล้วสมัตถ์จะทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่แม่ของลูกบัญชา_________เวลา 21:30 นาฬิกากลิ่นนมหอมๆ ลอยอวลทั่วห้อง เทียนหยดผลักประตูเข้าไปแล้วสูดกลิ่นนั้นจนเต็มปอด ผู้ช่วยคนเก่งของเธอยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าเตา เจ้า
เธอพยักหน้า จีรวัฒน์เคลื่อนกายออกจากโต๊ะตัวสูงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามีหยาดน้ำตารื้นอยู่ในนั้น“โชคดีนะจี ขอโทษสำหรับทุกอย่าง”จีรวัฒน์มองเทียนหยดอย่างอาลัยอาวรณ์“ขอกอดสักทีได้ไหม ครั้งสุดท้าย...”เทียนหยดยิ้มน้อยๆ ดวงตามีหยาดน้ำใสไม่แพ้จีรวัฒน์ การจากกันด้วยดีย่อมน่าพิศสมัยกว่าการลาจากแบบโกรธเคือง อ้อมกอดของจีรวัฒน์อบอุ่นเสมอ ทว่าเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว หากมิได้อ้อมกอดของสมัตถ์มาครอบครอง เธอก็ขอแค่กอดตัวเองตลอดไปหวืด! โครม!ความโกลาหลเกิดขึ้นชั่วขณะ อะไรสักอย่างพุ่งมาทางด้านหลังเทียนหยดแล้วจับแยกหญิงสาวกับจีรวัฒน์ออกจากกัน จีรวัฒน์ถูกผลักจนล้มหงายหลัง ชนเข้ากับโต๊ะเก้าอี้โครมคราม แต่คนต้นเหตุยังไม่สาแก่ใจ ตามไปประเคนหมัดใส่จีรวัฒน์อีกสามทีซ้อนพลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!“คุณสมัตถ์!? หยุดนะ! คุณสมัตถ์ฉันบอกให้หยุด!”พลั่ก!หมัดสุดท้ายกระแทกใบหน้าจีรวัฒน์จนเลือดกบปาก ด้วยว่าไม่นิยมออกกำลังกาย ร่างกายจึงมิใช่หุ่นนักกีฬา ไม่มีลวดลายพอจะต่อกรกับหมัดแกร่งของอีกฝ่ายสมัตถ์ลุกจ