Mag-log inวันรุ่งขึ้นสเตฟานสั่งลูกน้องให้มาดูที่อพาร์ตเม้นต์ เจมส์และเบนกลับมารายงานเจ้านายพร้อมกระดาษโน้ตแผ่นเล็กยื่นให้ ชายหนุ่มก้มลงอ่าน
‘ขอพระเจ้าส่งคุณไปหลุมที่ลึกที่สุด...อาเมน’
สเตฟานจ้องมองข้อความในมืออย่างแทบไม่เชื่อสายตา เกิดมาเป็นตัวตนยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเขามาก่อน...ย้ำ...ไม่เคยมี... มีแต่คลานเข้ามาสยบแทบเท้าเพียงแค่เขากระดิกนิ้วเรียก และที่สำคัญไปกว่านั้น ไม่เคยมีใครบังอาจสาปส่งเขาอย่างเปิดเผยไม่เกรงกลัวเช่นนี้ หึ...เจ้าหล่อนกล้ามาก!
เบนกับเจมส์ลอบมองหน้ากันแล้วกลืนน้ำลายลงคอดัง เอื๊อก! พวกเขาเห็นข้อความนั้นแล้ว ยังไม่เคยมีใครหาญกล้าบังอาจส่งจดหมายรักสั้นๆ ได้ใจความชัดเจนเช่นนี้ให้กับสเตฟาน แม็คเคนซี่ มาก่อน บอดีการ์ดไม่อยากจะเดาเลยว่าต่อไปนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวคนนั้นบ้าง
สองบอดีการ์ดหนุ่มมองดูเจ้านายค่อยพับกระดาษแผ่นนั้นอย่างบรรจงและทะนุถนอมราวกับมันเป็นสมบัติอันล้ำค่าก็ไม่ปาน
เขาหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วลูบแผ่วเบาดั่งกำลังจะจดจำข้อความนั้นให้ลึกสุดใจ
ใบหน้าหล่อร้ายของสเตฟานราบเรียบ มีเพียงดวงตาคมเข้มเท่านั้นที่ฉายแววดุดันและเต็มไปด้วยรอยหมายมาด ลูกน้องรู้ดีว่าเป็นความสงบที่ซ่อนพายุลูกมหึมาเอาไว้ พร้อมที่จะจู่โจมโหมกระหน่ำพัดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
“พวกมึงหาผู้หญิงไทยชื่อไวโอเล็ตมาให้กูให้ได้!”
คำสั่งสั้นๆ ที่ไม่ต้องอธิบายเจมส์กับเบนก็รู้ความหมายดีว่า... ทุกคนที่เป็นผู้หญิงไทยชื่อนี้ จนกว่าเจ้านายจะเจอคนที่เขาตามหา...ซึ่งบอดีการ์ดทั้งสองคนก็ยังไม่แน่ใจว่าเจ้านายของเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนไหน ในเมื่อไม่เคยจำหน้าตาได้เลย ทั้งสองหันไปสบสายตาส่งภาษากันเงียบๆ ว่า...งานงอกแล้วมึง พร้อมกับโค้งคำนับแล้วตอบเสียงหนักแน่นว่า...
“แน่นอนครับเจ้านาย”
หากในใจยังสงสัยว่า...แล้วกรูจะไปหาตรงไหนวะ?!
*****
“คิดถึงแม่วิที่สุด”
เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนจะโผเข้าไปกอดเอวอวบของมารดา คุณวิไลวรรณมักพูดภาษาอังกฤษกับวีรตาตั้งแต่ย้ายมาอยู่อเมริกาเพราะต้องการให้ลูกเก่งภาษา ทำให้วีรตาเคยชินกับการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับมารดา ยกเว้นเวลาที่ไม่ต้องการให้ใครรู้จึงจะพูดภาษาไทยกัน
“ยายไวน์...ทำไมไม่บอกว่าจะมาวันนี้ลูก ไหนว่าอีกสองสามวัน” วิไลวรรณกอดลูกสาวสุดที่รักก่อนจะดึงไหล่บางออกห่างแล้วจ้องมองใบหน้านวลใสด้วยสายตาแปลกใจปนยินดีที่ได้เห็นหน้าลูก
“พอดีไวน์มีปัญหาเรื่องที่อยู่นิดหน่อยค่ะแม่ ต้องหาที่อยู่ใหม่ก่อนเปิดเทอม”
“อ้าวทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับหนูพีช ทะเลาะกันเหรอ” มารดาถามด้วยความสงสัย วีรตาถอนหายใจและนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อหาคำอธิบาย
“เอ่อ...เอาแบบสั้นๆ ก็คือ พี่พีชเขาย้ายออกไปแล้วค่ะ พอดีเจ้าของอพาร์ตเม้นต์เขาเรียกคืน” มารดาของหล่อนไม่ทราบเรื่องพิชนี วีรตาจึงเล่าเพียงสั้นๆ เท่านี้ ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเล่ารายละเอียด เดี๋ยวท่านจะเป็นห่วงเปล่าๆ
“งั้นเหรอ...ไวน์เอาของไปเก็บก่อนเถอะ หิวมั้ยลูก คืนนี้ยังไม่ต้องไปช่วยแม่ อยู่พักก่อน” วิไลวรรณเอ่ยบอกลูกสาวเพราะรู้ว่าวีรตาเป็นประเภทอึดและขยันหากกลับมาบ้านแล้วจะต้องไปช่วยงานที่ร้าน ทำทุกอย่างที่ช่วยได้ตั้งแต่งานเสิร์ฟจนถึงงานล้างจานทำความสะอาด
จอห์นได้เช่าตึกหนึ่งคูหาให้ในโซนร้านอาหารในแหล่งท่องเที่ยวของเมือง กิจการไปได้สวยทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ
วิไลวรรณเป็นผู้ควบคุมทั้งหมดโดยจ้างผู้จัดการคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยรองจากเธอ ส่วนจอห์น สามีนั้นก็ควบคุมบริหารผับหรูของเขา
มาในระยะหลังๆ นี้เองที่เขาเริ่มติดการพนันอย่างหนัก เงินทองรายได้จากผับวิไลวรรณไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว และยื่นคำขาดไม่ให้เขายุ่งกับกิจการของเธอ ซึ่งอย่างน้อยเขาก็ยอมฟังและไม่ก้าวก่าย ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่ยอมอยู่กับเขาอย่างแน่นอน
ช่วงนี้เขาหน้าดำคร่ำเครียดและหงุดหงิดไม่ค่อยกลับบ้าน หากวิไลวรรณก็ปลงเสียแล้ว เธอมีลูกสาวคือวีรตาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว มีความตั้งใจที่จะทำทุกอย่างให้ลูกสาวคนเดียวมีความสุขที่สุด และภาคภูมิใจที่เห็นลูกน้อยเติบโตขึ้นทุกปีเป็นบุคคลมีคุณภาพและคุณธรรมเต็มหัวใจแถมเก่งทุกด้านเท่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะเก่งได้ บ้านหลังใหญ่ห้าห้องนอนของจอห์นอยู่ห่างจากเมืองเพียงสิบไมล์
“เวลาเห็นดอกไม้ก็คิดถึงเขา...แต่ไม่กล้าซื้อให้”เสียงเจ้านายเป็นคนเอ่ยคราวนี้แถมทำตาลอยเคลิ้ม ทำให้ลูกน้องสองคนทำตาเหลือกหันมามองกัน“ทำไมไม่กล้าซื้อให้ล่ะครับ” เบนเอ่ยถาม เจ้านายทำท่ายิ้มกริ่มตาลอยต่อ“กลัวเสียฟอร์ม กลัวเขาหัวเราะเยาะเอาน่ะสิโว้ย” ตอนท้ายเสียงตวาดหน่อยเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังเหม่อลอย“ฟอร์มเยอะก็อาจจะต้องรับประทานแห้วเป็นอาหารจานด่วนนะครับเจ้านาย” เจมส์เอ่ย เห็นเจ้านายกำลังอยู่ในอารมณ์อยากมีเพื่อนระบาย คงปลอดภัยไม่โดนแจกของหนักแน่“แต่เขาไม่งอนกูนะมึง ผู้หญิงรักก็ต้องงอนบ้างอะไรบ้างถูกไหม แต่นี่ไม่งอนเลย... แม่งโคตรเข้าใจโลก... เขาจะใจแข็งไปถึงไหน” ตอนท้ายเหมือนรำพันกับตัวเอง“ผู้หญิงชอบผู้ชายเอาใจ พูดหวานๆ เพราะๆ”“กูเป็นของกูแบบนี้ ถ้ารับกูไม่ได้ก็อยู่กันไม่ได้...จบ คนรักกันจริงก็ต้องยอมรับตัวตนที่แท้จริงของกันและกันได้ จริงมั้ยวะ”เสียงห้าวเอ่ยโต้พร้อมกับใส่อารมณ์เต็มที่เหมือนหงุดหงิดใครบางคนอยู่ในใจ หล่อนชอบว่าเขาพูดไม่เพราะน่ะสิ...“อันนี้ผมเห็นด้วยเต็มที่ครับ นายหญิงเขาก็ไม่ได้ว่าจะรับเจ้านายไม่ได้นี่ครับ ผมเห็นเธออดทนและยังยิ้มได้เวลาเจ้านายตวาดใส่” เบนกล่าว“กู
“กฎอะไร?”“ก็กฎที่ว่า ห้ามคุณมีใครในระหว่างหนึ่งปีนี้ ระหว่างที่คุณมีฉันอยู่ไง” หล่อนขยายความ สเตฟานจ้องมองหน้างามนิ่งๆ“ใจดีจัง” เสียงห้าวเอ่ยประชด“ฉันพูดจริงๆ” วีรตากล่าว ในส่วนลึกอยากลองใจเขาดู“นับเวลารอขนาดนั้นเลยเหรอ เหลืออีกกี่เดือนล่ะ” น้ำเสียงเคร่งขรึมลงไปเอ่ยถาม หันหน้ากลับไปจ้องมองเพดานต่อ“เก้าเดือน” หล่อนตอบแล้วก็เงียบไป ต่างคนต่างนอนนิ่งเงียบครุ่นคิด“หลังจากหนึ่งปีแล้ว เธอคิดจะทำอะไรต่อ”เขาเอ่ยถาม ไม่สนใจเรื่องแหกกฎที่หล่อนใจดีนำเสนอ สเตฟานเห็นใบหน้างามทำท่าคิด หล่อนเป็นคนชอบวางแผน อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนคิดการอะไรไว้หลังจากหนึ่งปี“คิดไว้หลายอย่าง บางทีอาจจะเรียนต่อ หรือไม่ก็เดินทางรอบโลก” หล่อนพูดอย่างนั้นแหละ อันที่จริงไม่ได้วางแผนอะไร แต่ที่แน่ๆ คิดไว้อย่างเดียวว่าจะต้องไปอยู่ห่างไกลจากเขาให้มากที่สุดเท่านั้นเอง รู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างประหลาด... หันไปมองโครงหน้าคมสันด้านข้างที่ไร้ที่ติของเขา...รักเขาหรืออย่างไร... รักเข้าไปแล้วหรือยังไงนี่ เสียงหนึ่งเอ่ยถามตัวเองอยู่ในใจรักเข้าไปแล้วเต็มๆเลยล่ะไวน์ เธอโดนศรรักปักอกซ้ายเข้าอย่างจัง... เสียงหนึ่งตอบออกมาอย่างซื่อต
“อะไรคะ”เสียงกังวานใสถามเมื่อเขาใช้มือผลักประตูเข้าไปภายใน ห้องกว้างสว่างโล่งจากแสงที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างทรงฝรั่งเศสยาวจรดพื้น ผ้าม่านยาวถูกรวบเก็บไว้ด้านข้าง ห้องแกลอรี่นั่นเอง... รอบห้องจัดแขวนภาพวาดขนาดต่างๆ ไว้รายรอบ แต่ละภาพสวยงาม เป็นภาพวาดธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่“สวยจัง” วีรตาเดินเข้าไปดูตรงมุมของแต่ละภาพมีลายเซ็นต์ของศิลปิน...S.F.M.C หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะหมุนตัวหันมามองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง“อย่าบอกนะว่า...คุณวาดทั้งหมดนี่?”วีรตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดใจเต็มที่ สเตฟานแกล้งทำหน้ามุ่ยรวบร่างบางมากอดไว้หลวมๆ“ทำไม คนอย่างฉันนี่เธอคิดว่าไม่มีศิลปะในหัวใจเลยหรือยังไง”“เปล่าค่ะ เพียงแต่แปลกใจเท่านั้นเอง ที่เพนต์เฮาส์ไม่เห็นมีภาพแบบนี้” หล่อนตอบเสียงอ่อน สเตฟานก้มหน้ามาหอมแก้ม“ฉันชอบวาดภาพ พวกนี้วาดนานแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียน” เสียงห้าวเอ่ยเล่า ท่าทางสบายอารมณ์“คุณเก่งจัง มันสวยทุกภาพเลย แล้วทำไมคุณถึงไม่วาดต่อละคะ” วีรตาไล้ปลายนิ้วไปตามสันจมูกโด่งของเขา“ฉันเป็นคนเบื่อง่าย...ตอนอยากวาดก็จะวาดอยู่นั่น ไม่ทำอะไรเลย พอเบื่อก็ทิ้งทั้งหมด”เขาตอบ วีรตามองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน.
“พามาให้แม่ดูตัวเหรองั้น ไวน์อย่าถือสานะ แม่ชอบพูดอะไรตรงๆ แบบนี้” มารดาของเขาหันมาพูดกับวีรตา หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มให้ท่านอย่างเข้าใจ... สเตฟานได้นิสัยส่วนนี้มาจากมารดากระมัง“ไวน์ชินแล้วค่ะ”วีรตากล่าวยิ้มๆ สเตฟานหันมาส่งยิ้มหล่อให้ เวลานี้เขาดูผ่อนคลายและอารมณ์ดีเหมือนหนุ่มน้อย ทำให้วีรตานึกถึงแซมน้องชายของเขา แซมมีมุมนี้เยอะ แต่หล่อนเพิ่งเห็นคนตัวโตเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่รู้จักกันดูเหมือนเขาเลือกที่จะแสดงออกแต่ด้านร้ายกาจกับหล่อนอยู่เกือบตลอดเวลาดังคำกล่าวที่ว่า เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรๆ ได้ดีที่สุด ไม่ควรด่วนตัดสินหนังสือจากปกของมัน...เพราะปกหนังสือเล่มที่ชื่อ สเตฟาน แม็คเคนซี่ นั้นเป็นรูปปีศาจในร่างซาตานหน้าถมึงทึงแดงก่ำดวงตาวาวแสง บนหัวสวมเขาควายอีกต่างหาก เห็นแล้วให้ผวาน่าฝันร้าย ต้องรีบโยนเข้ากองไฟเผาอย่างเดียวเท่านั้น...แต่ถ้าหากทนรูปหน้าปกได้และกลั้นใจเปิดอ่าน อาจจะเจออะไรที่...อื่ม... ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าจะเจออะไร ก็คงต้องลองให้โอกาสหนังสือเล่มนั้นต่อไปอีกหน่อยกระมัง“โชคดีไปงั้น ฟานเขาเหมือนพ่อมากในเรื่องความใจร้อนและปากจัด” เสียงมารดาเอ่ยต่อ ท่านเหมือนจะถอนหายใจออกม
สเตฟานใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเดินทางออกจากลาสเวกัสแต่เช้า บ้านตึกหลังใหญ่ของมารดาอยู่นอกเมืองบอสตัน เมื่อไปถึงคนของเขาเอารถมาจอดไว้ให้แล้ว เบนรับหน้าที่พลขับตามเคยรถแล่นมาถึงบริเวณรั้วคอนกรีตยาวโอบรอบบริเวณภายในประมาณห้าเอเคอร์ที่ร่มรื้นเต็มไปด้วยต้นไม้และสวนสวย ประตูรั้วเปิดด้วยระบบอัตโนมัติ รถแล่นไปตามถนนกว้างทอดตัวไปสู่ตึกทรงยุโรปสองชั้นหลังใหญ่ทาสีขาวแจ็คคิวลีน แม็คเคนซี่ยืนมองร่างสูงใหญ่ของบุตรชายคนโตที่กำลังก้าวลงจากรถเก๋งคันยาว ร่างสูงยืนรอใครบางคนที่กำลังก้าวออกมาต่อจากเขา ผู้เป็นแม่เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นสเตฟานผู้ยะโสและห้าวห้วนไม่เกรงกลัวใครกำลังเอื้อมมือไปรับมือเล็กของสาวน้อยนางหนึ่งอย่างอ่อนโยน หญิงสาวร่างเพรียวระหงใบหน้าสวยหวานอุ้มสุนัขตัวเล็กพันธุ์ยอร์กเชอร์ แทริเออร์ ผู้เป็นแม่คลี่ยิ้มออกมา... ลูกชายพาผู้หญิงมาหาเป็นครั้งแรก... สงสัยโลกกำลังจะแตก แจ็คคิวลีนคิดบอดี้การ์ดสองคนที่เธอคุ้นเคยหันมาโค้งคำนับให้ก่อนจะจัดการนำรถไปเก็บที่โรงจอดรถ ด้านข้างตึกใหญ่มีเรือนพักสำหรับแขกที่ถ้าหากสเตฟานมา เบนกับเจมส์กับจะพักอยู่ที่นั่นทุกครั้งร่างสูงเงยหน้าขึ้นยิ้ม
“สวยจัง”วีรตาพิงร่างไปกับอกกว้าง เขาเหยียดขายาวไปกับพื้นให้หล่อนเหยียดซ้อนอยู่ข้างบน ร่างเปลือยเปล่าแนบสัมผัสกันไปทุกส่วน มือใหญ่อ้อมโอบมาบีบกลึงยอดถันและเนินเนื้ออูมระหว่างขาเล่น“สวยมาก...”เขาก้มมากระซิบฝังจูบตรงซอกคอลากลิ้นเลียหยดน้ำที่เกาะพราวตรงลำคอระหง“ไม่เหนื่อยเหรอคะ...อย่าเริ่มสิ”หล่อนร้องท้วงเบาๆ เพราะมันดึกแล้ว น้ำค้างก็เริ่มลงแรง“ขออีกรอบ แบบเร็ว...นะ นะ นะ”เขาทำเสียงร้องขอ ไม่ใช่เสียงสั่งในคราวนี้...วีรตาหันไปจูบปลายคางบึกบึน มือเล็กเอื้อมไปลูบไล้ลำปืนใหญ่ที่ตั้งชี้โด่ขึ้นมาอีกครั้งโผล่ตรงระหว่างขาของหล่อน หญิงสาวขยับเท้าไปวางบนพื้นข้างๆ จับเจ้าอาวุธร้ายเขี่ยสัมผัสกับดอกกุหลาบฉ่ำน้ำของตัวเอง ได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอจากคนตัวโต“อ่าส...ดีมากไวน์...เอาหัวเข้าไปหน่อย...ชอบให้เธอตอดหัวเล่น...สุดเสียวแบบนั้น...ซี้ด”เขากระซิบขอ วีรตาจึงยกสะโพกขึ้นจับเจ้าปืนใหญ่จ่อไปตรงเป้าหมายแล้วค่อยนั่งกดลงจนหัวเห็ดบานใหญ่หลุบเข้าไปในช่องธารร้อน เสียงครางเสียวดังขึ้นพร้อมกัน“โอว พระเจ้า...ตอดรัดแน่นจนฉันเสียวไปทั้งดุ้น...โอว ไม่ไหวแล้วไวน์...ขย่มเลยดีกว่า...ซี้ด”เขาร้องบอกเมื่อทนความเ







