สองพี่น้องสกุลกัวพัวพันกันอยู่ริมตลิ่ง คนหนึ่งยื้อยุด คนหนึ่งพยายามดิ้นหนี แต่มองจากไกลๆ ประกอบกับเสียงกรีดร้องของกัวจิ้งอีที่หากใครเข้ามาเห็นเหตุการณ์ขณะนี้ย่อมต้องนึกว่ากัวรั่วชิงกำลังพยายามจะผลักพี่สาวตนเองลงสระบัวอยู่แน่นอน
“กัวรั่วชิง! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้นะ” โจวจื่อหยวนพลันตวาดลั่น เขาไม่เห็นกัวจิ้งอีในงานเลยออกมาตามหาเผื่อว่าจะพบคนที่ใจคิดถึง กระทั่งเข้ามาพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี แต่ไม่ว่าจะร้องห้ามเท่าไรคนสองคนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะแยกจากกัน
“พี่จื่อหยวน ช่วยข้าด้วย” กัวจิ้งอีส่งเสียงเรียกสามีของน้องสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ข้าบอกให้เจ้าปล่อยอีเอ๋อร์อย่างไรเล่า”
โจวจื่อหยวนเห็นกัวจิ้งอีเป็นเช่นนั้น ก็ให้ปวดใจเหลือประมาณ และเพื่อจะช่วยเหลือสตรีในดวงใจจากนางจิ้งจอกอย่างกัวรั่วชิง เขาพุ่งกายออกไปราวลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง ชายหนุ่มคลั่งรักคว้าสตรีในดวงใจเข้าสู่อ้อมแขน พร้อมกับผลักคนที่ตนนึกรังเกียจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไปทางสระบัวอย่างไม่ไยดีแทน
“ว้าย!!!”
กัวรั่วชิงไม่อาจต้านแรงผลักของโจวจื่อหยวนได้ นางพลันเสียหลักซวนเซ จนเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะร่วงลงไปในสระอยู่แล้ว
ฉับพลันเสมือนมีลมหอบใหญ่พัดมา ร่างระหงถูกวงแขนแข็งแรงเกี่ยวกระหวัดไว้ได้ทันก่อนจะร่วงหล่นลงไป
รู้ตัวอีกที กัวรั่วชิงก็ถูกใครบางคนพาทะยานไปบนพื้นน้ำราวกับเทพสวรรค์กำลังโบยบินอยู่เหนือนทีเสียแล้ว
ความรู้สึกยามลอยล่องอยู่เหนือสระบัวนั้นทั้งน่าตกใจ และชวนให้คนรู้สึกตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เพราะตั้งแต่เกิดมา กัวรั่วชิงยังไม่เคยเห็นใครกระโดดไปมาบนใบบัวทั้งที่อุ้มผู้อื่นเอาไว้ด้วยแบบนี้มาก่อน แสดงว่าผู้มีพระคุณของนางคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในบรรดาผู้มีวรยุทธล้ำเลิศที่สุดของแว่นแคว้นอย่างแน่นอน
ยามนางเงยศีรษะขึ้นมอง แสงอาทิตย์สะท้อนบนรูปหน้าคมสันแลคล้ายภาพมายาลางเลือน นางทำได้เพียงเกาะเกี่ยวบุรุษนิรนามผู้นี้เอาไว้ให้แน่นที่สุด แน่นเสียจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะถี่รัวคล้ายกำลังตื่นตระหนก
‘ถ้าพวกเราเคยพบกันมาก่อน ข้าก็คงทึกทักไปแล้วว่าท่านกำลังตกใจมากที่เห็นข้ากำลังจะตกลงไปในสระ’
นางอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ และแทนที่จะกลัวชื่อเสียงมัวหมองด้วยถูกบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีโอบกอดไว้ ทว่าความรู้สึกอุ่นใจกลับหลั่งไหลเข้ามาในอกอย่างประหลาด
‘หรือว่าเขาจะเป็น...อืม ไม่ใช่หรอก คนผู้นี้ออกจะแข็งแรงปานวัว’
ไม่ทันให้โฉมงามได้คิดจนจบกระบวน ชายหนุ่มนิรนามก็พานางข้ามมาถึงอีกฝากฝั่งหนึ่งอย่างปลอดภัย
เขาค่อยๆ ปล่อยให้นางเป็นอิสระอย่างนุ่มนวล แตกต่างจากรูปโฉมที่แลดูแกร่งกร้าว ถึงยามนี้พอกัวรั่วชิงได้มองผู้มีพระคุณอย่างเต็มตา ก็ยิ่งรู้สึกว่าเคยพบเห็นใบหน้านี้มาก่อน เพียงแต่นึกเท่าไร ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอะเจอกันเมื่อใด
หลังจากพิจารณาเสื้อผ้าอาภรณ์ของบุรุษตรงหน้า แล้วเห็นหยกโลหิตสลักลายกิเลนประดับอยู่ตรงข้างเอวเขา นางพลันเข้าใจได้ทันทีว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตนคือซื่อจื่อจิ้งกั๋วกง หวงเชียนเล่อ หรืออีกฐานะหนึ่งที่ผู้คนต่างเรียกขานว่า ผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์ประจิม แม่ทัพฉีหลิงนั่นเอง
“ผู้น้อยขอขอบคุณท่านแม่ทัพที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ บุญคุณในครั้งนี้กัวรั่วชิงได้จดจำไว้ในใจแล้ว”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่คุณหนู เอ่อ...” พอเห็นทรงผมอย่างคนออกเรือนของนาง เขาพลันอึกอักขึ้นมา แล้วค่อยเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน “ฮูหยินไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“หากไม่นับแขน อย่างอื่นข้าสบายดี” กัวรั่วชิงพูดพลางลูบไปตรงบริเวณที่ถูกเล็บของกัวจิ้งอีจิกผ่านเนื้อผ้า ไม่กล้าเปิดออกดูต่อหน้าบุรุษอื่น
“ข้าทำเจ้าเจ็บรึ” หน้าตาคมเข้มดูประหม่าขึ้นทันใด
“มิได้”
“จริงสิ จะเป็นข้าไปได้อย่างไร ย่อมเป็นฝีมือของนางจิ้งจอกกับบุรุษโง่เยี่ยงลาผู้นั้นนั่นแหละ”
“ทะ...ท่านแม่ทัพ” ตั้งแต่เกิดเรื่องจนต้องแต่งเข้าสกุลโจว นี่เป็นครั้งแรกที่กัวรั่วชิงได้ยินคนเรียกสองคนนั้นอย่างดูแคลนแบบนี้
‘นี่ข้าไม่ได้หูฟาดไปใช่หรือไม่’
“ตกใจอันใด อ่อ...เจ้าคงคิดไม่ถึงละสิว่าในแคว้นหานจะมีบุรุษที่ฉลาด มองคนได้ทะลุปรุโปร่งเยี่ยงข้าหวงเชียงเล่ออยู่อีกคน ขอบอกไว้เลยนะ ไม่ได้มีแค่ข้าหรอกที่มองออกว่าอันไหนกรวด อันไหนทับทิม เพียงแต่เจ้าอยู่ท่ามกลางเหล่าสตรีเบาปัญญา และมิได้หวังดีก็เท่านั้น”
“...” กัวรั่วชิงเม้มปากปากแน่น ทั้งที่รู้สึกตื้นตัน ไม่คิดว่าจะมีคนที่ยังมองนางในแง่ดี แล้วยังพูดจาให้ท้ายกันขนาดนี้เหลืออยู่ ถึงยามนี้นางจะระอาโจวจื่อหมิงมากเพียงใด แต่ไม่ว่าอย่างไรสตรีที่ดีก็ไม่อาจสนับสนุนให้ผู้อื่นตำหนิสามีของตนอย่างเปิดเผย นางจึงทำได้เพียงยืนฟังเงียบๆ
‘หวังว่าท่านจะเข้าใจข้า’
เห็นท่าทางคล้ายอึดอัดใจของนาง หวงเชียนเล่อจึงนึกขึ้นมาได้ว่าควรประหยัดถ้อยคำ ถึงอย่างไรกัวรั่วชิงก็แต่งงานให้โจวหมิงจื่อไปแล้ว การที่เขาพูดจาดูแคลนสามีให้ภรรยาฟังก็ไม่ใช่เรื่องที่สัตบุรุษควรทำ ดีไม่ดีคนที่จะโดนรังเกียจ เพราะพูดจาโจมตีใส่ไคร้บุรุษของผู้อื่นอาจเป็นเขาเสียเอง
‘หวังว่าเจ้าจะไม่เกลียดข้าไปแล้วนะ’
หวงเซียนเล่อไม่เคยรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เยี่ยงนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเขาต้องพูดอะไรบ้างแล้ว
“ข้าแค่ทนไม่ได้ที่เห็นบุรุษรังแกสตรี ทั้งยังเห็นผู้อื่นดีกว่าภรรยา เลยอาจจะพูดจาล่วงเกินสามีของเจ้าไป หวังว่าฮูหยินจะไม่ถือสา”
“ผู้น้อยมิกล้า”
นางจะไปกล้าถือสาผู้มีพระคุณได้อย่างไรเล่า
“แต่ว่า...ถึงยังไงข้าก็ไม่ถอนคำพูดหรอกนะ” หวงเชียนเล่อยืดอก แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างไม่กริ่งเกรง กัวรั่วชิงเห็นเช่นนั้นก็อดมีรอยยิ้มไม่ได้ นางพลันหลุบตาลง แล้วตอบกลับเขาอย่างจริงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ รั่วชิงไม่มีทางตำหนิท่านแม่ทัพแน่”
หวงเชียนเล่อก้มหน้าลงมองดวงหน้าพริ้มเพราที่ประดับรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจคล้ายมีลมวสันต์ผัดผ่าน ทั้งอบอุ่นอ่อนโยน ชุ่มฉ่ำ และชวนให้คันยุบยิบในหัวใจเหลือประมาณ
เหตุใดหนอสตรีที่งดงามทั้งภายนอก และภายในจะต้องมาเจอเรื่องบัดซบ และเล่ห์เหลี่ยมของคนทะเยอทะยาน จนต้องกลายมาเป็นภรรยาของชายโง่งมพรรค์นั้นด้วย
‘โจวจื่อหมิง ไอ้คนตาต่ำ’
กัวรั่วชิงยืนอยู่ทางด้านหลัง นางสวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีชมพูบานเย็นสดใสที่ถูกตัดเย็บขึ้นอย่างประณีตราวกับเป็นงานศิลปะ บนใบหน้าขาวผ่องประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนและสงบเยือกเย็น นางงดงามหมดจดราวกับเป็นบุปผาแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าในสายตาของซูหมิ่นจู ความงามอันเรียบง่ายแฝงความสง่างามนั้นกลับดูน่าหมั่นไส้และน่ารังเกียจอย่างยิ่ง“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” ซูหมิ่นจูเอ่ยเสียงเย็นชาไม่คิดว่าจะเจอศัตรูทางแคบ[1]“คุณหนูท่านนี้รักษามารยาทด้วยเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ“รักษามารยาท? แล้วคุณหนูของเจ้าเล่า จู่ๆ มาตะโกนโหวกเหวกใส่ผู้อื่น ใช้ได้หรือ” ซูจิ่นรีบออกหน้าปกป้องเจ้านายเช่นกันส่วนซูหมิ่นจูไม่สนใจสิ่งใด นางหันไปมองชุดสีขาวที่ยังคงแขวนอยู่ แล้วเอ่ยว่า “ชุดนี้ข้าหมายตาไว้แล้ว จะเป็นของเจ้าได้ยังไง”ขณะนั้นเอง พนักงานของร้านที่ไม่ยังรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เดินเข้ามาต้อนรับกัวรั่วชิง แล้วเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ซูหมิ่นจูหน้าชา “คุณหนูกัวมาพอดี ชุดที่สั่งตัดไว้อยู่ด้านนั้นเจ้าค
ยามรุ่งอรุณ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเรือนพัก ปลุกซูหมิ่นจูให้ตื่นจากนิทราด้วยความรู้สึกสดชื่นและตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้า ราวกับเป็นแสงอาทิตย์ยามเช้าที่กำลังสาดส่องเข้ามาในหัวใจของนาง‘วันนี้คือวันที่พี่เชียนเล่อจะพาข้าไปเที่ยวตลาด’ซูหมิ่นจูยิ้มให้กับตัวเองในกระจกทองเหลืองบานใหญ่ นางมองใบหน้าของตนที่เคยเศร้าสร้อย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความสุขและชื่นบาน เพราะคำสัญญาจากบุรุษเพียงคนเดียว‘พี่เชียนเล่อเห็นข้าสำคัญมากแน่ๆ ขออะไรเขาก็ไม่เคยขัด ถึงกับยอมสละเวลาอันมีค่าพาข้าไปเดินเล่นเช่นนี้’นางคิดเข้าข้างตัวเองอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะสดใสของนางดังขึ้นในลำคอ เมื่อคิดว่าวันนี้จะได้อยู่กับเขาตามลำพัง“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ซูจิ่นเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับอ่างล้างหน้า“วันนี้พี่เชียนเล่อจะพาข้าไปเที่ยวตลาด เจ้ามาแต่งตัวให้ข้า”หลังจากล้างหน้าล้างตานางก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ซู
เมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพพลันเงียบสงบลงกว่าปกติ มีเพียงแสงนวลตาจากโคมไฟกระดาษที่แขวนเรียงรายตามทางเดินเท่านั้นที่ขับไล่ความมืดมิดออกไปซูหมิ่นจูในชุดสีชมพูอ่อนถูกซูจิ่นนำมาส่งตรงทางเข้าเรือนใหญ่ของหวงเชียนเล่อ หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความยินดีผสมกับความประหม่า นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งพยายามปรับสีหน้าท่าทางไม่ให้ดูตื่นเต้นเกินไป ก่อนก้าวเท้าผ่านประตูบุปผาไปทางเดินปูด้วยหินขัดเรียบ ทอดยาวผ่านสวนเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง มีกอไผ่และต้นหลิวพริ้วไหวตามแรงลม บนทางเดินมีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าอ่อนๆ ลอยมาเป็นระยะ ยิ่งทำให้หัวใจของนางพองโตมากขึ้นไปอีกเมื่อเข้ามาภายในเรือนจะพบกับห้องโถงที่กว้างขวางและดูเคร่งครึม ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ ไม่มีเครื่องตกแต่งที่หรูหราฟุ่มเฟือย แต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างลงตัว โต๊ะไม้ขนาดพอเหมาะตั้งอยู่กลางห้อง มีอาหารจัดวางอยู่เพียงไม่กี่อย่าง แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายสมเป็นเรือนของแม่ทัพที่โต๊ะนั้นเอง ซูหมิ่นจูเห็นร่างสูงใหญ่ของหวงเชียนเล่อนั่งร
ยามนี้ซูหมิ่นจูตระหนักแล้วว่ากัวรั่วชิงไม่ใช่พลับนิ่ม แต่เป็นสตรีจิตใจล้ำลึกและร้ายกาจดังข่าวลือที่ได้ฟังมาจริงๆ แต่การที่ตนเองโดนเล่นงานตั้งแต่ครั้งแรกเยี่ยงนี้จะบอกให้ท่านน้ารู้ไม่ได้ ยิ่งกับญาติผู้พี่ยิ่งไม่ได้อย่างเด็ดขาด“เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย ถ้าข้ารู้ว่าผู้ใดปากมาก ข้าจะเล่นงานให้หนัก”“ขอรับคุณหนูซู” แม้เรื่องนี้จะน่านำไปเล่าต่อแค่ไหน แต่ทหารผู้คุ้มกันสองสามคนที่ตามมาก็จำต้องรับคำ เพราะไม่อยากซวยจากความปากสว่างซูหมิ่นจูกับซูจิ่นขึ้นรถม้ากลับจวนแม่ทัพทันที ความเงียบปกคลุมอยู่ภายในรถม้าได้ไม่นาน ซูหมิ่นจูที่ยังคับแค้นใจไม่หายพลันทุบกำปั้นลงบนที่นั่งอย่างแรง“ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่สตรีม่ายที่โดนบุรุษอื่นทอดทิ้งมาก่อน แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำ ดูถูกเหยียดหยามคุณหนูในห้องหอที่ไร้เรื่องฉาวอย่างข้า” นางเอ่ยด้วยความโกรธ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเกลียดชัง“คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ” ซูจิ่นพยายามปลอบคุณหนูของตนเอง“ใจเย็นงั้นรึ พูดออกมาได้” ซู
ตั้งแต่เกิดมามีแค่ไม่กี่คนที่รังแกนางได้หนึ่งคือกัวจิ้งอี สองคือโจวจื่อหมิง แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ถูกนางเล่นงานจนย่ำแย่ไปแล้วนับประสาอะไรกับคุณหนูปากกล้าตรงหน้า อย่างนางจะเป็นตัวอะไรได้“นี่เจ้าจะทำร้ายคนหรือ” จูหมิ่นจูไม่คิดว่าสตรีที่ดูนุ่มนิ่มในตอนแรก บัดนี้กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาด้วยแววตากลัว “ช่วยด้วย! นางจะทำร้ายข้า”“ไสหัวไป ร้านค้าของข้าไม่ต้อนรับพวกคนเถื่อน” พูดจบพนักงานหญิงตัวใหญ่สองคนออกมาจากทางด้านหลังร้าน “โยนพวกนางออกไป” กัวรั่วชิงสั่งน้ำเสียงเด็ดขาด“อย่าเข้ามานะ! ข้า...ข้าออกไปเองได้”“เชิญ” ใบหน้างดงามปานเทพธิดาปรากฏรอยยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มหยันที่ทำให้คนโมโหจนแทบดิ้นตาย “เจ้าก็รีบกลับบ้านนอกไปเสียเถอะ เมืองหลวงไม่เหมาะกับคนอย่างเจ้า”ซูหมิ่นจูตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป นางไม่คาดคิดว่าสตรีม่ายที่นางดูถูกจะกล้าโต้ตอบเช่นนี้ ใบหน้าสวยหวานของนางแดงก่ำด้วยความโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นางได้แต่กัดฟันกรอดๆ ด้วยความคับแค้นใจ แ
“ขออภัยด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท” เสียงนุ่มนวลที่ดังมาจากประตูหลังทำให้ซูหมิ่นจูและซูจิ่นหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีกลีบบัวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจยิ่ง“เจ้าเป็นใคร” ซูจิ่นถามอย่างหยิ่งผยอง“ข้าคือเจ้าของร้านจื่อชิงแห่งนี้ นามว่ากัวรั่วชิง” น้ำเสียงของนางยังคงความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย“อ่อ เจ้าเองสินะ” ซูหมิ่นจูมองมาด้วยสายตาเย็นชา‘นางคือสตรีม่ายที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ กัวรั่วชิง งั้นเหรอ’ ซูหมิ่นจูเก็บความรู้สึกไม่ยินยอมไว้ภายในใจ นางไม่คาดคิดว่าคู่แข่งความรักของตนจะดูงดงามและสง่าดังดอกโบตั๋นเยี่ยงนี้ นางเดินเข้าไปหากัวรั่วชิงอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาที่กำลังประเมินเหยื่อ“ข้าเคยได้กลิ่นหอมจากร้านใหญ่ๆ ในเมืองหลวงมาแล้ว” ซูหมิ่นจูเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “แต่กลิ่นของที่นี่ช่าง...ธรรมดาเส