อย่าบอกนะว่าจะผิดคำพูด หนีไปกลางคัน?เห็นสีหน้ากังวลของนาง เฉียวเนี่ยนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “คนในโรงเตี๊ยมเห็นแค่พวกเราสามคนอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินเย่ว์ก็อยู่ที่นั่นด้วย”แม้แต่คนจากเมืองหลวงพวกนั้นก็คงยังไม่รู้ว่าหลินเย่ว์ออกจากเมืองแล้วเพราะฉะนั้น ตอนนี้หลินเย่ว์ถึงแอบอยู่ในเงามืด รอเพียงให้เฉียวเนี่ยนกับหนิงซวงปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วค่อยออกมาถึงเวลานั้น ฝ่ายตรงข้ามก็คงไม่คิดเชื่อมโยงชายสี่คนที่ควบม้ามาด้วยกันเข้ากับพวกนางได้ง่ายๆรอจนพวกนั้นรู้ตัวจริงของพวกนาง ก็คงจะใกล้ถึงชายแดนแล้วเช่นกันสามวันต่อมา รถม้าก็เดินทางมาถึงเมืองตงสืออย่างปลอดภัยเมื่อเทียบกับเมืองหลวง เมืองตงสือก็นับว่าไม่ค่อยคึกคักนัก แต่หากเทียบกับหลายเมืองที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เมืองตงสือก็นับว่าคลาคล่ำด้วยผู้คนแล้วเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าข้างทางดังระงม ร้านค้าต่างๆ ก็แน่นไปด้วยแขกที่แวะเวียนมาผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนถนน แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเฉียวเนี่ยนและพวกเลยลุงเกิ่งหยุดรถม้าหน้าร้านขายเสื้อผ้า เฉียวเนี่ยนกับหนิงซวงก็ลงจากรถ หันตัวเข้าไปในร้านทันทีลุงเกิ่งจึงขับรถม้าออกไป แต่สายตากล
เมื่อหลินเย่ว์ได้ยินคำพูดของเฉียวเนี่ยน รอยยิ้มที่มุมปากแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่“ใช่ ข้ากับลุงเกิ่งจะคอยปกป้องเจ้า… เอ่อ... พวกเจ้า”คำพูดนี้หลินเย่ว์กล่าวกับเฉียวเนี่ยน แต่ท้ายประโยคเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเฉียวเนี่ยนกำลังปกป้องหนิงซวงอยู่ จึงได้เติมอีกคำเข้ามาหนิงซวงก็คลายความหวาดกลัวลงบ้าง มองเห็นรอยเลือดบนใบหน้าเฉียวเนี่ยนจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยเช็ดให้เมื่อนึกถึงตนเองที่เมื่อครู่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ต้องให้คุณหนูของตนมาปกป้องเสียอีก หนิงซวงก็อดด่าตัวเองในใจอย่างแรงไม่ได้พลันนึกขึ้นได้ว่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้คุณหนูถึงไม่พานางออกจากเมืองหลวงด้วย ก็เพราะนางเป็นตัวถ่วงนั่นเอง!ยังเคยพูดเองว่าตนจะคอยปกป้องคุณหนูตลอดทางแต่สุดท้ายล่ะ?พอนักลอบสังหารมา นางกลับตกใจจนขยับตัวไม่ได้เลย!น้ำตาไหลไม่หยุด หนิงซวงรู้สึกผิดจนอดถามไม่ได้ว่า “คุณหนู บ่าวไร้ประโยชน์มากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”เฉียวเนี่ยนรีบพูดขึ้นทันที “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? เจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ก็ต้องกลัวอยู่แล้ว! เจ้าลืมแล้วหรือ? คุณหนูของเจ้ามิใช่เจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย!”ก่อนหน้านี้ทั้
เฉียวเนี่ยนยังไม่ทันได้สงบความหวาดกลัวในดวงตานางจ้องหลินเย่ว์อย่างไม่อยากเชื่อ ถามออกไปว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”หลินเย่ว์มองเฉียวเนี่ยนตั้งแต่หัวจรดเท้า พอแน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จึงโล่งใจเขายืนตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม “ข้ากลับเมืองหลวงเพื่อพักรักษาตัว ตอนนี้ร่างกายหายดีแล้ว ก็ย่อมต้องกลับไปสนามรบ”แต่เดิมหลินเย่ว์ตั้งใจจะอยู่กับฮูหยินหลินที่เมืองหลวงต่ออีกสักพัก ทว่าเมื่อรู้ว่าเฉียวเนี่ยนจะไปชายแดน ก็เลยตัดสินใจติดตามไปด้วย จะได้คอยดูแลกันเพียงแต่หลินเย่ว์ก็รู้ดี ด้วยนิสัยของเฉียวเนี่ยน ย่อมไม่มีทางยอมให้เขาตามไปด้วยแน่ ดังนั้นตลอดทางเขาจึงได้แต่ตามห่างๆ อยู่ด้านหลัง และวันนี้ก็รอให้เฉียวเนี่ยนกับพวกเข้านอนแล้วค่อยเข้ามาในโรงเตี๊ยมเพื่อขอจองห้องพักใครจะรู้ว่าเพิ่งนอนลงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของเฉียวเนี่ยนเข้าขณะนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจลึกๆโชคดีที่เขาตามมาด้วยเฉียวเนี่ยนเงียบไป ไม่พูดอะไรสายตาเหลือบไปยังศพที่นอนอยู่บนพื้น หัวใจก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ “พวกเขาเป็นใครกัน?”“ล้วนเป็นนักรบพลีชีพ”ลุงเกิ่งพูดขึ้น “ข้าอุตส่าห์จับเป็นไว้ได้คนหนึ่ง
“ไม่เป้นไรเจ้าค่ะ บ่าวไม่ง่วง แต่คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดพวกเราต้องออกเดินทางแต่เช้าเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”เฉียวเนี่ยนไม่พูดอะไร เพียงเปิดม่านหน้าต่างขึ้นชะโงกมองออกไปข้างนอก อากาศเย็นยะเยือกพลันเล็ดลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ทำเอาหนิงซวงสะดุ้งตื่นแต่เช้าเช่นนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนรู้ว่านางจะออกจากเมืองในวันนี้ ท่านพี่เซียวต้องมาส่งแน่ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับฟังคำฝากฝัง รวมถึง...นางไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจของเซียวเหอเช่นไร จึงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้แต่ก็ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงเซียวเหอเพียงผู้เดียวยังมีเซียวเหิง หลินเย่ว์ กระทั่งท่านโหวหลินและฮูหยินหลินอีกด้วย...ดังนั้นการออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ก็นับว่าเงียบสงบพอสมควรทั้งสามเดินทางด้วยรถม้าตลอดทั้งวัน ค่ำลงจึงหาที่พักแรมในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเช่าห้องไว้สองห้องเฉียวเนี่ยนกับหนิงซวงอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนลุงเกิ่งพักอยู่ห้องถัดไป เพียงมีผนังกั้นไว้ เพื่อจะได้ดูแลกันได้คงเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวัน ทั้งสามคนจึงเข้านอนอย่างรวดเร็วแต่กลางดึก เฉียวเนี่ยนกลับตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงนางรู้สึกคอแห้งเล็ก
เฉียวเนี่ยนถึงกับพูดไม่ออกนางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนแต่เวลานี้ แววตาคาดคั้นของเซียวเหิงกลับยิ่งเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ จนเฉียวเนี่ยนต้องครุ่นคิดอย่างจริงจังหากคนที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพไม่ใช่ฉู่จืออี้ แต่เป็นเซียวเหิง นางจะยังวางแผนออกจากเมืองหลวงเช่นนี้หรือไม่?คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เปิดปากในที่สุด“ไม่”น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับทำให้หัวใจเซียวเหิงเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงเขากำจอกในมือแน่นจนดูเหมือนจะบีบแตกในวินาทีถัดไปทว่าเฉียวเนี่ยนกลับพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “หากคนบัญชาการกองทัพเป็นท่าน แล้วท่านอ๋องยังอยู่ในเมืองหลวง เรื่องนี้พอเขารู้ เขาจะเป็นคนแรกที่ไปขอร้องฮ่องเต้ ให้ส่งข้าไปที่ชายแดน”นางไม่จำเป็นต้องวางแผนอะไรให้ยุ่งยากเช่นนี้มือของเซียวเหิงคลายลงในฉับพลันเขามองเฉียวเนี่ยน สีหน้าเผยความไม่เข้าใจ“แท้จริงแล้ว หากชายแดนเกิดปัญหาจริงๆ หน่วยวายุแปดร้อยลี้คงส่งข่าวมานานแล้ว”แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีแม้แต่คำว่า ‘ยาพิษ’ ในรายงานจากชายแดน หากไปขอร้องฮ่องเต้จะมีประโยชน์อะไร?ฮ่องเต้จะเชื่อได้อย่างไร?เฉียวเนี่ยนถอนหายใจยาว เอ่ยอย่างช้าๆ “ก็เพราะในรายงานไม่มีระบุ ข้าจึง
เวลานี้ เขายืนอยู่กลางถนน ขวางทางรถม้าไว้ ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อยแต่เขากลับดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร สีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาคู่นั้นจ้องเฉียวเนี่ยนแน่นิ่ง เสียงเย็นเฉียบ “ขอเชิญท่านหญิงเฉียวขึ้นไปคุยกันบนโรงเตี๊ยมสักหน่อย”เฉียวเนี่ยนมองไปยังข้างถนน จึงพบว่าสถานที่นี้ก็คือหน้าหอจุ้ยเซียงหัวใจหนักอึ้ง นางรู้ดีว่าหากวันนี้ไม่ยอมพูดคุยกับเขา เขาคงไม่ยอมเปิดทางแน่จึงทำได้เพียงลงจากรถม้าลุงเกิ่งประคองเฉียวเนี่ยนลงจากรถ กระซิบเบาๆ “ข้าจะคอยอยู่ข้างล่าง”หากเฉียวเนี่ยนตะโกนเรียกแม้เพียงคำเดียว เขาก็จะพุ่งขึ้นไปช่วยทันทีเฉียวเนี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย มองสีหน้าเย็นเยียบของเซียวเหิงแล้วก็อดกังวลไม่ได้ว่าเขาอาจทำอะไรบางอย่างลงไปแต่ก็ไม่รู้เพราะอะไร นางกลับรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะไร้สติถึงเพียงนั้นพอเห็นเฉียวเนี่ยนลงจากรถ เซียวเหิงก็เดินนำเข้าไปในหอจุ้ยเซียงก่อนเด็กในร้านพาขึ้นไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสองในห้อง ได้จัดวางเหล้ากับอาหารไว้เรียบร้อยแล้วเซียวเหิงนั่งลง ก่อนจะรินเหล้าให้เฉียวเนี่ยนหนึ่งจอก “ได้ยินว่าเจ้าจะออกจากเมืองหลวงพรุ่งนี้ ข้าจึงจัดเหล้าปลาอาหารไว้เลี้ยงส่งเจ้า”จอกเหล้