สองพี่น้องสกุลกัวพัวพันกันอยู่ริมตลิ่ง คนหนึ่งยื้อยุด คนหนึ่งพยายามดิ้นหนี แต่มองจากไกลๆ ประกอบกับเสียงกรีดร้องของกัวจิ้งอีที่หากใครเข้ามาเห็นเหตุการณ์ขณะนี้ย่อมต้องนึกว่ากัวรั่วชิงกำลังพยายามจะผลักพี่สาวตนเองลงสระบัวอยู่แน่นอน
“กัวรั่วชิง! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้นะ” โจวจื่อหยวนพลันตวาดลั่น เขาไม่เห็นกัวจิ้งอีในงานเลยออกมาตามหาเผื่อว่าจะพบคนที่ใจคิดถึง กระทั่งเข้ามาพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี แต่ไม่ว่าจะร้องห้ามเท่าไรคนสองคนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะแยกจากกัน
“พี่จื่อหยวน ช่วยข้าด้วย” กัวจิ้งอีส่งเสียงเรียกสามีของน้องสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ข้าบอกให้เจ้าปล่อยอีเอ๋อร์อย่างไรเล่า”
โจวจื่อหยวนเห็นกัวจิ้งอีเป็นเช่นนั้น ก็ให้ปวดใจเหลือประมาณ และเพื่อจะช่วยเหลือสตรีในดวงใจจากนางจิ้งจอกอย่างกัวรั่วชิง เขาพุ่งกายออกไปราวลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง ชายหนุ่มคลั่งรักคว้าสตรีในดวงใจเข้าสู่อ้อมแขน พร้อมกับผลักคนที่ตนนึกรังเกียจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไปทางสระบัวอย่างไม่ไยดีแทน
“ว้าย!!!”
กัวรั่วชิงไม่อาจต้านแรงผลักของโจวจื่อหยวนได้ นางพลันเสียหลักซวนเซ จนเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะร่วงลงไปในสระอยู่แล้ว
ฉับพลันเสมือนมีลมหอบใหญ่พัดมา ร่างระหงถูกวงแขนแข็งแรงเกี่ยวกระหวัดไว้ได้ทันก่อนจะร่วงหล่นลงไป
รู้ตัวอีกที กัวรั่วชิงก็ถูกใครบางคนพาทะยานไปบนพื้นน้ำราวกับเทพสวรรค์กำลังโบยบินอยู่เหนือนทีเสียแล้ว
ความรู้สึกยามลอยล่องอยู่เหนือสระบัวนั้นทั้งน่าตกใจ และชวนให้คนรู้สึกตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เพราะตั้งแต่เกิดมา กัวรั่วชิงยังไม่เคยเห็นใครกระโดดไปมาบนใบบัวทั้งที่อุ้มผู้อื่นเอาไว้ด้วยแบบนี้มาก่อน แสดงว่าผู้มีพระคุณของนางคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในบรรดาผู้มีวรยุทธล้ำเลิศที่สุดของแว่นแคว้นอย่างแน่นอน
ยามนางเงยศีรษะขึ้นมอง แสงอาทิตย์สะท้อนบนรูปหน้าคมสันแลคล้ายภาพมายาลางเลือน นางทำได้เพียงเกาะเกี่ยวบุรุษนิรนามผู้นี้เอาไว้ให้แน่นที่สุด แน่นเสียจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะถี่รัวคล้ายกำลังตื่นตระหนก
‘ถ้าพวกเราเคยพบกันมาก่อน ข้าก็คงทึกทักไปแล้วว่าท่านกำลังตกใจมากที่เห็นข้ากำลังจะตกลงไปในสระ’
นางอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ และแทนที่จะกลัวชื่อเสียงมัวหมองด้วยถูกบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีโอบกอดไว้ ทว่าความรู้สึกอุ่นใจกลับหลั่งไหลเข้ามาในอกอย่างประหลาด
‘หรือว่าเขาจะเป็น...อืม ไม่ใช่หรอก คนผู้นี้ออกจะแข็งแรงปานวัว’
ไม่ทันให้โฉมงามได้คิดจนจบกระบวน ชายหนุ่มนิรนามก็พานางข้ามมาถึงอีกฝากฝั่งหนึ่งอย่างปลอดภัย
เขาค่อยๆ ปล่อยให้นางเป็นอิสระอย่างนุ่มนวล แตกต่างจากรูปโฉมที่แลดูแกร่งกร้าว ถึงยามนี้พอกัวรั่วชิงได้มองผู้มีพระคุณอย่างเต็มตา ก็ยิ่งรู้สึกว่าเคยพบเห็นใบหน้านี้มาก่อน เพียงแต่นึกเท่าไร ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอะเจอกันเมื่อใด
หลังจากพิจารณาเสื้อผ้าอาภรณ์ของบุรุษตรงหน้า แล้วเห็นหยกโลหิตสลักลายกิเลนประดับอยู่ตรงข้างเอวเขา นางพลันเข้าใจได้ทันทีว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตนคือซื่อจื่อจิ้งกั๋วกง หวงเชียนเล่อ หรืออีกฐานะหนึ่งที่ผู้คนต่างเรียกขานว่า ผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์ประจิม แม่ทัพฉีหลิงนั่นเอง
“ผู้น้อยขอขอบคุณท่านแม่ทัพที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ บุญคุณในครั้งนี้กัวรั่วชิงได้จดจำไว้ในใจแล้ว”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่คุณหนู เอ่อ...” พอเห็นทรงผมอย่างคนออกเรือนของนาง เขาพลันอึกอักขึ้นมา แล้วค่อยเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน “ฮูหยินไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“หากไม่นับแขน อย่างอื่นข้าสบายดี” กัวรั่วชิงพูดพลางลูบไปตรงบริเวณที่ถูกเล็บของกัวจิ้งอีจิกผ่านเนื้อผ้า ไม่กล้าเปิดออกดูต่อหน้าบุรุษอื่น
“ข้าทำเจ้าเจ็บรึ” หน้าตาคมเข้มดูประหม่าขึ้นทันใด
“มิได้”
“จริงสิ จะเป็นข้าไปได้อย่างไร ย่อมเป็นฝีมือของนางจิ้งจอกกับบุรุษโง่เยี่ยงลาผู้นั้นนั่นแหละ”
“ทะ...ท่านแม่ทัพ” ตั้งแต่เกิดเรื่องจนต้องแต่งเข้าสกุลโจว นี่เป็นครั้งแรกที่กัวรั่วชิงได้ยินคนเรียกสองคนนั้นอย่างดูแคลนแบบนี้
‘นี่ข้าไม่ได้หูฟาดไปใช่หรือไม่’
“ตกใจอันใด อ่อ...เจ้าคงคิดไม่ถึงละสิว่าในแคว้นหานจะมีบุรุษที่ฉลาด มองคนได้ทะลุปรุโปร่งเยี่ยงข้าหวงเชียงเล่ออยู่อีกคน ขอบอกไว้เลยนะ ไม่ได้มีแค่ข้าหรอกที่มองออกว่าอันไหนกรวด อันไหนทับทิม เพียงแต่เจ้าอยู่ท่ามกลางเหล่าสตรีเบาปัญญา และมิได้หวังดีก็เท่านั้น”
“...” กัวรั่วชิงเม้มปากปากแน่น ทั้งที่รู้สึกตื้นตัน ไม่คิดว่าจะมีคนที่ยังมองนางในแง่ดี แล้วยังพูดจาให้ท้ายกันขนาดนี้เหลืออยู่ ถึงยามนี้นางจะระอาโจวจื่อหมิงมากเพียงใด แต่ไม่ว่าอย่างไรสตรีที่ดีก็ไม่อาจสนับสนุนให้ผู้อื่นตำหนิสามีของตนอย่างเปิดเผย นางจึงทำได้เพียงยืนฟังเงียบๆ
‘หวังว่าท่านจะเข้าใจข้า’
เห็นท่าทางคล้ายอึดอัดใจของนาง หวงเชียนเล่อจึงนึกขึ้นมาได้ว่าควรประหยัดถ้อยคำ ถึงอย่างไรกัวรั่วชิงก็แต่งงานให้โจวหมิงจื่อไปแล้ว การที่เขาพูดจาดูแคลนสามีให้ภรรยาฟังก็ไม่ใช่เรื่องที่สัตบุรุษควรทำ ดีไม่ดีคนที่จะโดนรังเกียจ เพราะพูดจาโจมตีใส่ไคร้บุรุษของผู้อื่นอาจเป็นเขาเสียเอง
‘หวังว่าเจ้าจะไม่เกลียดข้าไปแล้วนะ’
หวงเซียนเล่อไม่เคยรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เยี่ยงนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเขาต้องพูดอะไรบ้างแล้ว
“ข้าแค่ทนไม่ได้ที่เห็นบุรุษรังแกสตรี ทั้งยังเห็นผู้อื่นดีกว่าภรรยา เลยอาจจะพูดจาล่วงเกินสามีของเจ้าไป หวังว่าฮูหยินจะไม่ถือสา”
“ผู้น้อยมิกล้า”
นางจะไปกล้าถือสาผู้มีพระคุณได้อย่างไรเล่า
“แต่ว่า...ถึงยังไงข้าก็ไม่ถอนคำพูดหรอกนะ” หวงเชียนเล่อยืดอก แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างไม่กริ่งเกรง กัวรั่วชิงเห็นเช่นนั้นก็อดมีรอยยิ้มไม่ได้ นางพลันหลุบตาลง แล้วตอบกลับเขาอย่างจริงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ รั่วชิงไม่มีทางตำหนิท่านแม่ทัพแน่”
หวงเชียนเล่อก้มหน้าลงมองดวงหน้าพริ้มเพราที่ประดับรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจคล้ายมีลมวสันต์ผัดผ่าน ทั้งอบอุ่นอ่อนโยน ชุ่มฉ่ำ และชวนให้คันยุบยิบในหัวใจเหลือประมาณ
เหตุใดหนอสตรีที่งดงามทั้งภายนอก และภายในจะต้องมาเจอเรื่องบัดซบ และเล่ห์เหลี่ยมของคนทะเยอทะยาน จนต้องกลายมาเป็นภรรยาของชายโง่งมพรรค์นั้นด้วย
‘โจวจื่อหมิง ไอ้คนตาต่ำ’
กัวรั่วชิงจำได้ว่าทางสายนี้นำไปยังภูเขาจำลอง ซึ่งนางกับคุณหนูเล็กสกุลเหยาชอบมาเล่นซ่อนแอบกันบริเวณนี้เป็นประจำ ด้วยที่นี่มีความพิเศษกว่าภูเขาจำลองของที่อื่น ตรงที่ถูกจัดวางเอาไว้เสมือนกับวงกต หากใครไม่รู้ทางแล้วเผลอเดินเข้าไปก็จะหลงอยู่ในนั้นโชคดีที่นางจำทางได้ ไม่ว่าจะเจอคนหรือไม่ก็ไม่มีทางหลง และแล้วเมื่อนางไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสักระยะ ก็พบสตรีงดงามในชุดกระโปรงหรูฉวินสีเขียวตัดกับสีกลีบบัวกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเก็บดอกไม้ที่ริมน้ำ“เหยาหลิงเจิน! เจินเจิน เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย” คนได้เจอสหายเก่าก้าวเท้าไวๆ ไปหาเหยาหลิงเจินด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี“จะ...เจินเจินงั้นเหรอ” ดวงตาดุจลูกวางสุกใสจดจองกัวรั่วชิงด้วยความไม่แน่ใจ “เจ้ารู้จักข้า?”“แน่นอนว่าต้องรู้จัก ข้าคือชิงชิงอย่างไรเล่า”“ชิงชิง?” เหยาหลิงเจินที่เหมือนจำอะไรไม่ได้พลันหันไปขอความช่วยเหลือจากคนสนิทข้างกายหลังจากกระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้คนสนิทของเหยาหลิงเจินก็เดินหน้าขึ้นมากล่าวกับกัวจิ้งอี “คุณหนูของเราเพิ่งหายจากอาการป่วยได้ไม่นาน อาจจะยังมีอาการหลงลืมอยู่ ขอฮูหยินอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะบอกว่านางจ
ปกติหวงเชียนเล่อเป็นคนเดินเร็วยิ่งกว่าอะไรดี แต่ในครั้งนี้เขากลับทอดน่องสบายๆ กว่าจะวกกลับมาถึงจุดเกิดเหตุอีกครั้ง ก็เล่นเอากัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิงรอจนขาแทบแข็งเลยทีเดียวครั้นทั้งสองมาถึง หวงเชียนเล่อมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของกัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิง ถึงใจจะรู้สึกชิงชังคนประเภทนี้เยี่ยงไร แต่ดวงหน้าคมเข้มกลับฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบาง“ดีที่ซื่อจื่อช่วยคุณหนูใหญ่สกุลกัวเอาไว้ก่อน เพราะต่อให้ข้ามีใจ แต่ก็คงไม่สามารถช่วยคนได้พร้อมกันถึงสองคน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาที่ข้าถูกเนื้อต้องตัวฮูหยินของเจ้าใช่หรือไหม”เดิมทีหากไม่มีพยานรู้เห็น ต่อให้กัวรั่วชิงตกน้ำไป เขากับกัวจิ้งอีย่อมทำให้คนเชื่อได้ว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่พอมีหวงเชียนเล่อเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาคงยากจะพ้นข้อหาทำร้ายคน และคนผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็นภรรยาเอกที่กราบไหว้ฟ้าดินอย่างถูกต้อง ต่อให้ชาวบ้านจะเห็นใจเรื่องเขากับกัวจิ้งอี ทว่าการทำร้ายภรรยาเพื่อสตรีอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะยอมรับได้ เมื่อครู่เขาหวาดหวั่นแทบตาย ว่าจะอธิบายอย่างไรให้หวงเชียนเล่อเชื่อว่าตนไม่ได้ตั้งใจลงไม้ลงมือกับ
เมื่อครู่หวงเชียนเล่อพากั่วรั่วชิงทะยานมายังเกาะกลางสระ หากจะกลับไปที่เดิมพวกเขาต้องข้ามสะพานแล้วเดินอ้อมไปอีกทางหญิงสาวเยื้องย่างตามหลังแม่ทัพหนุ่มในระยะที่ไม่ห่างเหิน และไม่ใกล้ชิดจนเกินไป เพียงแค่พอให้สนทนากันได้เท่านั้นในระหว่างที่ข้ามสะพานนางมองไปยังจุดที่ตนเองเกือบจะพลัดตกลงสระ เห็นว่ายามนี้กัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิงก็ยังอยู่ตรงนั้นแม้กัวรั่วชิงรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่นางต้องแต่งให้โจวจื่อหมิงแทนกัวจิ้งอี ทำให้ไม่ว่าเกิดเหตุอันใดระหว่างตนกับชายหญิงคู่นั้นทุกคนล้วนพร้อมใจกันชี้หน้าแล้วตัดสินว่านางเป็นคนผิดเสมอ เพียงเพราะเห็นใจสงสารคู่เหมยเขียวม้าไม่ไผ่ที่ถูกสตรีร้ายกาจเช่นตนตัดวาสนา“ไยเจ้าถอนหายใจเยี่ยงนั้นเล่า” แม้จะเพียงแผ่วเบา แต่ประสาทหูของผู้ฝึกวรยุทธย่อมไม่ธรรมดา“ผู้น้อยไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต เพราะอย่างไรคู่กรณีก็เป็นพี่สาวแท้ๆ กับสามีของผู้น้อย”“ไยพูดเยี่ยงนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยคนผิดให้ลอยนวลไปได้แน่”“ตั้งแต่แรกท่านแม่ทัพคิดจะมอบความเป็นธรรมให้ผู้น้อย?” ดวงตาหงส์พลันเบิกกว้าง ไม่แน่ใจว่าตนเองหูฟาดไปหรือไม่ นางไม่พบพานคนท
สองพี่น้องสกุลกัวพัวพันกันอยู่ริมตลิ่ง คนหนึ่งยื้อยุด คนหนึ่งพยายามดิ้นหนี แต่มองจากไกลๆ ประกอบกับเสียงกรีดร้องของกัวจิ้งอีที่หากใครเข้ามาเห็นเหตุการณ์ขณะนี้ย่อมต้องนึกว่ากัวรั่วชิงกำลังพยายามจะผลักพี่สาวตนเองลงสระบัวอยู่แน่นอน“กัวรั่วชิง! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้นะ” โจวจื่อหยวนพลันตวาดลั่น เขาไม่เห็นกัวจิ้งอีในงานเลยออกมาตามหาเผื่อว่าจะพบคนที่ใจคิดถึง กระทั่งเข้ามาพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี แต่ไม่ว่าจะร้องห้ามเท่าไรคนสองคนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะแยกจากกัน“พี่จื่อหยวน ช่วยข้าด้วย” กัวจิ้งอีส่งเสียงเรียกสามีของน้องสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว“ข้าบอกให้เจ้าปล่อยอีเอ๋อร์อย่างไรเล่า”โจวจื่อหยวนเห็นกัวจิ้งอีเป็นเช่นนั้น ก็ให้ปวดใจเหลือประมาณ และเพื่อจะช่วยเหลือสตรีในดวงใจจากนางจิ้งจอกอย่างกัวรั่วชิง เขาพุ่งกายออกไปราวลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง ชายหนุ่มคลั่งรักคว้าสตรีในดวงใจเข้าสู่อ้อมแขน พร้อมกับผลักคนที่ตนนึกรังเกียจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไปทางสระบัวอย่างไม่ไยดีแทน“ว้าย!!!”กัวรั่วชิงไม่อาจต้านแรงผลักของโจวจื่อหยวนได้ นางพลันเสียหลักซวนเซ จนเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็
ฉินหวางเฟย เยี่ยนเยว่ฉีเดินนวยนาดเข้ามา ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็พากันลุกขึ้นต้อนรับสตรีสูงศักดิ์ที่สุดผู้หนึ่งในแคว้นหานอย่างพร้อมเพรียง“พวกเรากำลังชื่นชมของขวัญที่เจิ้นหนิงโหวฮูหยินมอบให้ฮูหยินซื่อจื่อท่านนี้อยู่เพคะ” ถางซือเซียนซึ่งสนิทสนมกับชายาฉินอ๋องมากที่สุดตอบคำถามแทนทุกคน“ข้ากับท่านโหวกลับมาไม่ทันร่วมแสดงความยินดีกับบุตรสาวของสหาย วันนี้ได้พบหน้าจึงถือโอกาสมอบของขวัญให้เพคะ” ฮูหยินเจิ้นหนิงโหวอธิบายถึงที่มาของการมอบของขวัญให้กัวรั่วชิง“เป็นเช่นนี้เอง” เยี่ยนเยว่ฉีคลี่ยิ้มงดงามปานล่มเมือง พลางมองไปที่ข้อมือของกัวรั่วชิงแล้วพยักหน้าน้อยๆ “เจ้าเป็นคนรูปร่างหน้าตาอ่อนหวานหมดจด พอสวมหยกมันแพะไร้ตำหนิเยี่ยงนี้เข้าไป ยิ่งดูงดงามมากขึ้นจริงๆ”“ขอบพระทัยหวางเฟยที่ทรงชื่นชมเพคะ” กัวรั่วชิงกล่าวกับผู้สูงศักดิ์ที่สุดในที่นี้อย่างนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินตรงไปยังที่นั่งของตนเอง ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีกพอเห็นเช่นนั้น จงกงโหวฮูหยินที่บรรลุเป้าหมายของตนเองแล้วจึงกล่าวว่า “ยามนี้ดอกไม้ที่จวนกำลังเบ่งบานหอมกรุ่น หากพวกเจ้ากินอาหารกันอิ่มแ
ตามหลักการเรื่องชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด เวลาจัดงานเลี้ยงจึงต้องแยกส่วนรับรอง ถึงแม้จะต้องทำตามธรรมเนียม แต่หลายครั้งเจ้าของงงานเลี้ยงก็เพียงตั้งกระโจมห่างกันไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างครานี้ เจิ้นหนิงโหวใช้คูน้ำทางเชื่อมภายในเป็นตัวแยกอาณาเขตระหว่างบุรุษและสตรี ทำให้หากมองไป ก็ยังคงเห็นความเคลือนไหวของฝั่งตรงข้ามได้อยู่เนืองๆหลังหญิงนำทางจากไปแล้ว กัวรั่วชิงเดินนำกัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทไปคารวะเจิ้นหนิงโหวฮูหยินเป็นอันดับแรกตามมารยาท แน่นอนว่านางพยายามไม่ให้ความสนใจกับสายตาของบรรดาฮูหยินจวนอื่นๆ ที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่กับเจ้าบ้าน รวมไปถึงกัวจิ้งอีพี่สาวของนางด้วยครั้นเห็นน้องสาวก้มหน้าก้มตา ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน สีหน้าของกัวจิ้งอีพลันหม่นหมอง พาให้คนมองรู้สึกสงสารนางมากยิ่งขึ้น แล้วให้ตำหนิกัวรั่วชิงในใจแทนแต่นายหญิงของที่นี่กลับทักทายผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตรยิ่ง“คุณหนูรองสกุลกัวนี่เอง” ผู้อาวุโสรับการคารวะด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันเสียหลายปี ตอนนี้กลายเป็นฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อไปแล้วใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะ” กัวรั่วชิงตอบรับสั้นๆ ด้วยท่าทางสำรวม“เสียดายข้ากับท่านโหวกลับมาไม่ทันงานมงคลของเจ้า ไม่อย