LOGINกัวไห่เจินมองรูปอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ที่แท้ก็บุตรชายของติ้งอานโหวนี่เอง แต่ก็แค่พอใช้ได้ เพราะถึงฐานะจะเท่าเทียม แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาออกจะเข้มงวดกับกฎระเบียบและเงียบขรึมเกินไปหน่อย ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนรูปปั้นไร้ชีวิต และอาจตีกรอบให้ชิงเอ๋อร์จนนางอึดอัด ซ้ำร้ายกว่านั้น ถ้าเขาไม่ชอบที่นางต้องวุ่นวายออกไปนอกจวนบ่อยๆ เพราะการค้าจะทำอย่างไร”
กัวจื่อหรานพยักหน้าเบาๆ “ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อ คุณชายเหรินเหมาะสมกับหญิงสาวที่เรียบร้อยและอยู่ในโอวาท แต่ชิงเอ๋อร์มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนและอิสระ นางอาจจะรู้สึกอึดอัดได้ และที่สำคัญคือเขาอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ชิงเอ๋อร์อาจจะต้องย้ายไปอยู่กับเขา และเขามิใช่บุตรชายคนโต ต่อไปอาจจะต้องแยกบ้านกับบ้านหลัก ข้ากลัวว่าภายภาคหน้าชิงเอ๋อร์จะลำบากได้”
ทว่าหลิวหลานจิงกลับมีความเห็นต่างออกไป “แต่ความซื่อตรงของคุณชายเหรินน่าจะทำให้ชิงเอ๋อร์มั่นใจในสถานะและความรู้สึก การที่เขาไม่มีอนุภรรยาและไม่เคยข้องแวะกับสตรีอื่นเลย นี่คือข้อดีที่สำคัญที่สุดของเขาแล้ว”
“ที่ทุกคนพูดมาล้วนมีเหตุผล แต่เรายังเหล
มู่หย่งฉีไม่ยอมจำนน พยายามพูดสีหน้าเคร่งขรึม “ฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมเข้าวังมาด้วยเรื่องร้อนของแม่ทัพหวงเท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ”มู่เหวินหลงหรี่พระเนตรลงอย่างเจ้าเล่ห์ “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ในเมื่อเจ้าช่วยพูดแทนแม่ทัพหวงได้ตั้งนานสองนาน แล้วทำไมจะยืนยันกับเจิ้นไม่ได้ว่าเจ้าจริงจังกับคนเขลานางนั้นจริงๆ หรือไม่”คำถามนี้ทำเอามู่หย่งฉีที่ปกติเต็มไปด้วยความมั่นใจถึงกับพูดตะกุกตะกัก สีหน้าของเขามีร่องรอยของความอับจนและอ้อมแอ้มให้เห็น พลังกดดันจางๆ จากมู่เหวินหลงทำให้เขาไม่กล้าโป้ปดทดเท็จ ได้แต่บ่นในใจ‘ให้ตายสิ ทำไมเสด็จพี่ต้องมาเล่นงานข้าวันนี้ด้วย แกล้งแค่หวงเชียนเล่อคนเดียวก็น่าจะพอแล้วนี่’“เจิ้นถาม ทำไมไม่ตอบ หรือว่าตอนนี้เว่ยอ๋องเป็นใบ้แล้ว” มู่เหวินหลงถามด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่คิดจะปล่อยมู่หย่งฉีไปง่ายๆ“เอ่อ... ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนั้น... กระหม่อม...” เว่ยอ๋องพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม แต่ก็ไม่สามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะรู้ว่าตนกำลังถูกพระเชษฐาเล่นงาน “เหยาหลิงเจิน น
แสงแดดยามสายลอดผ่านบานหน้าต่างของห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง สาดกระทบกองเอกสารที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ มู่เหวินหลง ฮ่องเต้แห่งแคว้น ไม่ได้สวมเครื่องทรงเต็มยศ ทว่าเพียงการประทับนั่งอย่างสงบก็แผ่ความสูงส่งและพลังกดดันอันน่าเกรงขามออกมาอย่างจางๆ ทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องไม่กล้าหายใจแรง พระองค์กำลังทอดพระเนตรฎีกาฉบับหนึ่งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แต่ดวงพระเนตรกลับซ่อนความเฉียบคมไว้เสียงของขันทีหน้าห้องทรงพระอักษรประกาศการมาถึงของผู้มาเข้าเฝ้าทั้งสองดังขึ้นหวงเชียนเล่อก้าวเข้ามาพร้อมกับ มู่หย่งฉี ทั้งสองทำความเคารพตามธรรมเนียมราชสำนัก ท่านแม่ทัพอยู่ในชุดขุนนางเต็มยศที่สง่างามและดูเคร่งขรึม ผิดกับเว่ยอ๋องที่แม้จะอยู่ในชุดสีม่วงตามยศ ทว่าก็ยังคงมีท่าทีสบายๆ และแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก“วันนี้พวกเจ้าสองคนมาพบเจิ้นแต่เช้าพร้อมกันเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก” มู่เหวินหลง ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจัง แต่จังหวะการตรัสแต่ละคำก็ทำให้ผู้ฟังต้องเงียบงัน “เจิ้นได้ยินว่าเจ้าทั้งสองขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวเพื่อหารือเรื่องสำค
รุ่งสางของวันใหม่ หวงเชียนเล่อรีบรุดออกจากอารามเขาฉงซานมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง เขาควบอาชาเหงื่อโลหิตพันลี้เต็มฝีเท้าโดยไม่ได้หยุดพัก ประตูเมืองเพิ่งจะเปิดให้ผู้คนผ่านเข้าออกได้ไม่นานเขาและผู้ติดตามก็มาถึง แม่ทัพหนุ่มไม่ได้กลับจวนของตนเอง แต่มุ่งตรงมาที่จวนเว่ยอ๋องประตูจวนอ๋องเปิดรับท่านแม่ทัพด้วยความคุ้นเคย หวงเชียนเล่อเดินเข้าสู่เรือนรับรองด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ดวงตาคมกริบฉายแววหงุดหงิดและไม่พอใจอย่างรุนแรงมู่หย่งฉีแม้จะตื่นแต่เช้า ทว่าแทนที่จะจัดการเอกสารราชการ เขากลับยังคงเอนกายอยู่บนเตียงสั้นในชุดลำลอง จิบสุราอุ่นๆ และอ่านตำราโบราณด้วยท่าทีสบายอารมณ์ เขามองสหายที่เดินพุ่งพรวดเข้ามาด้วยความรู้สึกขบขันเล็กน้อย“โอ้โห! สหายข้า” เว่ยอ๋องกล่าวทักด้วยน้ำเสียงยียวน “นี่เจ้าเพิ่งกลับมาจากค่ายทหารหรืออย่างไร เหตุใดจึงดูรุ่มร้อนกว่าบุรุษที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นศึกใหญ่เสียอีก”หวงเชียนเล่อเดินไปหยุดข้างโต๊ะของเว่ยอ๋อง เขากดมือลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีอย่างแรง จนข้อขาวโพลน “ท่านอย่าเพิ่งล้อเล่นกับข้าได้หรือไม่”&
กัวรั่วชิงหรี่ตามองเขาอย่างระแวดระวัง “นี่ท่านจะกล่าวหาข้าหรือ”“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ข้าไม่ได้กล่าวหาเจ้าสักหน่อย” ซุนจิ่งอี้ยกมือขี้นห้าม “ข้าบอกแล้วว่าเรื่องเหล่านี้แค่ดึงดูดความสนใจเท่านั้นเอง”“ก็แค่ข่าวลือกับการคาดเดา ท่านอย่าเอามาใส่ใจเลย มิเช่นนั้นเราจะขุ่นเคืองกันเปล่าๆ”“ตอนแรก ข้าก็คิดแบบนั้นแหละ แต่ว่า... คู่ดูตัวก่อนหน้านี้ของเจ้าก็มีเหตุปัจจุบันทันด่วน คนแรกถูกแม่ทัพเรียกตัวกลับชายแดน อีกคนก็ถูกเปิดโปงความลับจนไม่มีน่าแต่งกับสตรีอีก” ซุนจิ่งอี้หยุดแล้วจ้องมองนางอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องเหล่านี้มันวุ่นวายและต่อเนื่อง และผู้เกี่ยวข้องหลักๆ ก็มีแค่ไม่กี่คน จนข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็น ‘ฉากละคร’ ของเจ้ากับคนที่เจ้ามีใจคนนั้น หรือก็คือหวงเชียนเล่อสินะ เพราะมีเขาคนเดียวที่มีข่าวลือกับเจ้า แต่มันดันหายเข้ากลีบเมฆไป”“จริงอยู่ ก่อนข้าจะหย่ากับโจวจื่อหมิงเคยนัดพบกับท่านแม่ทัพจริง แต่นั่นเป็นเรื่องการค้า เรื่องนี้ใครๆ ที่อยู่ที่นั่นต่า
รุ่งเช้ามาถึงอย่างรวดเร็ว กัวรั่วชิงกับซุนจิ่งอี้ขึ้นรถม้าคันใหญ่ เพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างผ่อนคลาย ต่างจากความตึงเครียดที่ถูกทิ้งไว้ในค่ำคืนก่อน กัวลี่ลี่นั่งอยู่ด้านหน้าข้างสารถีอย่างเงียบเชียบ เธอลอบสังเกตสีหน้าของคุณหนูและรองเสนาบดีอย่างระมัดระวังตั้งแต่ขึ้นรถม้า แม้จะสงสัยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ มีแต่ต้องปล่อยให้คุณหนูของตนได้ตัดสินใจเองกัวรั่วชิงทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถม้าที่กำลังแล่นผ่านทิวทัศน์ยามเช้าอันสวยงามของเขาฉงซาน นางรวบรวมความกล้า และจัดระเบียบความคิดทั้งหมดก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับบุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม“ท่านรองเสนาบดีซุน” กัวรั่วชิงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น “ข้าขออภัยที่ต้องพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่ข้าเกรงว่าเราคงไม่มีวาสนาต่อกัน”ซุนจิ่งอี้ยกยิ้มเล็กน้อยอย่างเข้าใจ พร้อมกับปิดพัดในมือลงอย่างช้าๆ “ข้าทำอะไรให้คุณหนูกัวไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“มิได้” กัวรั่วชิงรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้บุรุ
ซุนจิ่งอี้ก้าวไปนั่งลงที่เก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวต่อคล้ายไม่ได้ยินสิ่งที่หวงเชียนเล่อถามก่อนหน้า“จะให้ข้าเดาไหม ว่าเจ้าจะใช้กลวิธีใดในการกำจัดข้าออกไปจากเส้นทางของเจ้า?” ซุนจิ่งอี้ถามด้วยน้ำเสียงที่รื่นหูราวกับกำลังชวนสนทนาเรื่องธรรมดา“ซุนจิ่งอี้ ข้าอุตส่าห์เห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนเลวร้าย จึงหมายจะมาเตือนตามตรงแบบลูกผู้ชาย แต่เจ้ากลับยียวนไม่เลิกรา” หวงเชียนเล่อกล่าวเสียงเย็น“ก็เรื่องของเจ้ามันน่าสนใจดีนี่ ข้าอุตส่าห์รอชมเลยนะว่าเจ้าจะเล่นกับข้าแบบไหน” ซุนจิ่งอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างยียวน “เจ้าจะไล่ข้าไปเฝ้าค่ายที่ชายแดน หรือจะหานักแสดงงิ้วมารับบทโศก เพื่อทำให้ข้าเสียชื่อเสียงจนต้องหนีออกจากเมืองหลวงไปดีเล่า”หวงเชียนเล่อถึงกับนิ่งอึ้งทันที เพราะคำถามนั้นแทงเข้ากลางใจเขาอย่างจังแต่เพียงชั่วพริบตา เขาก็สามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว“เจ้าสืบเรื่องของข้าหรือ” หวงเชียนเล่อจ้องเขาเขม็งซุนจิ่งอี้กลับดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสายตานั้น “เจ้าคิดว







