พลั้งรักมาเฟียร้าย : ตอนที่ 9
หว่อ วี่ หว่อ วี หว่อ...
เสียงไซเรนรถพยาบาลดังไปทั่วทั้งถนน ตามด้วยขบวนรถของลูกน้องจัสตินหลายคันโดยที่รถของอานนท์ถูกบีบให้อยู่ท้ายแถว ไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมเจ้านายหนุ่มถึงอยากไปโรงพยาบาลแถมยังนอนอยู่ในรถตู้กู้ภัยโรงพยาบาลอีก ทั้งที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของเจ้านายเพียบพร้อมทุกอย่าง
"ทำไมนายถึงขึ้นรถพยาบาลวะ"
"มึงไม่รู้ กูจะรู้ไหม"
"เฮียวินรู้ไหม"
"เรื่องของนายใหญ่ พวกเราไม่ควรยุ่ง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ มึงรู้ดีว่าถ้าพลาดแม้แต่ปลายเล็บศพมึงก็ลอยอยู่กลางทะเล" วินตันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตาคมกริบจดจ้องอยู่ที่ท้ายรถกู้ภัยของโรงพยาบาล ไม่มีทางที่จะให้รถพยาบาลคาดสายตาแน่นอน
ภายในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด ฉันได้แต่นั่งนิ่งพยายามไม่สนใจอะไรกับคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ถึงจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองตลอดเวลา รอยแผลหัวคิ้วของเขาถูกทำแผลเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะขึ้นมาบนรถพยาบาล ฉันได้แต่ภาวนาให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ
"ดูเธอจะกลัวฉันนะนับดาว เธอไม่น่ากลัวผัวคนแรกของเธอหรอก จริงไหม?" น้ำเสียงเข้มพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาสังเกตเห็นเธอพยายามหลบสายตาเขาตลอดเวลา แต่มันกลับทำให้เขานึกสนุก และเชื่อว่าคนอย่างเธอไม่มีทางลืมเขาแน่นอน
"หมอว่าตอนนี้เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ควรมีมารยาทในคำพูดด้วยนะคะ อีกอย่างหมอไม่เคยใส่ใจเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายด้วยค่ะ เพราะเรื่องราวในปัจจุบันมีความสุขจนมันกลบเรื่องราวเลวร้ายในอดีตไปหมดแล้วค่ะ" ฉันจ้องไปที่ใบหน้าคมคายพยายามข่มสายตาตัวเองให้นิ่งที่สุด รู้ดีว่าคนอย่างเขาอ่านสายตาคนออก
ความสัมพันธ์ของฉันกับเขาเป็นเวลาเพียงสั้นๆแค่หกเดือนเท่านั้น มันเป็นหกเดือนที่ฉันมีความสุขที่สุดแต่มันกลับเสียใจที่สุดในชีวิต ฉันเหมือนผู้หญิงใจง่ายที่ยอมมีอะไรด้วยกับผู้ชายที่รักและพึ่งมารู้ว่าตัวเองท้องในวันที่เขาทิ้งไป ฉันป้องกันตัวเองทุกครั้งเวลามีอะไรกันแต่สุดท้ายมันก็พลาดจนได้ ฉันต้องอุ้มท้องอันดาไปเรียนอย่างโดดเดี่ยว มีแต่คนนินทาและเยาะเย้ยในวันที่ฉันถูกทิ้งแถมยังท้องไม่มีพ่อ ทุกคนรู้ดีว่าฉันกับจัสตินคบกันเพราะเรื่องที่เขาคลุกเข่าขอเป็นแฟนดังไปทั่วทั้งสองมหาวิทยาลัย มีเพียงแม่ของฉันเท่านั้นที่คอยเป็นกำลังใจและคอยปลอบจนสุดท้ายฉันก็ก้าวผ่านมันมาได้ ฉันไม่เคยไปเรียกร้องอะไรจากเขาเลย ฉันไม่ต้องการให้เขารู้ว่ามีลูก และเชื่อว่าตอนนี้คนเห็นแก่ตัวอย่างเขาก็คงไม่รู้เรื่องนี้ เพราะผู้ชายอย่างจัสตินไม่เคยสนใจผู้หญิงที่เขี่ยทิ้งไปแล้ว
หมับ
"โอ๊ย" ฉันร้องออกมาเสียงหลงเมื่อถูกมือหนากระชากแขนให้โน้มตัวเข้าไปใกล้เขา ทำให้ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ รับรู้ถึงลมหายใจซึ่งกันและกัน ฝ่ามือหนาเพิ่มแรงบีบขึ้นเรื่อยๆจนฉันเบ้หน้ากับความเจ็บปวด
"เธอไม่ได้ลืมเรื่องราวในอดีตหรอกนับดาว ขนาดฉันยังไม่ลืมเลย ปากเธอฉันก็เคยจูบมาแล้ว นมเธอฉันทั้งดูดทั้งกัด และตรงกลางหว่างขาเธอบอกฉันสิว่าเธอไม่มีความสุขในตอนที่ฉันเลียให้ ยิ่งรอยเลือดของเธอฉันยิ่งจำได้แม่นเลยล่ะ เธอมั่นใจเหรอว่าปัจจุบันไอ้เวรนั่นมันทำให้เธอเสร็จและมีความสุข ฉันมั่นใจว่าฉันทะลวงเธอจนหลวมแล้วนะ คงยากที่จะหาไซซ์ที่พอดีกับฉัน"
พรึบ
ฉันสะบัดฝ่ามือหนาออกอย่างแรงด้วยความโมโห
"หยุดพูดจาดูถูกฉันสักที" ฉันตวาดเสียงดังลั่นรถด้วยความโกรธ ตอนที่เราคบกันเขาไม่เคยพูดจาดูถูกฉันขนาดนี้ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินผู้ชายที่ตัวเองเคยรักจนหัวปักหัวปำพูดจาแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเอาเรื่องราวในอดีตมาพูดอีก
"การที่คุณขึ้นรถพยาบาลไม่ใช่เพราะคุณต้องการรักษาด้วยซ้ำ คุณต้องการอะไรจากฉันอีก เราต่างฝ่ายต่างมีชีวิตที่ตัวเองเลือกแล้วและคุณก็เป็นฝ่ายเลือกก่อนด้วยซ้ำ อย่าดึงฉันเข้าไปวังวนที่เลวร้ายอีกเลยค่ะ ให้ฉันทำหน้าที่หมอรักษาคนเจ็บอย่างสบายใจเถอะค่ะ หรือถ้าคุณต้องการเปลี่ยนหมอที่ดูแลสามารถแจ้งได้เลย ฉันจะขอบคุณมากถ้าคุณเปลี่ยน"
ในจังหวะที่ฉันพูดจบรถพยาบาลจอดหน้าตึกฉุกเฉินของโรงพยาบาลพอดี เจ้าหน้าที่รีบเปิดประตูท้ายทำให้ฉันรีบลงไปก่อน และเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อเตรียมการรักษาและเอ็กซเรย์ให้เพราะรู้ดีว่ากล้ามเนื้อขาของเขาไม่ปกติ ใบหน้าหวานกลับมาเป็นปกติได้ในเวลาไม่กี่วินาที ฉันพยายามที่จะไม่ใช่นับดาวนักศึกษาแพทย์ที่อ่อนแอคนนั้นอีกแล้ว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา…
ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ
บรรดาผู้บริหารและคณะกรรมการของโรงพยาบาลรวมถึงหมอใหญ่ที่ไม่เคยมาตึกผู้ป่วยฉุกเฉิน ตอนนี้มารวมตัวอยู่ในห้องพักพิเศษของคนไข้วีไอพีอย่างจัสตินกันอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนที่รู้ข่าวต่างวิ่งแจ้นกันมาที่นี่โดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนรู้ดีว่าครอบครัวของจัสตินมีอำนาจและรวยมากแค่ไหน ทำให้หมอใหญ่อยากรับเคสของจัสตินไปดูแลเอง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคาดหวังเพราะเขาก็ยังปั่นประสาทฉันไม่เลิก และยังออกคำสั่งเสียงหนักแน่นว่าจะให้ฉันเป็นหมอประจำตัว ฉันรู้ดีว่าเขาต้องการแกล้งฉันมากกว่า ตอนนี้พยายามข่มอารมณ์ตัวเองและรักษาตามขั้นตอนแรงกดดันของทุกคนต่างจดจ่อมาที่ฉัน
"ผลเอกซเรย์ร่างกาย ไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก แต่น่าจะเกิดแรงกระแทกทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ ทำให้คนไข้มีอาการปวดที่กล้ามเนื้อขาขวา" ฉันรายงานผลผู้ใหญ่ชั้นสูงของโรงพยาบาลตามที่ผลเอกซเรย์ของเขาออกมา
"หวังว่าหมอใหม่อย่างหมอนับดาวคงไม่วินิจฉัยคนไข้วีไอพีเราผิดพลาดนะ"
"นับรายงานตามผลเอกซเรย์ค่ะ และนับก็ทำงานที่นี่มาสองปีแล้ว คุ้นชินกับเครื่องการแพทย์มากพอสมควร แต่ถ้าไม่มั่นใจนับจะคอยสังเกตอาการคนไข้อีกที และจะทำการเอกซเรย์ให้มั่นใจกันอีกครั้งในวันที่คนไข้กลับไปพักฟื้นที่บ้านค่ะ แต่อันที่จริงกลับไปวันนี้เลยก็ได้ค่ะ" ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง เหลือบสายตาไปมองคนที่นอนอยู่อย่างไม่พอใจเพราะเขาไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลด้วยซ้ำ รู้ดีว่าไม่มีใครอยากให้ฉันทำการรักษาครั้งนี้เพราะแต่ละคนที่มามักเอาหน้ามากกว่าเอาผลงาน ไม่แปลกที่จะถวายชีวิตให้คนไข้วีไอพีอย่างเขา
"และผลของการสแกนสมองก็ออกเป็นที่เรียบร้อย ทุกอย่างปกติดีค่ะ ถ้าไม่มั่นใจเดี๋ยวนับจะส่งไฟล์เอกซเรย์และไฟล์สแกนสมองเข้าทางอีเมลให้ทุกท่านนะคะ หมดหน้าที่ของนับแล้ว งั้นขอตัวก่อนนะคะ"
"ฉันสั่งให้เธอไปตั้งแต่เมื่อไหร่" น้ำเสียงเข้มพูดแทรกทันที
"เดี๋ยวจะมีหมอเวรกะดึกเข้ามาดูแลคุณจัสตินเองครับ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงของโรงพยาบาลเราและชำนาญไม่ต่างจากหมอนับดาวเลยครับ คุณจัสตินไม่ต้องห่วงเลย" อานนท์พูดแทนแฟนสาวเพราะเขาเห็นว่าเธอเหนื่อยกับการออกภาคสนามมามากแล้ว และวันนี้ก็เจอเรื่องราวมากมายก็อดเป็นห่วงไม่ได้ อีกอย่างมื้อเย็นนี้เขาตั้งใจจะพาเธอไปกินข้าวเหมือนเดิม
"หมอที่มีฝีมือของโรงพยาบาลเรามีอีกเยอะ คุณจัสตินสามารถเลือกได้เลยครับ"ผู้บริหารของโรงพยาบาลเสนอทางเลือกให้กับจัสติน
"ฉันพูดภาษาไทย และพูดชัดตั้งแต่ครั้งแรก ฉันไม่สนใจว่าใครจะเข้าเวรกะไหน แต่ฉันต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นดูแลฉันตลอดยี่สิบชั่วโมง ถ้าทำกันไม่ได้บอร์ดผู้บริหารของโรงพยาบาลคงต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่แล้วล่ะ" จัสตินพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
"ไม่มีหมอคนไหนทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมงได้หรอกครับทุกคนต้องการพักผ่อนกันทั้งนั้นและอีกอย่างหมอจะเข้าตรวจเป็นเวลาไม่มีทางที่จะดูแลคุณตลอด หน้าที่ดูแลคนไข้จะมีพยาบาลพิเศษมาดูแลครับ ไม่ใช่หน้าที่หมอนับดาว" อานนท์พูดโพล่งออกมาด้วยความไม่พอใจ เพราะดูท่าทางผู้ชายคนนี้จะกลั่นแกล้งนับดาว เขาสังเกตมาตั้งแต่สนามแข่งแต่ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
"หึ..."จัสตินหัวเราะในลำคอออกมาแต่เสียงหัวเราะของเขาก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นขนลุกซู่
"แค่นี้คงไม่เหนื่อยกว่าแรง เป็นหมอต้องดูแลคนไข้มันคือจรรยาบรรณของแพทย์จริงไหมหมอนับดาว" ผู้บริหารของโรงพยาบาลส่งสายตาออกคำสั่งไปที่นับดาว
"ค่ะ"
"แต่ผมว่ามัน..."
"พี่นนท์คะ" ฉันรีบห้ามพี่นนท์ทันที และรีบส่ายหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าฉันไม่เป็นไร ให้ทำตามความต้องการของเขา เพราะดูจากท่าทางของทุกคนที่เหลือแล้วคงไม่มีใครกล้าขัดความต้องการของจัสตินแน่
"เดี๋ยวหมอจะเข้ามาดูอาการอีกทีตอนหนึ่งทุ่มตรง ถ้าเกิดระหว่างนี้คนไข้เจ็บปวดตรงไหนสามารถกดเรียกพยาบาลได้เลยค่ะ...คุณโตพอที่จะพูดกันรู้เรื่องหวังว่าจะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับโรงพยาบาลนะคะ" ฉันพูดจบก็ออกจากห้องนั้นทันที ฉันพยายามหลบหลีกทุกวิถีทางแต่เขาก็พยายามบีบบังคับฉันทุกวิถีทางเหมือนกัน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญหน้ากับมัน ฉันก็จะทำให้เขาเห็นว่าเรื่องราวในอดีตมันไม่มีผลกับความรู้สึกของฉันแล้ว ต่อให้ตอนนี้เขาจะควงผู้หญิงมายืนอยู่ตรงหน้า ก็ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
ตอนพิเศษ 4 สองอาทิตย์ต่อมา...เป็นวันแรกที่ได้กลับมาพักฟื้นที่บ้านต่อหลังจากอยู่โรงพยาบาลเกือบสองอาทิตย์ ฉันไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลนานขนาดนี้มาก่อนแม้จะเคยคลอดอันดามาแล้วเพราะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ครั้งนี้สามีเป็นคนบังคับให้อยู่ยาวจนมั่นใจเพราะอยากให้ฉันกับลูกอยู่ใกล้หมอ ส่วนอันดาต้องเรียนหนังสือระหว่างที่ฉันพักฟื้นร่างกายก็ต้องกลับมาอยู่บ้านคุณยาย อันดากลายเป็นพี่สาวที่พูดรู้เรื่องแม้จะได้เจอน้องเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น ไม่มีร้องงอแง ไม่มีอ้อน และที่สำคัญไม่มีท่าทีอิจฉาน้องที่ได้อยู่กับฉันและจัสติน และวันนี้เจ้าพี่คนแสบก็ยิ้มหน้าบานที่จะได้อยู่กับน้องจริงจังสักทีตลอดเวลาที่ฉันอยู่โรงพยาบาลก็ได้จัสตินคอยช่วยเหลือทุกอย่าง ทำทุกอย่างให้ลูกด้วยตัวเอง จัสตินเรียนรู้จากฉันและเรียนรู้จากพยาบาลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำ สระผม ชงนม แม้กระทั่งเช็ดอึให้ลูก จัสตินก็ทำได้โดยไม่อิดออดและไม่มีความรังเกียจแม้แต่น้อย เวลามองสามีทำอะไรเพื่อตัวเองและลูกมันทำให้ฉันภูมิใจที่ได้เขาเป็นสามี เหมือนตอนนี้ที่ได้เห็นเขากำลังอุ้มอันนาเข้าอกและร้องเพลงกล่อมเบาๆ ใครจะคิดว่าแบดบอยจะฮัมเพลงกล่อมให้ลูกหลับได
ตอนพิเศษ 3 เข้าสู่เดือนที่เก้า ห้องทำคลอด"ไหวไหมคะ" นับดาวถามจัสตินด้วยความเป็นห่วงเพราะเห็นสีหน้าของเขาซีดเผือดตั้งแต่เข้ามาในห้องคลอด และแล้ววันนี้ก็มาถึงวันที่ลูกสาวตัวน้อยจะได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก สำหรับฉันเป็นครั้งที่สองกับการคลอดลูกก็ยังคงมีความตื่นเต้นแต่ก็รู้วิธีการต่างๆทั้งหมดทำให้เบาใจไปเยอะ แต่คนที่น่าเป็นห่วงก็หนีไม่พ้นว่าที่พ่อลูกสองทั้งตื่นเต้นและดีใจตั้งแต่ฉันเจ็บท้อง จนถึงตอนนี้จัสตินเข้ามาในห้องคลอดกับฉันเขาก็ยังวิตกกังวลอย่างหนัก ใบหน้าคมคายมีแต่ความตึงเครียดจนเหงื่อไหลตามกรอบหน้า กลับกลายเป็นฉันเองที่ต้องคอยถามเขาตลอดมือหนาประสานมือคนตัวเล็กไว้แน่น หัวใจแกร่งเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งตอนเธอเข้ามานอนในห้องคลอดเขายิ่งสติแตกแต่พยายามคุมตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ เขานับถือใจนับดาวที่คลอดอันดาอย่างโดดเดี่ยวในตอนนั้นจริงๆ พอเห็นแบบนี้แล้วเขาต้องดูแลเธอและลูกให้เป็นอย่างดีและรักเธอกับลูกมากกว่าชีวิตตัวเอง คุณค่าของความเป็นแม่มันยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน"หมอจะทำการกรีดปากช่องคลอดแล้วนะครับ นับหายใจเข้าลึกๆนะ พี่จะ
ตอนพิเศษ 2"ดูสิคะ ตัวแสบคนโตมารอของฝากจากที่พ่อกับแม่หนีเที่ยวแล้ว" แค่เพียงรถตู้คันหรูขับเข้ามาในคฤหาสน์ก็เห็นสาวน้อยยืนยิ้มร่าอยู่หน้าประตูบ้าน ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าพ่อกับแม่จะกลับมาแล้ว และที่สำคัญคงรู้ว่าจะได้ของฝากแน่นอนไม่ชุดก็กระเป๋าแบรนด์เนมตามสไตล์ที่พ่อคนโปรดจะจัดสรรให้ลูกได้ริมฝีปากหนาระบายยิ้มกว้างมองตามที่นับดาวบอกและคอยประคองนับดาวลงจากรถ"อันดาช่วยถือของค่ะ""ช่วยแบบหวังรางวัลไหมคะ" ฉันอดที่จะแซวอันดาไม่ได้เพราะความเจ้าเล่ห์มีเต็มเปี่ยม"ไม่หวังค่ะเพราะรู้ว่าต้องได้อยู่แล้ว""ตัวแค่นี้แก่นใหญ่แล้วนะเรา""พ่อจะลืมของรางวัลคนสวยได้ยังไงกันล่ะ ทั้งหมดนี่ของอันดาครับ ว่าแต่ที่พ่อเคยสอนไว้ว่าถ้าของใครคนนั้นต้องถือเข้าไปเองจำได้ไหมนะ" จัสตินทำลอยหน้าลอยตาพยายามรื้อฟื้นความทรงจำลูก แต่เขารู้ว่ายังไงอันดาต้องถือของไปเองอยู่แล้ว"พี่ๆไม่ต้องช่วยค่ะ เดี๋ยวอันดาถือของอันดาเข้าเอง พี่ๆยกของน้องกับของแม่นับดาวเข้าไปได้เลยค่ะ ส่วนของพ่อจัสตินไม่ต้องค่ะ เพราะพ่อจัสตินบอกของใครคนนั้นต้องถือเอง แต่แม่นับดาวท้องน้องอยู่เลยยกไม่ไหวไม่เป็นไรค่ะ แม่นับดาวไม่ต้องถือ" อันดาพูดเจื้อยแจ้วและส่
ตอนพิเศษ 1 ห้าเดือนต่อมา...หน้าท้องน้อยๆของนับดาวยื่นออกมาอย่างชัดเจน ผิวพรรณเปล่งปลั่งกลายเป็นคุณแม่ลูกสองที่ใครๆก็ชมว่าสวยกันทั้งนั้น ออร่าเปล่งประกายจนทุกคนเหลียวมองไปตามๆกัน แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกใจกับสิ่งนี้ ใบหน้าบูดบึ้งตลอดเวลาเมื่อพานับดาวออกมาข้างนอก ไม่ว่าจะโรงพยาบาลหรือช็อปปิ้ง ไม่เคยมีรอยยิ้มบนใบหน้าคมคายมีแต่จ้องจะหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว"มองอะไรกันนักหนา คนนี้เมียกู มองก็ไม่ได้ ยิ้มก็ไม่ได้ ห้ามแตะต้อง" จัสตินพูดกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มองเมียสุดที่รัก อีกทั้งยังกล้ายิ้มให้นับดาวต่อหน้าต่อตาเขา"ขอโทษครับ ผมแค่เคยรักษาแผลกับคุณหมอคนสวย" วัยรุ่นหนุ่มรีบก้มหัวให้และวิ่งแจ้นไปเลย"พี่จัสตินคะ อีกแล้วนะ เด็กคนนั้นนับเคยทำแผลให้ตอนเขารถล้มค่ะ น้องเขาแค่ทักทายหมอคนที่ทำให้แผลเขาหายเฉยๆ" ฉันถึงกับกลอกตามองบนเมื่อได้เห็นพฤติกรรมโผงผางของสามีราวกับจงอางหวงไข่ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จัสตินจะเป็นแบบนี้เสมอเพียงเพราะฉันออกมาข้างนอก เขาจะตามติดเป็นปลิงและคอยหาเรื่องคนที่มองฉันทุกคน จนบางครั้งกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนต้องให้ลูกน้องมาเคลียร์ถ้าจัสตินเคลียร์เอ
พลั้งรักมาเฟียร้าย : ตอนที่ 61ช่วงเช้าของวันใหม่ ดวงตากลมโตมองที่ตรวจครรภ์ด้วยแววตาสั่นระริก มือบางสั่นเทากับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ริมฝีปากบางระบายยิ้มกว้างพร้อมกับหยดน้ำตาที่หยดลงบนที่ตรวจครรภ์พอดี"มาอยู่กับแม่แล้วนะตัวน้อย มาเป็นน้องของพี่อันดานะคะ แข็งแรงนะลูก" มือบางลูบหน้าท้องตัวเองพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ต่อให้ท้องนี้เป็นท้องที่สองแต่ก็ยังตื่นเต้นเหมือนเดิม ตั้งแต่กลับมาจากบ้านของชาร์ล ทั้งฉันและจัสตินก็นอนไม่ค่อยหลับได้แต่มองนาฬิกาเมื่อไหร่ฟ้าจะสว่างเพราะการตรวจตอนเช้าจะแม่นยำที่สุดทำให้เราอดใจรอ โดยเฉพาะจัสตินที่แทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แต่มันไม่แปลกเลยเพราะสำหรับจัสตินความรู้สึกนี้คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสดวงตากลมโตมองกระจกเงาในห้องน้ำพร้อมกับระบายยิ้มกว้างราวกับคิดอะไรแผลงๆก่อนจะเปิดประตูออกไปแกร่ก"เป็นไงบ้างนับ ลูกมาไหม" จัสตินถามทันทีเมื่อเมียสุดที่รักเปิดประตูห้องน้ำออกมา เขายืนลุ้นอยู่หน้าห้องจนใจจะขาด ร่างกายทุรนทุรายอย่างหนักตั้งแต่เมื่อคืน แต่แล้วทุกอย่างก็เงียบลงเมื่อเห็นหน้านับดาวเศร้าและนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย หัวใจแกร่งกระตุกวูบ สีหน้าตื่นเต
พลั้งรักมาเฟียร้าย : ตอนที่ 60หลายเดือนต่อมา"มีอาการอะไรบ้างไหม" น้ำเสียงเข้มถามเมียสุดที่รักอย่างใจจดใจจ่อและแสดงสีหน้าลุ้นกับคำตอบเมียออกมาอย่างเปิดเผย"ไม่มีค่ะ ปกติทุกอย่าง" ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มก่อนจะนั่งลงบนตักแกร่ง ทำให้ท่อนแขนแกร่งของจัสตินโอบรั้งตัวฉันไว้อัตโนมัติหลังจากปฏิบัติการทำลูกในวันนั้นจนมาถึงตอนนี้เขายังคงถามถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวฉันอยู่ทุกวัน แต่พอได้คำตอบที่ไม่ถูกใจใบหน้าคมคายก็จะหงอยลงทันตาเห็น ในครั้งนั้นหนึ่งอาทิตย์เต็มที่ฉันกับเขามีอะไรกันแทบทุกเวลาแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนฉันต้องให้กำลังใจจัสตินมาเรื่อยๆจนตอนนี้ผ่านไปหลายเดือนก็ยังไม่มีปฏิกิริยาของลูกน้อย อดที่จะสงสารว่าที่คุณพ่อลูกสองไม่ได้จริงๆต่อจากเหตุการณ์ที่เขาขอแต่งงานสุดเร่าร้อนในคืนนั้นไม่ถึงเดือนเราก็จัดงานแต่งงานเล็กๆแบบอบอุ่น มีอันดาร่วมในงานพร้อมกับเพื่อนสนิทของเราและแม่ของฉันที่เข้าร่วมพิธีสำคัญในวันนั้น ทางครอบครัวของจัสตินเขาขอไม่พูดถึง ฉันก็เข้าใจเมื่อถูกจี้ใจดำเรื่องครอบครัว จัสตินเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังเหมือนเขาได้ระบายความรู้สึกจริงๆออกมาและมันก็น่าหดหู่สำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่โตมาโดยไ