LOGINฉินหวางเฟย เยี่ยนเยว่ฉีเดินนวยนาดเข้ามา ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็พากันลุกขึ้นต้อนรับสตรีสูงศักดิ์ที่สุดผู้หนึ่งในแคว้นหานอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเรากำลังชื่นชมของขวัญที่เจิ้นหนิงโหวฮูหยินมอบให้ฮูหยินซื่อจื่อท่านนี้อยู่เพคะ” ถางซือเซียนซึ่งสนิทสนมกับชายาฉินอ๋องมากที่สุดตอบคำถามแทนทุกคน
“ข้ากับท่านโหวกลับมาไม่ทันร่วมแสดงความยินดีกับบุตรสาวของสหาย วันนี้ได้พบหน้าจึงถือโอกาสมอบของขวัญให้เพคะ” ฮูหยินเจิ้นหนิงโหวอธิบายถึงที่มาของการมอบของขวัญให้กัวรั่วชิง
“เป็นเช่นนี้เอง” เยี่ยนเยว่ฉีคลี่ยิ้มงดงามปานล่มเมือง พลางมองไปที่ข้อมือของกัวรั่วชิงแล้วพยักหน้าน้อยๆ “เจ้าเป็นคนรูปร่างหน้าตาอ่อนหวานหมดจด พอสวมหยกมันแพะไร้ตำหนิเยี่ยงนี้เข้าไป ยิ่งดูงดงามมากขึ้นจริงๆ”
“ขอบพระทัยหวางเฟยที่ทรงชื่นชมเพคะ” กัวรั่วชิงกล่าวกับผู้สูงศักดิ์ที่สุดในที่นี้อย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินตรงไปยังที่นั่งของตนเอง ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีก
พอเห็นเช่นนั้น จงกงโหวฮูหยินที่บรรลุเป้าหมายของตนเองแล้วจึงกล่าวว่า “ยามนี้ดอกไม้ที่จวนกำลังเบ่งบานหอมกรุ่น หากพวกเจ้ากินอาหารกันอิ่มแล้ว ก็ออกไปเดินเล่นที่สวนเถิด”
เหล่าคุณหนูและฮูหยินอายุน้อยที่รอเวลาปลีกตัวจากบรรดาผู้อาวุโสอยู่แล้ว รีบกล่าวอำลาฉินหวางเฟยและเหล่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายแล้วพากันแยกย้ายไปที่อื่นทันที
ส่วนกัวรั่วชิงที่ไม่ค่อยอยากอาหารนัก หลังจากกินของที่ชอบไปเล็กน้อย จึงคิดจะปลีกตัวไปเดินเล่นแถวๆ สระบัวของจวนเสียหน่อย เนื่องจากบริเวณนั้น เป็นสถานที่โปรดของนางกับเหยาหลิงเจินเมื่อกาลก่อน บางทีตอนนี้สหายในวัยเยาว์อาจจะนั่งเล่นอยู่แถวนั้นก็ได้
หลังสั่งให้กัวลี่ลี่ไปหาอะไรกินที่ส่วนรับรองผู้ติดตามก่อน นางก็เดินออกห่างจากบริเวณงานเลี้ยงรับรอง ผ่านประตูวงเดือนที่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะพาเข้าไปในเขตสวนชั้นใน นางสาวเท้าไปตามทางเดินหิน และแนวต้นสนเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงสระบัวขนาดใหญ่ได้ในที่สุด
กั่วรั่วชิงเลียวซ้ายแลขวา จนแลเห็นสตรีในชุดสีชมพูเดินหายไปยังสวนอีกด้านหนึ่ง แม้จะผ่านไปเจ็ดปีแล้ว แต่นางมั่นใจว่านั่นจะต้องเป็นเหยาหลิงเจินอย่างแน่นอน
แต่ยังไม่ทันจะได้ติดตามคนที่คิดว่าเป็นสหายไป กัวจิ้งอีที่ไม่รู้โผล่มาตั้งแต่ตอนไหน ก็ส่งเสียงมาจากด้านหลัง “เจ้าเป็นใคร!!! นั่นน้องสามเองรึ”
“พี่หญิงใหญ่?” กัวรั่วชิงไม่คิดว่าออกมาไกลขนาดนี้แล้ว ยังจะมาเจอกับพี่สาวผู้แสนดีได้อีก โลกใบนี้คงเป็นทรงกลมแน่แล้ว
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่ไปชมดอกไม้กับคุณหนูท่านอื่นๆ เล่า”
“แล้วพี่หญิงเล่ามาทำอะไรแถวนี้คนเดียว”
“พอดีว่าพี่สาว เอ่อ...กำลังจะไปเสวนากับคุณหนูทั้งหลายทางสวนด้านโน้นอยู่เหมือนกัน เช่นนั้นเราสองคนพี่น้องไปด้วยกันเสียเลยดีหรือไม่”
“เชิญพี่หญิงใหญ่ตามสบายเถิด ข้าอยากจะเดินเล่นคนเดียวเงียบๆ แบบนี้มากกว่า” นางปฏิเสธเสียงเรียบ เรื่องอะไรจะตามไปเล่นบทตัวร้าย เพื่อส่งเสริมให้ผู้อื่นกลายเป็นนางเอกที่น่าสงสารกันเล่า
“หากเจ้าเอาแต่หลบหน้าอยู่อย่างนี้ ผู้อื่นก็จะยิ่งปักใจว่าเจ้าเป็นคนผิดอยู่ร่ำไป น้องสาม พี่สาวสัญญาว่าพยายามพูดเพื่อคลายความเข้าใจผิดเหล่านั้นให้กับเจ้าเอง แต่เจ้าต้องเลิกทำตัวเหมือนเป็นปฏิปักษ์กับข้าก่อน”
“แค่ไม่ทำตามที่พี่หญิงใหญ่แนะนำ ก็คือข้าทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับท่านแล้วงั้นรึ” คิ้วงามขมวดเข้าหากัน ทำให้สายตาที่มองพี่สาวร่วมสายเลือดดูเหมือนมีแรงกดดันเจืออยู่
“ข้าไม่ได้หมายความเยี่ยงนั้นเสียหน่อย น้องสามทำไมเจ้าต้องมองพี่สาวในแง่ร้ายแบบนี้ด้วย”
“ข้ามิได้มองพี่หญิงใหญ่ในแง่ร้าย อย่าลืมสิว่า เป็นท่านต่างหากที่พูดออกมาเองว่าน้องสาวทำตัวเป็นปฏิปักษ์”
สีหน้ากัวจิ้งอีพลันหม่นหมอง นางเดินเข้าไปใกล้น้องสาวที่ยามนี้เอาแต่มองมาด้วยแววตาระแวดระวังช้าๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ถ้าคำพูดเมื่อครู่นี้ทำให้น้องสามเข้าใจผิด พี่สาวก็ต้องขออภัยด้วย”
“อย่าพูดเยี่ยงนั้นเลย เพราะเกรงว่าน้องสาวคงจะรับคำขออภัยของพี่หญิงใหญ่เอาไว้ไม่ไหว”
“ชิงเอ๋อร์ เราพี่น้องไม่ได้พูดคุยกันดีๆ มานานมากแล้ว เจ้าอย่าทำอย่างนี้ได้หรือไม่”
“ข้าทำอะไรงั้นหรือพี่หญิงใหญ่” กัวรั่วชิงถามเสียงเย็น
“เจ้าไม่รู้น่ะหรือว่าทำตัวเยี่ยงไรกับข้า จนตอนนี้คนอื่นๆ ก็พากันตำหนิเจ้าไปหมดแล้ว แบบนี้ต่อให้ข้ากัวจิ้งอีมีอีกสิบปาก ก็คงไม่อาจแก้ต่างแทนเจ้าไหว”
“หากไม่ไหว พี่หญิงใหญ่ก็ไม่ต้องทำสิเจ้าคะ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นได้น้องสาวจะรู้สึกขอบคุณท่านอย่างมาก”
ครั้นกัวจิ้งอีเห็นกัวรั่วชิงที่เคยหัวอ่อนว่าง่ายแสดงอาการต่อต้าน หนักเข้านางก็ปราดเข้าไปเกาะแขนน้องสาวหัวรั้นของตน แล้วจิกเล็บลงไปอย่างแรง
“น้องสาม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจที่คนอื่นๆ พากันสงสารข้า แล้วเอาแต่ตำหนิเจ้ากันหมด แต่พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ”
“โอ๊ย!” กัวรั่วชิงพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของกัวจิ้งอี แต่อีกฝ่ายก็ออกแรงยื้อสุดกำลังไม่ต่างกัน
“น้องสาม พี่สาวเป็นห่วงเจ้าจริงๆ ใยต้องลงไม้ลงมือเยี่ยงนี้ด้วย”
นัยน์ตาของกัวรั่วชิงพลันเบิกกว้าง นางไม่คิดเลยว่าพี่สาวคนนี้จะใช้ลูกไม้กับตนไม่เลิก
“พี่หญิงใหญ่ข้าเจ็บนะ ปล่อย!”
แต่กัวจิ้งอีหาได้หยุดไม่ นางออกแรงชุดกระชากน้องสาวไปยังริมสระบัว พลางร้องตะโกนจนกลบเสียงห้ามปรามของกัวรั่วชิงจนมิด
“น้องสาม...ชิงเอ๋อร์...เจ้าจะทำอะไรน่ะ ทำไมต้องลากข้ามาตรงนี้ด้วย อย่านะ...อย่าทำอะไรข้าเลย”
“เหลวไหล ท่านนั่นแหละคิดจะทำอะไรกันแน่!”
“น้องสาม เจ้าก็รู้ว่าข้าว่ายน้ำไม่เป็น อย่าผลักข้านะ ข้ากลัวแล้ว”
หูจวี๋เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่หา “ได้ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้ง” เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลง บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากของกัวลี่ลี่อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจูบที่ดูดดื่มและร้อนแรงตามความรู้สึกที่ได้ยินมาจากห้องหอ ใช้ความชำนาญที่สั่งสมมาเพื่อปลุกเร้าความรู้สึกที่ซ่อนเร้นของนาง มือของเขากอดประคองเอวบางไว้แน่น แต่ไม่ได้ล่วงเกินไปมากกว่านั้นกัวลี่ลี่ส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคออย่างห้ามไม่อยู่ นางสับสนกับความรู้สึกที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ความรู้สึกที่ก่อตัวนี้ทำให้นางร้อนรุ่ม และรู้สึกดีมากจนต้องตอบสนองหูจวี๋หูจวี๋รับรู้ถึงการตอบสนองที่ไร้เดียงสาของกัวลี่ลี่ เขาหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ ลิ้นของเขา ลาดเลียริมฝีปากนุ่มอย่างดูดดื่มและเนิ่นนาน เพิ่มความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามความตื่นเต้นที่ก่อตัว เขาใช้มือข้างหนึ่งโอบประคองเอวบางไว้แน่น ส่วนอีกข้างก็เลื่อนไปเชยคางมนของนาง ให้แหงนเงยรับจูบของเขาอย่างเต็มที่กัวลี่ลี่รู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟวาบหวามพุ่งขึ้นจากปลายเท้าไปสู่ศีรษะ ตัวอ่อนยวบยาบจนต้องเกาะบ่าแข็งแรงของหูจวี๋ไว้แน่น นางแทบไม่เหลือสติที่จ
ทว่าความอ่อนโยนของน้ำอุ่น และกลิ่นหอมของกลีบดอกไม้กลับไม่ได้ช่วยให้ไฟปรารถนาของหวงเชียนเล่อลดลง มีแต่จะยิ่งคิดเตลิดไปไกล ร่างกายส่วนล่างของเขาที่แนบชิดกับนางเริ่มแข็งขืนขึ้นมาอีกครั้ง เขาซบหน้าลงกับลำคอขาวผ่องแล้วขบเม้มอย่างยั่วยวน พลางเคลื่อนฝ่ามือร้อนลงไปลูบไล้เนินเนื้ออ่อนนุ่มที่อยู่ใต้น้ำอย่างเชื่องช้า“ท่านพี่... ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ” กัวรั่วชิงถามเสียงสั่น เพราะความรู้สึกวาบหวามที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง“อยู่กับเจ้าไม่เหนื่อยเลย สบายกว่าตอนไปรบเยอะ” เขาตอบอย่างหนักแน่น พลางพลิกนางให้หันหน้ามาหาตนเอง แล้วก้มลงบรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มอย่างดูดดื่ม ก่อนจะช้อนขาเรียวของนางข้างหนึ่งขึ้นมาพาดบ่าอย่างคล่องแคล่วหวงเชียนเล่อไม่รอช้า ใช้แรงจากสะโพกดันแก่นกายเข้าสู่ร่องสวาทของนางอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง น้ำในอ่างกระฉอกสาดกระเซ็น เมื่อทั้งคู่เริ่มเคลื่อนไหว เขาจับเอวบางไว้มั่น แล้วกระแทกเข้าออกอย่างเป็นจังหวะภายในอ่างน้ำอุ่นที่เปรียบเสมือนรังรักอีกแห่งหนึ่ง“อ๊ะ... เชียนเล่อ... เชียนเล่อ...” กัวรั่วชิงเรีย
หวงเชียนเล่อรู้ว่านางกังวลอะไร แต่นี่คือจวนแม่ทัพในเมืองหลวง คนที่ใหญ่ที่สุดที่นี่คือเขา เรื่องธรรมเนียมหยุมหยิม หากเขาเห็นว่าไม่ควรใส่ใจ ก็คือไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด“ชิงเอ๋อร์... ไม่ต้องคิดมาก ยอมให้ข้ารักเจ้าอีกก็พอ” เขาคำรามเสียงต่ำ พลางใช้ลิ้นไล้เลียยอดถันสีชมพูที่ตั้งชันอยู่บนเนินอกอิ่มอย่างยั่วยวน เขาดูดดึงอย่างรุนแรงจนกัวรั่วชิงส่งเสียงครางหวานซ่านออกมาชายหนุ่มที่ถูกความต้องการกัดกินไม่คิดจะรอนาน เขาจัดท่าทางให้นางอ้าขาออกเล็กน้อย ก่อนจะกดแก่นกายใหญ่โตอันแข็งขืนเข้าสู่ช่องทางรักที่เพิ่งถูกใช้งานไปเมื่อคืนอย่างช้าๆ การรุกรานที่ช้าแต่หนักแน่น ทำให้กัวรั่วชิงต้องจิกผ้าปูเตียงด้วยความเสียวซ่านที่รุนแรงกว่าครั้งแรก“อ๊ะ... ท่านพี่... มัน... มันแน่น” นางกระซิบเสียงสั่น“มันควรเป็นเช่นนี้” หวงเชียนเล่อยิ้มกริ่มอย่างสมใจ แล้วเริ่มขยับสะโพกในจังหวะที่รุนแรงและเร่าร้อนมากขึ้น แก่นกายแกร่งเข้าลึกสุดลำทุกจังหวะ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั่วห้องหอ บ่งบอกถึงความหลงใหลอย่างเต็มที่“อ๊า... ท่าน
หวงเชียนเล่อซบหน้าลงกับไหล่ของนางด้วยความอ่อนล้าปนความสุขสม เขายังคงไม่ถอดถอนกายออกมา ร่างทั้งสองแนบชิดเป็นหนึ่งเดียว ท่ามกลางกลิ่นหอมของเครื่องหอมมงคลและแสงเทียนสีแดงที่ส่องสว่างจนเกือบจะดับมอดลง“ขอบคุณที่อดทนเพื่อข้า ชิงเอ๋อร์” เขาพึมพำกับนางด้วยความรักใคร่ และรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของค่ำคืนนี้เท่านั้นรอจนกระทั่งลมหายใจของทั้งคู่เริ่มกลับมาเป็นปกติ หวงเชียนเล่อจึงค่อยถอนตัวออกมาอย่างช้าๆ หวงเชียนเล่อเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของภรรยา ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยไฟแห่งความปรารถนาซึ่งยิ่งแรงกล้าหลังการร่วมรักครั้งแรก เขาไม่รอช้าที่จะบรรจงจุมพิตที่เต็มไปด้วยความเสน่หา ร้อนแรงกว่าครั้งใดๆ ที่เคยมีมา บดเบียดริมฝีปากลงไปอย่างหนักหน่วงและดูดดื่ม ลิ้นร้อนสอดประสานเข้าไปตักตวงความหอมหวานอย่างไม่รู้จักพอกัวรั่วชิงตอบรับจูบนั้นอย่างโหยหา มือของนางยกขึ้นประคองใบหน้าของเขาไว้ จูบนี้ไม่ใช่แค่การแสดงความรัก แต่เป็นการยืนยันความผูกพันที่ร้อนแรงและลึกซึ้งยิ่งกว่าคำมั่นสัญญาใดๆครั้นจุมพิตจนร่างอ่อนระทวยไปทั้งร่าง หวงเชียนเล่อจึงค่อยตัดใจลุกขึ้น
ครั้นเห็นนางสงบลงแล้ว เขาก็เคลื่อนกายขึ้นทาบทับ พลางยกตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยๆ สอดแทรกตัวตนของเขาเข้าไปในร่องสวาทของนางอย่างช้าๆกัวรั่วชิงนิ่วหน้าเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด นางกัดริมฝีปากแน่นจนซีดเผือด “อูย... เจ็บ...” นางกระซิบเสียงสั่นเครือหวงเซียนเล่อหยุดชะงักทันที เขาก้มลงมองใบหน้าของนาง แล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยริมฝีปากของนางอย่างอ่อนโยน เพื่อให้นางหายเกร็ง“อดทนหน่อยนะชิงเอ๋อร์... ข้าจะไปอย่างช้าๆ” เขากระซิบปลอบโยน ก่อนขยับกายเข้าออกอีกครั้งอย่างแผ่วเบาเพื่อให้นางปรับตัวได้ เขาก้มลงจุมพิตซอกคอและลาดไหล่ ไล่ลงมาจนถึงปทุมถันคู่งาม เขาดูดดึงขบกัดเบาๆ บนยอดสีชมพูจนนางสะท้าน ขณะที่ขยับสะโพกส่งลำเอ็นเข้าไปในร่องสวาทพร้อมกันแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นทำให้กัวรั่วชิงต้องจิกเล็บลงบนหลังของเขาแน่น หวงเซียนเล่อสอดแก่นกายเข้าลึกขึ้นเรื่อยๆ จนสุดลำ เมื่อฝากฝังตัวตนใหญ่ยาวนั้นเข้าไปจนหมดแล้ว เขาจึงค่อยๆ โอบกอดร่างระหงที่สั่นระริกเอาไว้แน่นและพึมพำกับนางว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าอดทนได้ดีมาก”ดวงตาของกัวรั่วชิงเปียกชื้นด
เมื่อประตูห้องหอสีแดงถูกปิดลง เสียงอึกทึกจากงานเลี้ยงฉลองด้านนอกก็เลือนหายไปจนเหลือเพียงความเงียบสงบ กัวรั่วชิงนั่งรออยู่บนเตียงไม้สลักที่ปูด้วยผ้าไหมสีแดงสด มือทั้งสองข้างประสานกันแน่นบนหน้าตัก แม้นี่จะเป็นครั้งที่สองที่นางได้เข้าพิธีแต่งงาน แต่ความรู้สึกกลับต่างกันลิบลับชุดแต่งงานที่ประดับประดาอย่างหรูหรานั้นหนักอึ้ง ทั้งความประหม่าและความอับอายทำให้ใบหน้าของกัวรั่วชิงแดงเรื่อไม่ต่างจากสีของชุด หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึก แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องนั่งนิ่งๆ เช่นนี้จนกว่างานเลี้ยงด้านนอกจะสิ้นสุดในที่สุดหวงเชียนเล่อก็หลีกหนีจากแขกเหรื่อที่พยายามขอดื่มสุราร่วมกับเขาเหล่านั้นจนได้ เขาเปิดประตู แล้วส่งสัญญาณให้กัวลี่ลี่ที่ยืนรอรับใช้กัวรั่วชิงอยู่นั้นออกไปกัวลี่ลี่ยิ้มบางๆ แล้วเดินออกจากห้องหอไป โดยไม่ลืมปิดประตูให้เรียบร้อยยามนี้ห้องหอถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงและอบอุ่นเหลือเพียงเงาร่างของบ่าวสาว หวงเชียนเล่อเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ครั้นหยุดยืนตรงหน้ากัวรั่วชิง เขาก็ยกก้านคันชั่งหยกขึ้นมา ค่อยๆ ใช้มันเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกอย่างอ่อนโยน







