ทุกๆ เช้าในสำนักราชาโอสถมักเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรเฉียวเนี่ยนยืนอยู่หน้าห้องหนังสือของเจ้าสำนักราชาโอสถแต่เช้า ค่อยๆ ผลักประตูไม้สักแกะสลักเข้าไปแดดส่องผ่านหน้าต่างลงบนพื้นห้อง สร้างแสงเงาสลับกันเจ้าสำนักราชาโอสถเคยบอกว่า หนังสือในนี้นางสามารถยืมอ่านได้ตามใจชอบเพียงแต่ห้องหนังสือนี้ใหญ่กว่าที่นางคิด สามด้านของผนังเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน เต็มไปด้วยตำราแพทย์โบราณหลากหลายในอากาศยังมีกลิ่นหมึกผสมสมุนไพรเฉพาะตัว คล้ายกับกลิ่นของเจ้าสำนักราชาโอสถหนังสือบนชั้นแบ่งเป็นสามส่วนตามหัวข้อ ‘การแพทย์ สมุนไพร พิษ’ เฉียวเนี่ยนเดินไปยังส่วน ‘พิษ’ แล้วเริ่มค้นคว้า《คู่มือร้อยพิษ》《ตำรับสมุนไพรพิสดาร》《วิธีถอนพิษหมื่นชนิด》 และอื่นๆนางค้นคว้าตั้งแต่เช้าจนเย็น แต่ไม่พบบันทึกใดเกี่ยวกับผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณเลยเมื่อยามค่ำมาถึง แสงในห้องหนังสือเริ่มมืดจนมองตัวอักษรบนหน้าหนังสือไม่ชัด เฉียวเนี่ยนจึงวางหนังสือลงอย่างหมดแรง พร้อมถอนหายใจหนักเมื่อแบขึ้นมาก็เห็นจุดดำบนฝ่ามืออีกครั้งแปลกที่แม้ความมืดจะทำให้สายตามองไม่ชัดแล้ว แต่จุดดำนั้นกลับชัดเจนใจนางเริ่มไม่สงบนางคิดในใจว่า หา
หลินเย่ว์ถอนหายใจยาว “สำนักราชาโอสถแม้ลึกลับ แต่เนี่ยนเนี่ยนฉลาด อยู่ที่นั่นจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต”ฉู่จืออี้ได้ยินจึงหลับตาลง สุดท้ายก็การตัดสินใจ พอลืมตาอีกครั้ง แววตาก็ชัดเจน “นางได้ฝากอะไรถึงข้าไหม?”หลินเย่ว์หยิบจี้ผิงอันโค่วออกจากอก “นางบอกไว้ ว่าหวังว่าท่านอ๋องจะปลอดภัยราบรื่น”ฉู่จืออี้รับจี้ผิงอันโค่วไว้นี่เป็นสิ่งที่เขาแกะสลักด้วยมือตัวเอง แต่จิ่งเหยียนเป็นผู้มอบให้เฉียวเนี่ยนและในใจเฉียวเนี่ยน จิ่งเหยียนสำคัญยิ่ง เขาเข้าใจดีแต่ตอนนี้ นางมอบจี้ผิงอันโค่วนี้ให้เขา…เขากำจี้ผิงอันโค่วแน่นในมือ ราวกับจะรับรู้ถึงอุณหภูมิของนางรถม้าออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งสู่เมืองหลวงฉู่จืออี้พิงอยู่ในรถ จ้องจี้ผิงอันโค่วในมือแน่นข้างนอกมืดแล้ว ลมเย็นกลืนแสงสุดท้ายของตะวัน“เนี่ยนเนี่ยน รอข้าก่อนนะ” เขาเอ่ยในใจ “ข้าจะรีบกลับไปรับเจ้าให้เร็วที่สุด”ขณะเดียวกัน ในสำนักราชาโอสถเฉียวเนี่ยนอยู่ในห้องต้มยา กำลังปรุงยาถอนพิษให้ตัวเองเจ้าสำนักราชาโอสถก้าวเข้ามาในแสงจันทร์ สูดลมหายใจลึก “อืม… ตังเซียม ใบอำพันปลาวาฬ บัวน้ำแข็งแดนหิมะ แล้วก็ยังมีเห็ดหลินจือร้อยปี!!”ฺเสียงเดิมเต็มไปด้
เมื่อฉู่จืออี้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาผ่านไปแล้วสามวันตามปกติ เขาควรจะฟื้นตั้งแต่แรกแล้วเพียงแต่เฉียวเนี่ยนกลัวว่าถ้าฉู่จืออี้รู้ว่านางถูกปล่อยให้อยู่ในสำนักราชาโอสถ เขาจะย้อนกลับมา จึงให้เจ้าสำนักราชาโอสถเอายาฉู่จืออี้กิน ทำให้เขาหลับไปถึงสามวันเต็มตอนตื่นขึ้นมา ก็อยู่ในรถม้าแล้วล้อรถม้าบดลงบนเศษหิน ส่งเสียงหนักหน่วงร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยตามการโยกของรถม้า แม้ใต้ร่างจะมีเบาะหนานุ่มรองไว้ แต่ร่างก็ยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาไม่ขาดสายเขาสะบัดมือไปข้างตัวโดยอัตโนมัติ แต่กลับสัมผัสได้เพียงเบาะผ้าไหมเย็นเฉียบ"เนี่ยนเนี่ยน?" เสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกจากลำคอ ฉู่จืออี้ตกใจ แววตาสอดส่องหาตัวคนที่คุ้นเคยในรถม้าแต่ นอกจากเขาแล้ว ในรถม้ากลับไม่มีใครอื่นข้างนอกเหมือนมีคนได้ยินเสียง จึงหยุดรถม้าทันที แล้วเปิดผ้าม่านเข้ามา“ท่านอ๋องฟื้นแล้ว?!”น้ำเสียงแฝงความดีใจ ก่อนจะหยิบขวดยาออกจากแขนเสื้อ “ข้ามียา กินสองเม็ดก่อน จะช่วยให้หายไวขึ้น”ยานี้เป็นยาที่เจ้าสำนักราชาโอสถให้มา ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมนักยังจำได้วันที่ออกจากสำนักครั้งแรก เขาขับรถม้ายังลำบากอยู่เลย ตอนนี้กลับเหมือ
นางคิดมาเสมอว่ามีฉู่จืออี้อยู่ นางก็วางใจได้ ไม่กลัวอันตรายใดๆในใจของนาง โลกนี้ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขาลำบากได้ ความลำบากทุกอย่าง พออยู่ต่อหน้าเขาก็จะคลี่คลายไปหมดแต่เมื่อครู่ คำพูดของเจ้าสำนักราชาโอสถกลับทำให้นางได้สติฉู่จืออี้ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เขาเป็นคน ไม่ใช่เทพเจ้าเขาก็มีเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เขาก็เจ็บได้ ตายได้...นางมีสิทธิ์อะไรถึงได้คิดไปเองว่าเขาจะไม่เป็นอะไร?มีสิทธิ์อะไรถึงได้ดื้อดึงจะพาเขาออกไปข้างนอก?วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักราชาโอสถขวางไว้ ฉู่จืออี้ก็คงตายไปแล้ว...ประตูห้องถูกผลักเปิดออก เจ้าสำนักราชาโอสถถือชามยามาในมือแล้วเดินเข้ามาเห็นเฉียวเนี่ยนหน้าซีด จึงพูดขึ้นว่า “วางใจเถอะ เขาไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ยาของข้า จะทำให้กระดูกเขากลับมาสมานได้ภายในสิบวัน”ของในสำนักราชาโอสถ ย่อมดีที่สุดอยู่แล้วเฉียวเนี่ยนลุกขึ้น คำนับเจ้าสำนักราชาโอสถ “ขอบพระคุณท่านเจ้าสำนักที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ ผู้น้อยผู้นี้จะจดจำบุญคุณนี้ไว้ในใจ ชดใช้คืนดั่งน้ำพุไหลไม่มีที่สิ้นสุด”“ไม่ต้องหรอก” เจ้าสำนักราชาโอสถก้าวเข้ามา บีบแก้มทั้งสองข้างของฉู่จืออี้เพื่อทำให้
เศษหินร่วงกราวลงมากระทบชายอาภรณ์ของทั้งสองที่ซ้อนทับกัน กายเฉียวเนี่ยนสั่นเทา ทั้งเพราะหวาดกลัว ทั้งเพราะดีใจที่ได้เขาคืนมาอีกครั้งน้ำตาไหลไม่หยุด คำพูดมากมายที่เอ่ยไม่ออกติดค้างอยู่ในลำคอ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นเบาๆปลายนิ้วของนางกำแน่นที่ชายเสื้อของฉู่จืออี้ซึ่งยังซึมเลือดอยู่ ราวกับเพียงคลายมือออกแม้เพียงน้อย คนตรงหน้าก็จะสลายไปเป็นทรายหลุดร่วงจากปลายนิ้วมองเห็นนางเป็นเช่นนั้น หัวใจของฉู่จืออี้ก็ปวดร้าวราวกับถูกกัดกินเขายกมือขึ้น นิ้วที่เปื้อนเลือดสอดเข้าไประหว่างเส้นผมที่กระจายยุ่งเหยิงของเฉียวเนี่ยนลูกกระเดือกกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แต่เสียงกลับอบอุ่นอ่อนโยนราวสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดไหว “ไม่เป็นไรแล้ว อย่ากลัว”ถึงจะพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติ แต่เฉียวเนี่ยนก็ยังได้ยินถึงความยากลำบากในน้ำเสียงนั้นนางสะอื้นเบาๆ พลางถอยออกจากอ้อมแขนของฉู่จืออี้ “พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ” เฉียวเนี่ยนสูดน้ำมูก แล้วเอาแขนของฉู่จืออี้พาดบ่าตัวเอง พยุงฉู่จืออี้เดินออกไปเจ้าสำนักราชาโอสถเคยกล่าวไว้ คุกหินนี้คือด่านสุดท้าย หากผ่านไปได้ เปิดประตูบานนั้นไป ก็จะสามารถออกจากสำนักราชาโอสถได้ฉู่จือ
ฉู่จืออี้รู้สึกหวาดกลัวสุดขีด กลัวว่าตนเองจะทนไม่ไหว กลัวว่าเมื่อก้อนหินยักษ์ตกลงมา จะพาเฉียวเนี่ยนตายไปพร้อมกับเขาร่างกายที่เมื่อครู่รู้สึกใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว ในชั่วขณะนั้นกลับไม่รู้ว่าพลังมาจากไหน ถึงสามารถยกก้อนหินนั้นขึ้นไปได้อีกเล็กน้อยแต่เฉียวเนี่ยนกลับไม่รู้สึกตัว นางเอาแต่มองเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนร่างของฉู่จืออี้ ใจของนางปวดร้าวจนเกินจะกล่าวแต่ก็เข้าใจดี ว่าการจะช่วยฉู่จืออี้ได้ ต้องไขปริศนาให้ได้ก่อนดังนั้นนางจึงรีบเอ่ยถาม “ปริศนาอยู่ที่ไหน?”ฉู่จืออี้ขมวดคิ้วแน่น มองไปทางผนังหินด้านข้าง “ตรงนั้น”เฉียวเนี่ยนจึงเห็นว่าที่ผนังหินไม่ไกลมีอักษรสลักอยู่นางคลานออกมาจากใต้ก้อนหิน เข้าไปใกล้ผนังหิน เพ่งมองอย่างละเอียดพื้นผิวหินสีเขียวปรากฏลวดลายภาพร้อยพืชที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างจากแสงเรืองๆ ในที่มืดปลายนิ้วของเฉียวเนี่ยนลูบผ่านภาพดอกไม้สี่ฤดูบนผนังหิน ที่รากของดอกแปะเจียกมีลวดลายกลไกทองสัมฤทธิ์ฝังอยู่ นางพลันนึกถึงบันทึกในชิ้นส่วน 'ตำรับยาพันเหรียญทอง' ที่กล่าวว่า “ต้นช้องฟ้ารุ่งเติบโตในหุบเหวลึก ใบของมันสามารถแก้พิษบุปผาเจ็ดภพได้...”“ณ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตำแหน่ง