พระพุทธรูปหยก!เฉียวเนี่ยนรู้จักดีเมื่อคราวนั้นฮูหยินหลินยังเคยมาขอร้องนางเพื่อหลินยวน ขอพระพุทธรูปหยกหนึ่งองค์ไปเป็นสินเดิมให้หลินยวนเมื่อมู่คังเซิ่งพูดถึงเรื่องนี้ เฉียวเนี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยว่า “พระพุทธรูปหยกมีอะไรหรือเจ้าคะ?”มู่คังเซิ่งสูดหายใจลึก สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ในพระพุทธรูปหยกนั้น ซ่อนเศษแผนที่สมบัติไว้สองชิ้น ซึ่งสามารถช่วยพวกเราตามหาขุมสมบัติที่บรรพชนของตระกูลมู่ทิ้งไว้ และช่วยให้ตระกูลมู่รอดพ้นจากวิกฤตในตอนนี้ได้”เมื่อได้ยินคำว่า ‘แผนที่สมบัติ’ หลินเย่ว์ก็โกรธขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ “ข้าว่าพวกเจ้าจะเล่นละครมากเกินไปแล้วล่ะ! แผนที่สมบัติรึ! หากมีแผนที่สมบัติจริง เหตุใดต้องซ่อนอยู่ในพระพุทธรูปหยก? แล้วเหตุใดในปีนั้นถึงกลายเป็นสินสมรสของท่านย่าเราตอนแต่งงานที่แคว้นจิ้ง? หากมีแผนที่สมบัติจริง แต่ละปีที่ผ่านมา ด้วยกำลังของพวกตระกูลมู่ เจ้าก็ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหาท่านย่าแล้วสิ ไยต้องรอจนกว่าน้องสาวข้าจะเอาเครื่องรางหยกออกมาให้เห็น เจ้าถึงจะรู้ว่าท่านย่าแต่งเข้ามาอยู่ที่แคว้นจิ้ง?”แม้หลินเย่ว์จะมุทะลุไปหน่อย แต่คำถามเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นส
ความรู้สึกนี้ แปลกประหลาดอยู่บ้างมู่คังเซิ่งถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ท่านปู่ของมู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยตอนยังมีชีวิตอยู่ เคยพยายามอย่างหนักเพื่อจะตามหาท่านย่าของเจ้า ไม่คิดว่ากว่าจะหาเจอ ทั้งสองก็... เฮ้อ!”เฉียวเนี่ยนก้มหน้าลง ไม่กล่าวอะไรภายในใจเกิดคลื่นแห่งความโศกเศร้าอ่อนจางบางคนไม่ว่าจะจากไปนานแค่ไหน เพียงหวนระลึกถึงอีกครั้ง ใจก็ยังคงปวดร้าวอยู่ดีพอเห็นเฉียวเนี่ยนมีปฏิกิริยาเช่นนี้ มู่คังเซิ่งก็กล่าวอีกว่า “แต่ว่าโชคดีที่ตอนนี้หาเจ้าพบแล้ว! สวรรค์ช่างไม่ใจร้ายต่อตระกูลมู่เลยจริงๆ!”พอคำพูดนี้สิ้นสุดลง สีหน้าของเฉียวเนี่ยนกับหลินเย่ว์ก็พลันเปลี่ยนไปหลินเย่ว์ก้าวเข้ามา แววตามีความไม่พอใจปนอยู่ แต่ทว่าน้ำเสียงยังคงรักษาความสุภาพขั้นพื้นฐาน “ขอเรียนถามท่านผู้นำตระกูลตระกูลมู่ ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?”มู่คังเซิ่งเงยหน้ามองหลินเย่ว์แวบหนึ่ง แววตาธรรมดาไร้ความรู้สึก แต่กลับให้ความรู้สึกเย้ยหยันอย่างประหลาดเขาไม่ได้หันไปมองหลินเย่ว์ แต่กลับหันไปทางเฉียวเนี่ยนแล้วเอ่ยว่า “เด็กน้อย เจ้าจะกลับไปเยือนตระกูลมู่กับเราสักครั้งเมื่อไรดีล่ะ?”เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้ว “ท่านผู้นำตร
เฉียวเนี่ยนชะงักไปครู่หนึ่งก็เห็นชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่กลางโถงชั้นล่างสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำ ปักลายด้วยดิ้นทอง คาดผ้าคาดเอวสีดำเข้มที่ดูเก่าเล็กน้อย บนผ้านั้นห้อยจี้หยกชิ้นหนึ่งบนจี้หยกนั้นแกะสลักไว้ด้วยอักษร ‘มู่’มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยยืนอยู่คนละข้างของชายชราทั้งที่คนหนึ่งสุขุม อีกคนหนึ่งองอาจเปี่ยมชีวิตชีวา ทว่าเมื่อยืนข้างชายชราผู้นั้น กลับดูราวกับเด็กรับใช้ไปถนัดตาไม่ต้องบอก เฉียวเนี่ยนก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราคือผู้นำตระกูลมู่เวลานั้น สายตาของผู้นำตระกูลมู่เปล่งประกายเป็นประกายจ้า จ้องมองเฉียวเนี่ยนแน่นิ่งเหมือนกำลังจ้องมองสมบัติล้ำค่าเฉียวเนี่ยนไม่ชอบสายตาเช่นนี้นักนางรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นสิ่งของอะไรบางอย่างสิ่งของที่สำคัญยิ่งต่อตระกูลมู่มู่ซ่างเสวี่ยกล่าวแนะนำว่า “ท่านอา นางก็คือเนี่ยนเนี่ยน หลานสาวแท้ๆ ของป้าทวด อีกท่านหนึ่งนามว่าหลินเย่ว์ เป็นหลานชายแท้ๆ ของป้าทวดเช่นกันขอรับ”ขณะกล่าว เฉียวเนี่ยนก็ลงบันไดมาแล้ว นางก้าวเข้ามากล่าวคำนับต่อผู้นำตระกูลมู่ “คารวะท่านผู้นำตระกูลเจ้าค่ะ”ผู้นำตระกูลมู่มีนามว่ามู่คังเซิ่ง ปีนี้อายุหกสิบห้า เป็นพี่ใหญ่แท้ๆ ขอ
แต่นางกลับนึกถึงฉู่จืออี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหากวันนี้ฉู่จืออี้อยู่ละก็ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ไอ้หัวหงอกนั่นพาตัวนางไปได้แน่ถึงแม้จะถูกพาตัวไปจริงๆ ก็คงจะหานางเจออย่างรวดเร็วถึงแม้จะไม่รวดเร็ว อย่างน้อยในตอนนี้ เขาก็จะต้องบอกนางว่า อย่าคิดมากคิดถึงตรงนี้ ใจของนางก็สงบลงอย่างไม่มีเหตุผลเฉียวเนี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลง แล้วในที่สุดก็ค่อยๆ หลับไปเช้าวันถัดมา นางก็นอนเต็มอิ่มจริงๆเมื่อลุกออกจากห้องก็ล่วงเลยถึงช่วงสายด้านล่างของโรงแรมมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย เฉียวเนี่ยนกวาดตามอง ส่วนมากเป็นคนของตระกูลมู่แต่มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยกลับไม่อยู่นางก็ไม่ได้ถามมากความ หันไปที่ห้องของพี่ห้าแทนวันนี้พี่ห้าดูดีกว่าเมื่อวานมากพอเห็นเฉียวเนี่ยน เขาก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ว่า “เมื่อวานไอ้แก่นั่นได้ทำอะไรให้เจ้าลำบากใจหรือไม่?”เฉียวเนี่ยนเดินไปตรวจชีพจรให้พี่ห้า แล้วจึงพูดว่า “ไม่ เขาบอกว่าอยากรับข้าเป็นศิษย์ ข้าปฏิเสธ เขาก็เลยปล่อยข้าไว้บนดาดฟ้า”พอนึกถึงเรื่องนี้ ใจเฉียวเนี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาลเจ้าเฒ่านั่นเจ้าเล่ห์เสียจริงพี่ห้าก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกั
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นาน คนตระกูลมู่ก็มาถึง รับตัวคนทั้งสองลงมาได้มู่ซ่างเสวี่ยถอดผ้าคลุมของตนออก คลุมร่างเฉียวเนี่ยนเอาไว้ทั้งตัว พอเห็นใบหน้าซีดเซียวของเฉียวเนี่ยนที่หนาวจนแทบไม่มีสีเลือด ก็คิ้วขมวดแน่น “เร็วเข้า! พาคุณหนูกลับไป! เตรียมน้ำอุ่นกับน้ำขิงไว้!”"เจ้าค่ะ!"สาวใช้ก็เข้ามาพยุงเฉียวเนี่ยนมุ่งหน้าไปยังรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลในทันทีตลอดทาง เฉียวเนี่ยนไม่ได้หันกลับไปมองเพราะนางรู้ดีว่าหลินเย่ว์อยู่ด้านหลังของนางสายตานั้นร้อนแรง ราวกับจะเจาะทะลุแผ่นหลังของนางให้เป็นรูเพียงแต่ ตอนก้าวขึ้นรถม้า นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางหลินเย่ว์ก็เห็นว่าหลินเย่ว์ยังคงยืนจ้องมองนางอยู่ที่เดิม พอเห็นนางหันมา ก็มอบรอยยิ้มให้นางหนึ่งที ประหนึ่งบอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วงใจเฉียวเนี่ยนพลันสะดุด ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที สุดท้ายนางก็ขึ้นรถม้าไปสาวใช้ของตระกูลมู่พูดเสียงนุ่มจากนอกรถม้า “คุณหนู มีเตาอุ่นมืออยู่ในรถม้า ท่านถือไว้ให้มืออบอุ่นขึ้นนะเจ้าคะ”เฉียวเนี่ยนเพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะเล็กข้างๆ มีเตาอุ่นมือวางอยู่จริงๆนางหยิบเตาอุ่นมือขึ้นมา แล้วกดแนบไว้ตรงอก เพียงหวังว่าไออุ่นจากมันจ
น่าเสียดาย นางกลับไปอดีตไม่ได้อีกแล้วทุกคนไม่มีวันหวนกลับไปยังอดีตได้อีก...“เนี่ยนเนี่ยน! เนี่ยนเนี่ยน!”หลินเย่ว์ยังคงตะโกนเรียก ร่ำร้องด้วยความร้อนใจ“เนี่ยนเนี่ยน เจ้าหาอยู่ที่ไหน! เจ้าอย่าทำให้พี่ใหญ่ตกใจสิ!”“เนี่ยนเนี่ยน! ออกมาเถอะ! พี่ใหญ่มารับเจ้าแล้ว!”“ขอโทษนะเนี่ยนเนี่ยน พี่ใหญ่มาช้าเกินไป พี่ใหญ่ไม่ควรมาช้าอย่างนี้เลย!”“เนี่ยนเนี่ยน เจ้าอย่าทำให้พี่ใหญ่ตกใจ เจ้าอยู่ที่ไหน ตอบพี่ใหญ่มาสักคำเถอะ!”เสียงของหลินเย่ว์เริ่มปนเสียงสะอื้นบางทีอาจเพราะถูกความรู้สึกนั้นส่งผ่านมา เฉียวเนี่ยนที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ก็สุดจะกลั้น สุดท้ายน้ำตาก็ไหลลงมาใช่แล้ว มาช้าเกินไปจริงๆทำไมถึงมาช้าได้เพียงนี้?เจ้ารู้ไหมว่าสามปีนั้น ขอแค่เจ้าปรากฏตัวขึ้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียว...ตอนนี้ นางก็ยังจะมีพี่ใหญ่อยู่...“ข้างบนนั่นมีคน!”ไม่รู้ว่าใครร้องขึ้นมาหลินเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองในที่สุดท้องฟ้ายามค่ำมืดมิดเกินไปเขามองไม่เห็นใบหน้าของเฉียวเนี่ยน แต่เพียงแวบเดียวก็จำได้ว่าเงาร่างนั้นคือเฉียวเนี่ยนเขาจึงโบกมือให้เฉียวเนี่ยน “เนี่ยนเนี่ยน! เจ้าอย่ากลัว! พี่ใหญ่มาแล้ว! เจ้าอย่าขยับ