สามเดือนผ่านไป
"สะ สองขีด…"
พรึ่บ!
ที่ตรวจครรภ์ร่วงหล่นจากมือบางของคนยืนนิ่งสนิทเพราะร่างกายยุดทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นผลตรวจจากอุปกรณ์ที่ใช้กับร่างกายปรากฏชัดว่าเธอมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องโดยไม่ทันได้ตั้งตัวและตั้งใจ
แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวกลับทำให้ชีวิตเธอพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ
"แน่ใจนะ เพราะถ้าผมเริ่มแล้ว หยุดไม่ได้แล้วนะครับ"
"ฉันแน่ใจค่ะ"
ภาพในวันนั้นฉายเข้ามาในหัวอีกครั้ง ถ้าวันนั้นเธอเลือกที่จะหยุดมันและเลิกประชดชีวิตวันนี้ก็คงไม่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและลำบากใจอย่างเช่นวันนี้
"แตม…ฉันมาแล้ว~" เสียงหวานของคนมาใหม่ทำให้เฌอแตมรีบคว้าที่ตรวจครรภ์แล้วซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าห่มแทบไม่ทัน เพื่อนสนิทหอบของพะรุงพะรังกดเข้าห้องโดยไม่ได้คิดจะเคาะประตูขออนุญาตตามประสา
"ฉันเห็นนะ แกซ่อนอะไรไว้ยัยแตม" ทอฝันรีบวางของแล้วเดินมาจับผิด
"ปะ เปล่าไม่มีอะไร" ขณะที่เฌอแตมส่ายหัวจนตัวสั่นไปหมด แน่นอนว่าทำอย่างไรเธอก็ยังแสดงพิรุธออกมาอย่างคนที่โกหกไม่เก่งเช่นเคย
"แกเอาของของไอ้ภามมาดูใช่ปะ สามเดือนแล้วยังไม่ลืมมันอีกเหรอ!?" ทอฝันเริ่มขึ้นเสียง
"ไม่ใช่ ฉันจะคิดถึงไอ้เลวนั่นทำไม" ทว่าเพื่อนสนิทกลับส่ายหัวหน้าซีด
"ถ้าไม่ใช่แล้วแกปิดบังอะไรฉัน" ทอฝันยังไม่หยุดที่จะคาดคั้นเพื่อหาความจริง เพียงเท่านั้นคนปิดบังก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ จึงล้วงมือไปใต้ผ้าห่มแล้วหยิบเอาของบางอย่างที่ซ่อนไว้ส่งให้เพื่อนดู
"แกติดโควิดเหรอ?" เฌอแตมส่ายหัว
"ถ้าไม่ใช่ที่ตรวจโควิดแล้วมันคือ…"
"ที่ตรวจครรภ์" คนตัวเล็กพูดจบก็ถอยหลังไปพิงเก้าอี้ปล่อยตัวปล่อยใจอย่างคนหมดแรง
"ฮะ ฮ้ะ!?"
"ฉันท้อง…"
"กะ แกท้อง!?" ทอฝันเบิกตากว้างตกใจสุดขีด ทั้งที่เพื่อนครองโสดตลอดสามเดือนที่เลิกกับแฟนเก่า แต่วันนี้เธอกลับบอกว่าตัวเองกำลังตั้งท้อง งั้นก็คงแปลว่า…
"แกท้องกับไอ้ภามเหรอ!?" คนถามเบิกตาโต
"ฉันไม่เคยมีอะไรกับภาม" เท่านั้นทอฝันก็อ้าปากค้างขมวดคิ้วยุ่ง เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็งุนงงหนักกว่าเดิม
"แต่แกมีแฟนเป็นไอ้ภามคนเดียว หรือแกมีแฟนใหม่แต่ปิดบังฉัน"
"เปล่า"
"แล้วเป็นใครยัยแตม พ่อของลูกแกเป็นใคร?"
"ฉะ ฉันไม่รู้…" เฌอแตมตอบเพื่อนเสียงแผ่วเบา ผู้ชายคนนั้นเธอไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียง อายุ หรือหน้าที่การงาน จำได้แค่หน้าตาที่หล่อเหลา เสียงที่ไพเราะ และการพูดคุยกันที่ถูกคอและเข้าขา นิสัยดูเป็นคนอบอุ่น เธอรู้เพียงแค่นี้จริง ๆ
"ยัยแตมอะไรของแกเนี่ย…" ทอฝันท้อใจไม่ต่างจากเพื่อน ใบหน้าของเฌอแตมว่างเปล่าจนเธอพลอยรู้คำตอบไปด้วย
"ฉันมีวันไนท์แสตนด์" สุดท้ายร่างเล็กก็ยอมรับ อย่างไรเสียทอฝันก็รู้เรื่องหมดแล้ว ให้รู้อีกสักเรื่องจะไม่เป็นไร
"ยัยแตม!!!" ทอฝันร้องเสียงหลง แน่นอนว่าเธอไม่คิดว่าเฌอแตมจะทำเรื่องแบบนี้
"ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าฉันไม่อยากเป็นคนเดิมอีกแล้ว แต่ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้"
"แล้วแกรู้จักเขาหรือเปล่า?" เฌอแตมส่ายหัว…
"ได้ป้องกันหรือเปล่า" เฌอแตมก็ส่ายหัวอีกครั้ง…
"แล้วแกก็ไม่กินยาคุมเหรอ?" แน่นอนว่าครั้งนี้เธอก็ส่ายหัวอีกเช่นเคย จนกระทั่งคำถามสุดท้ายจากเพื่อน
"แกจะเอายังไงต่อไป?" คนตัวเล็กสั่นหัวเป็นครั้งที่สี่ หลังจากเห็นผลตรวจชีวิตก็มืดมิดอย่างหมดหนทางไปหมด คิดอะไรไม่ออก หัวตื้อ บอกไม่ถูกเหมือนทุกอย่างมันจุกอยู่ที่อกจนพูดออกมาไม่ได้
"ยัยแต๊ม…แกจะส่ายหัวทุกครั้งไม่ได้!" ทอฝันเปล่งสุดเสียง เพราะเธอเอาแต่ไม่พูดแสดงออกด้วยการสั่นหัวเป็นเจ้าเข้าคนถามจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
"ฉันทำอะไรได้ล่ะฝัน ฉะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมีเขา หลังจากเรามีอะไรกันฉันก็หนีเขาออกมาเลย" ตอนนั้นเธอเหมือนคนเพิ่งได้สติ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายนอนหลับสนิทข้างกายก็ยิ่งรู้สึกกระดากอายกับสิ่งที่ทำลงไป
"แต่เขามาแล้วไงแตม ถึงแกจะไม่เต็มใจแต่เขามาแล้ว แกคงจะไม่ทำแท้งหรอกใช่ไหมยัยแตม"
"ฉันไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้นนะฝัน" คำตอบของเฌอแตมพลอยทำให้เพื่อนรักถอนหายใจอย่างโล่งอก สุดท้ายเธอก็ไม่ได้คิดทำอะไรโง่ ๆ เกินกว่าเพื่อนอย่างเธอจะต้องด่าตักเตือน
"ถ้างั้นก็ไปตรวจกับหมอให้รู้แล้วรู้รอด ฉันจะพาแกไปเอง บางทีผลมันอาจจะผิดพลาดก็ได้"
"มันดึกแล้ว"
"งั้นก็พรุ่งนี้"
"พรุ่งนี้ฉันเริ่มงานวันแรกแกก็รู้"
"งั้นวันหยุดตกลงไหม อย่าหาข้ออ้างอีก"
"อะ อือ" เฌอแตมรับปากเพื่อนแล้วทำหน้าครุ่นคิด ขอเพียงแค่การตรวจในครั้งนี้เป็นแค่ผลที่คลาดเคลื่อนของที่อุปกรณ์ ชีวิตของเธอจะต้องไม่แย่ไปกว่านี้…
"ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยแกเลี้ยงเอง" ทอฝันขยับมากอดเพื่อนปลอบใจ เข้าใจดีว่าเฌอแตมกำลังขวัญเสีย เพราะนี่เป็นเรื่องแรกที่เธอทำเรื่องผิดพลาด และพลาดใหญ่ที่สุดในชีวิตเท่าที่จะเกิดมายี่สิบห้าปี
เช้าวันต่อมา
(ถึงที่ทำงานหรือยัง?) ปลายสายดังเข้ามาในหูของฉันทันทีที่รับสาย จะเป็นใครไม่ได้นอกจากทอฝันที่โทรมาถามไถ่ทุก ๆ ห้านาที
"ถึงแล้วกำลังเข้าไป"
(แกต้องระวังให้ดีนะยัยแตม แกไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ)
"แกพูดประโยคนี้จะสิบรอบแล้วทอฝัน" ฉันถึงกับส่ายหัว ขนาดยังไม่มั่นใจว่าท้องหรือเปล่าว่าที่คุณน้าก็บงการชีวิตฉันทุกฝีก้าว
(ก็แกทำอะไรไม่ค่อยคิด ฉันก็เป็นห่วงหลานของฉัน แกอย่าลืมแจ้งหัวหน้าแกด้วย ตอนนี้แกท้องอยู่ แกจะเดินเยอะไม่ได้)
"อืม…รู้แล้ว แค่นี้ก่อนฉันถึงที่ทำงานแล้ว" ฉันวางสายจากทอฝันแล้วเข้าไปในสำนักงานของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งตำแหน่งใหม่ที่ฉันได้งานคือภัณฑารักษ์ คอยดูแลรักษาพิพิธภัณฑ์ศิลปะหรือแกลอรี่ขนาดไม่ใหญ่มาก รวมไปถึงผลงานศิลปะที่มีคุณค่าของแกลอรี่ และจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดที่เกิดขึ้นทุกปี ถึงจะไม่ได้เปิดนิทรรศการของตัวเองแบบที่ตั้งใจ แต่อย่างน้อยก็ได้เป็นภัณฑารักษ์ใกล้ชิดกับงานศิลปะไม่ต่างกัน
"คิดเสียว่าเป็นการศึกษาเพื่อต่อยอด ผมว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะครับ"
คงต้องขอบคุณกำลังใจจากคนแปลกหน้าคนนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันเลือกที่จะเปลี่ยนสายงาน ออกจากกรอบเดิม ๆ และตัดสินใจมาทำงานที่นี่ตามคำแนะนำ
"พนักงานใหม่ใช่ไหมคะ?" ฉันออกจากความคิดแล้วปรายมองหญิงวันไล่เลี่ยกันที่เดินเข้ามาทัก เธอกดมองลอดผ่านแว่นตาทรงกลม ฉันจึงยกมือไหว้เธอแล้วเดินเข้าไปหาพร้อมตอบคำถาม
"ใช่ค่ะ หนูเป็นภัณฑารักษ์คนใหม่ค่ะ"
"จ้ะ…พี่ใหม่นะเป็นภัณฑารักษ์ White coat gallery เหมือนกัน" พี่ใหม่ยิ้มให้ฉันเป็นอย่างดี รวมถึงพี่พนักงานคนอื่น ๆ อีกสี่คนที่ยิ้มต้อนรับไม่ต่างกัน
"แตมฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ" ฉันกลับไปนั่งโต๊ะตำแหน่งที่ว่างและถูกจัดเตรียมมาเพื่อพนักงานใหม่โดยเฉพาะ แค่วันแรกก็รู้สึกสังคมการทำงานดีกว่าที่เก่าเป็นบ้า ชื่อแกลอรี่ก็น่าดึงดูด เพื่อนร่วมงานไม่เยอะ อยู่แบบง่าย ๆ ในโลกของตัวเอง คิดไม่ผิดเลยที่เลือกที่นี่
"เลขาฝากบอกให้แตมรายงานตัวกับบอสพรุ่งนี้นะ วันนี้บอสไม่เข้าบริษัท"
"ขอบคุณค่ะพี่ใหม่ ว่าแต่บอสเป็นคนยังไงเหรอคะ แตมต้องเตรียมตัวอะไรหรือเปล่า?" ตั้งแต่สมัครงานสัมภาษณ์งานฉันยังไม่เคยเจอกับประธานหรือเจ้าของแกลอรี่เลยด้วยซ้ำ
"พี่ไม่อยากจะเมาท์เลยน้องแตม แต่มาพี่จะเล่าให้ฟัง" คำว่าไม่อยากจะเมาท์ฉันเจอมาเยอะ สุดท้ายก็ฝอยรัว ๆ ไม่เป็นอันทำการทำงานแทบทุกคน
"บอสของเราหล่อมาก เท่มาก แต่ก็เนี๊ยบมากเหมือนกัน"
"เป็นผู้ชายเหรอคะ?"
"ใช่จ้ะ ที่สำคัญบอสของเราโสดด้วยนะ สาว ๆ วิ่งตามกันเป็นแถบ ๆ แต่บอสของเราก็ไม่เคยสนใจ ท่านงานเยอะน่ะสำนักงานเราก็เป็นแค่งานรอง สร้างมาเพราะใจรัก แต่งานหลักพี่ก็ไม่แน่ใจว่าทำอะไร บางเดือนก็ไม่เข้าบริษัทเลยนะ เราโชคดีมากที่มาไม่กี่วันได้เจอบอสพอดี"
"ท่านดุไหมคะ?"
"ดุไหมเหรอ…พี่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เราต้องเจอเองแล้วแหละ" ทำไมคำถามนี้ถึงตอบไม่ได้ แปลว่าท่านประธานคงจะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ สินะ ทุกอย่างกำลังจะดีอยู่แล้วหวังว่าคงจะไม่จบที่ท่านประธานนะ…
ห้าปีผ่านไปเวลาผ่านไปอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ฉันอายุเข้าเลขสามเจ้าฝาแฝดของฉันก็ได้ 7 ขวบพอดี วัยกำลังซุกซน สร้างเสียงหัวเราะ แต่ในขณะเดียวกันก็เหนื่อยหน่ายกับความดื้อของพวกเขาเหมือนกัน"ทำอะไรอยู่คะ?" ฉันโน้มกอดแผ่นหลังของคนที่ยืนหันหน้าเข้าหาเตา กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งในอากาศทั่วบ้านของเรา ยังเป็นฉันที่เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก มีสามีดี ๆ ที่ฟ้าส่งให้มาอยู่เคียงข้าง ไม่มีวันไหนที่ไม่มีความสุขเลย"มีแซนด์วิชทูน่า แล้วก็ข้าวผัดให้ลูกครับ""หอมจัง ~" ฉันไม่พูดเปล่า ว่าแล้วก็ฝังจมูกกับแผ่นหลังกว้างของเขา ความหอมที่ฉันหมายถึงไม่ได้หมายถึงข้าว แต่เป็นกลิ่นกายของเขาที่คุ้นเคยและชวนตกหลุมรักซ้ำไปซ้ำมา"ระวังจะไม่ได้ไปปิกนิกนอกบ้านนะครับ" ฉันหยุดการกระทำในทันที สุดสัปดาห์แบบนี้ก็ต้องออกไปใช้ชีวิตครอบครัวข้างนอกบ้าง วาดรูป อ่านหนังสือ และพาลูกวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะฉันรอวันนี้มาตั้งหลายวัน"ไม่แกล้งแล้วก็ได้" ฉันเป็นต้องผละใบหน้าออกเล็กน้อย กลัวสามีจะจับทำกิจกรรมในบ้านมากกว่าออกไปตามที่แพลนเอาไว้"หึ...ลูกล่ะครับ" คุณไคเรนกลั้วเสียงหัวเราะเบา ๆ ว่าไม่ได้เพราะหลังจากแต่งงานคนอบอุ่นของฉันค่อ
ณ คาเฟ่ในสวนกับบรรยากาศเขียวชอุ่มที่มีฉันคุณไคเรนและลูกน้อยฝาแฝดอีกสองคน กลิ่นกาแฟอ่อน ๆ และขนมที่เพิ่งออกจากตู้อบลอยฟุ้งมาถึงเราที่นั่งสูดอากาศอยู่ในสวนข้างนอกแต่ให้ความเป็นส่วนตัว"เสียดายจังยัยทอฝันมีธุระต่อ คนอื่นก็หนีกลับไปหมดแล้ว เราเลยต้องมาเลี้ยงฉลองกันแค่สี่คน" ท่านประธานป้ายแดงแบบฉันที่ตั้งใจจะพาทุกคนมาเลี้ยงกลับเหลือกันอยู่แค่นี้"ทุกคนคงเกรงใจน่ะครับ" ฉันก็คิดแบบนั้น หลังเลิกงานก็อยากให้เป็นเวลาครอบครัว ฉันจึงไม่ได้บังคับใคร ทว่างานเลี้ยงที่มีครอบครัวเล็ก ๆ พ่อแม่ลูกแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบเหมือนกัน"คิณห์หิวแล้ว" คิณห์แฝดพี่ชี้ไปที่เครปผลไม้ในจานตรงหน้า บ่งบอกว่าลูกอยากกินมากเพราะแววตาที่ลุกวาวทำฉันผุดยิ้มอย่างเอ็นดู"ริณหิว" ตามด้วยคาริณแฝดคนน้องที่คลานตามไม่กี่นาทีจากพี่ชาย รายนี้นอกจากจะคลอดตามเขาแล้ว ยังขยันลอกเลียนแบบพี่ชายเกือบทุกอย่าง ทั้งพูดตาม กินตาม ไหนจะเดินตาม เรียกว่าขาดกันไม่ได้สมกับเป็นฝาแฝดกันจริง ๆ"พ่อป้อน" คิณห์เขย่าแขนคนเป็นพ่ออย่างรีบร้อน ส่วนอีกข้างก็ถูกคาริณเขย่าแขนตามด้วย"พี่ก่อน" คิณห์จดจ้องน้องคิ้วขมวด เป็นเรื่องปกติที่บ้านเราจะประสบพบเจอในแต่ละวัน ฉั
"คุณภรรยาท่านประธานคะ คุณสามีเรียกพบค่า ~" ฉันเงยหน้ามองเลขาท่านประธานใหญ่ของแกลอรี่ WHITE COAT ที่เดินมาเรียกฉันถึงที่โต๊ะ ทั้งยังส่ายหัวแล้วอมยิ้มให้พี่เนยที่ใช้สรรพนามเย้าแหย่เข้าทุกวัน"พี่เนย...แตมแต่งงานมาสามปีแล้วนะคะ ยังไม่เลิกแซวอีก" สามปีผ่านไปบรรยากาศสุดแสนจะผ่อนคลายของออฟฟิศเราก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ความเป็นพี่น้อง ความเฮฮาสนุกสนานกับการทำงานยังไม่เปลี่ยนแปลง เว้นแต่ฉันที่ได้เลื่อนเป็นภัณฑารักษ์หลักเช่นเดียวกับพี่ใหม่แล้ว และรับน้อง ๆ ภัณฑารักษ์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอีกหลายคน ด้วยแกลอรี่ที่ขยายใหญ่ขึ้น สรรสร้างนิทรรศการที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นทุกปี กระทั่งตอนนี้ WHITE COAT ดังไกลไปถึงหลายประเทศ หลายคนแห่แหนกันมาเพื่อดูนิทรรศการของเราโดยเฉพาะ"เรารีบไปเถอะ ให้คุณสามีรอนาน ๆ มันไม่ดีน่า ~" พี่เนยฉีกยิ้มกว้างกระทั่งพนักงานคนอื่น ๆ ก็ช่วยกันสนับสนุนส่งเสียงกระเซ้ายกใหญ่"พอเลยนะทุกคน ได้เวลาเลิกงานแล้วรีบกลับก่อนฝนจะตกนะคะ" ฉันทิ้งท้ายพวกเขาก็รีบเดินหนีเข้าไปในห้องทันที ท้องฟ้าเมฆครึ้มมาแต่ไกลไม่เป็นอุปสรรคต่อการแกล้งฉันจริง ๆฉันดันประตูห้องคนที่ทำให้โดนแซวทั้งสำนักงาน จนเห็นเจ้าตัว
ในห้องทำงานที่แยกส่วนจากเพนท์เฮ้าส์เงียบสงบ มีเพียงเสียงเสียดสีของพู่กันบนกระดาษใบใหญ่ใบหนึ่ง และเสียงลมหายใจของคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาใส่ใจกับผลงานที่อยู่ตรงหน้าใช่แล้ว...ศิลปิน KR ผู้โด่งดังกำลังวาดรูปอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ใช่รูปคน ไม่ใช่ภาพวิวทิวทัศน์อย่างที่เขามักคุ้นเคย แต่มันคือม้าโยกตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่เขาค่อย ๆ ลงสีด้วยความประณีตที่สุดเท่าที่เคยทำมาขาของมันทำจากไม้ ฐานเป็นทรงโค้ง และเบาะที่นั่งถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงตุ่น ๆ ถอดออกมาจากต้นแบบม้าโยกไม้ของจริง ที่ตั้งประดับเป็นความทรงจำของพวกเธอเกี่ยวกับเจ้าก้อนที่ไคเรนไม่เคยลืมสักวันรอบนอกของรูปภาพถูกล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่สองต้น แบ่งซ้ายและขวาข้างละต้นโดยมีกิ่งก้านทอดยาวโอบรอบม้าโยก เป็นตัวแทนของพ่อและแม่ที่ปกป้องลูกน้อยจากภัยอันตราย ใส่สีโทนเหลืองให้ความรู้สึกอบอุ่นกับภาพวาดภาพนี้ ทั้งยังสลักชื่อ 'คิณห์&คาริณ' แสดงถึงความตั้งใจของคนวาดภาพเพื่อจะมอบเป็นของขวัญให้กับอีกหนึ่งคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตภาพวาดที่เป็นดั่งตัวแทนของเจ้าก้อนลูกที่เธอและเขายังไม่มีโอกาสได้กอดออกมาเสร็จสมบูรณ์ในเวลาต่อมามือไคเรนเปื้อนไปด้วยสีวาด เช่นเดียวกับเสื
ในวันหยุดจากการทำงานเฌอแตมกำลังตั้งใจทำอาหารเพื่อรอให้ใครอีกคนกลับมาทานอาหารด้วยกัน โดยเมนูที่เลือกรังสรรค์ก็เจาะจงเป็นเมนูที่เขาโปรดปราน เอาใจคนทำงานหนักให้กลับมาจะได้สลัดความเหนื่อยล้าด้วยรสมือชั้นเลิศของแฟนสาวแบบเธอเสียงเปิดประตูทำให้คนตัวเล็กรีบวิ่งออกไปต้อนรับถึงที่ ฉีกยิ้มกว้างให้เขาแล้วยื่นมือรับเสื้อคลุมของคนรักมาถือให้"ขอบคุณครับ" ไคเรนรู้สึกดีขึ้นเป็นกอง มีคนตั้งตารออยู่ที่บ้านมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง ว่าแล้วก็ประคองใบหน้าสวยจูบซับหน้าผากมนเป็นการรางวัล ชื่นใจทั้งคนมอบแบบเขาได้เห็นหน้าแฟนสาวเท่านี้ก็หายเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว"วันนี้ฉันทำต้มข่าไก่ของโปรดคุณด้วย" เฌอแตมภูมิใจนำเสนอ เมนูนี้สำหรับเธอแล้วค่อนข้างจะทำยาก กว่าจะมั่นใจว่ามันออกมาอร่อยถูกใจเขาทานก็ชิมแล้วชิมอีกเพื่อให้แน่ใจ"เหนื่อยไหมครับฮื้ม...วันหยุดทำไมไม่พักผ่อนให้สบายตัวล่ะครับ" เสียงนุ่มว่าพร้อมกับดึงเธอลงมานั่งด้วย แน่นอนว่าดีใจมากที่มีคนให้ความสำคัญกับตนถึงขนาดนี้ แต่เขาเองก็ไม่อยากทำให้เธอลำบาก แทนที่วันหยุดจะเป็นเวลาที่ควรพักผ่อนเอาแรงเพื่อสู้กับการทำงานวันต่อ ๆ ไป"ฉันพักผ่อนเต็มที่แล้ว อยากต
ร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่นในย่านที่เป็นร้านประจำของทั้งสองเพื่อนสนิทสุดซี้ เสียงเพลงคลอเบา ๆ พอให้คนในร้านได้พูดคุย ให้บรรยากาศของความอบอุ่นเหมาะแก่การรับประทานอาหารเป็นครอบครัว ไคเรนเดินตามเฌอแตมเข้ามาด้วยสีหน้าอารมณ์ให้ดูสุภาพ ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าคนที่กำลังจะได้เจอไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น 'ทอฝัน' เพื่อนสนิทที่เธอมักพูดถึงเสมอ และที่สำคัญกว่านั้นเธอคือคนที่เหลืออยู่ในฐานะครอบครัวของเธอเพียงคนเดียวหญิงสาวเจ้าของชื่อนั่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่เดินควงแขนใครคนนั้นเธอก็ใช้สายตาไล่สแกนชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า"รอนานไหมแก" เฌอแตมทักทายอย่างเป็นกันเอง กำลังจะหย่อนตัวนั่งตรงกันข้ามทว่าทอฝันกลับพูดเสียงเรียบขึ้นมา"แกมานั่งฝั่งนี้สิ ให้คุณไคเรนนั่งฝั่งนั้น" ทอฝันมองที่นั่งข้างตัว เป็นการบอกกราย ๆ ว่าที่นั่งถูกต้องของเธอคือฝั่งนี้ ในขณะที่เฌอแตมกำลังจะแย่งขึ้นมาแต่เธอก็ส่ายหัวไม่อยากให้เฌอแตมถึงเงียบลง"คุณนั่งกับเพื่อนเถอะครับ" ไคเรนเผยยิ้มให้แฟนสาวยอมทำตาม แล้วเจ้าตัวก็รีบนั่งพร้อมยกมือเรียกบริกรขอเมนู"เล่นอะไรของแก" เฌอแตมกระซิบถามเพื่อนเสียงเบา ปกติก็ไม่ใช่คนที่จะมาเก๊กขรึมใส่ใคร